บทที่ 18: นิกายเทียนโหมว
“ไม่น่าจะใช่แฮะ!”
เจียงเหอปฏิเสธความคิดนี้และพึมพำว่า “ถึงมันจะมีคนที่ปลุกพลังฝึกสัตว์อสูรจนสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้ แต่พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องสังหารหมู่ตามจุดชมวิวหรือโจมตีหมู่บ้านป่าววะ?”
“มันต่างจากการรนหาที่ตายตรงไหน?
“แต่ร่างนั้นเห็นชัด ๆ ว่าเป็นคน… หรือมันจะเป็นลิงที่วิวัฒนาการแล้ว?”
เจียงเหอหยิบถั่วสองเม็ดออกมาถือไว้ขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ บนยอดเขา แต่เขาไม่พบอะไรเลย และเดินลงจากภูเขาอย่างสบาย ๆ
ซูเจ๋อฟื้นคืนสติเมื่อกลับมายังหมู่บ้านไป๋ถูก่าง
เขาดูเศร้าโศก จมูกของเขาหักและเบ้าตาของเขาช้ำ
เพียงแต่คราวนี้เขาสงบลงและถึงกับปล่อยเหงื่อเย็นเยียบเมื่อเขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
เขาเปิดปากถามเสียงแหบออกมาว่า “หลี่เฟย เจียงเหอฆ่าสัตว์อสูรแปดตัวเพียงคนเดียวเหรอ?”
"ถามแบบนี้หมายความว่าไงครับ?"
หลี่เฟยอารมณ์เสียโดยธรรมชาติ “เจียงเหอกับผมฆ่าสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัวด้วยกัน คุณกำลังพยายามที่จะขโมยผลงานเหรอครับท่านผบ.?
"ผม…"
ซูเจ๋อเองก็ไม่มีความสุขเช่นกัน แต่เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “ใจเย็น องค์กรมีระบบคุณธรรม และความสำเร็จของคุณจะเป็นของคุณ คุณเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเจียงเหอ เป็นคนบ้านเดียวกันและมีความสัมพันธ์ที่ดี คุณรู้จักเขามากแค่ไหน? พลังของเขาที่ตื่นขึ้นทำให้สัตว์เชื่องได้จริง ๆ หรือ?”
"แน่นอน!"
หลี่เฟยพยักหน้า “แต่ผมคิดว่าองค์กรทำงานพลาดเรื่องการประเมินระดับความแข็งแกร่งของเขา ไม่มีทางที่เขาจะเป็นแค่คลาส C หรอก เขาต้องเป็นคลาส B แล้วล่ะ!”
"อะไรนะ?!"
ซูเจ๋อ, หวางซืออวี่ และหลิวเสวี่ย ต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
ใบหน้าของซูเจ๋อหมองคล้ำลงไป และอดไม่ได้ที่จะถาม "คุณรู้ได้ไง?"
“จากความสามารถในการฝึกสัตว์อสูรของเขาไง!”
หลี่เฟยตอบ เนื่องจากนั่นคือสิ่งที่เจียงเหอเองกล่าวว่า: สัตว์ดุร้ายจะสามารถเชื่องได้ เมื่อเรากุมอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้
มันเป็นเทคนิคง่าย ๆ ในการทำให้สัตว์ดุร้ายเชื่อง ซึ่งช่วยฟื้นฟูกฎของระเบียบธรรมชาติและลึกซึ้งที่สุด พวกคลาส C มันจะไปเชี่ยวชาญได้อย่างไรเล่า?
“แต่มันก็สมเหตุสมผลถ้าเขาเป็นคลาส B”
ซูเจ๋อที่หมดสติไประหว่างเหตุการณ์นั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขา เมื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B จริง ๆ ล่ะก็ ที่ซีเซี่ยจะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งมาก ๆ เพิ่มขึ้น คุณก็รู้ว่าหัวหน้าของเราก็ไม่ต่างจากผู้เหนือมนุษย์คลาส B เช่นกัน”
ต้วนเทียนเหอ หัวหน้าทีมของสำนักจัดการคดีพิเศษแห่งชาติเขตซีเซี่ย เป็นผู้ฝึกยุทธระดับ 6 ขั้นสุดยอดที่สามารถต่อสู้กับผู้เหนือมนุษย์คลาส B ได้ ถ้าเขาพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ เขาจะกลายเป็นปรมาจารย์
ปรมาจารย์วิทยายุทธคือผู้มีพรสวรรค์แม้แต่ในการจัดอันดับทั่วประเทศ
และปรมาจารย์ก็เทียบเท่ากับผู้เหนือมนุษย์คลาส A… ถึงแม้ว่าพวกพวกเขาต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังไม่มีผู้เหนือมนุษย์คลาส A ที่ถูกค้นพบในประเทศ
“แล้วเจียงเหอฆ่าสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัวนั้นได้อย่างไร?” ซูเจ๋ออดไม่ไหวจริง ๆ จนต้องถามออกมา ถึงจะรู้ว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B จะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้โดยตรงและให้พวกมันฆ่ากันเอง แต่ซูเจ๋อก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี
"อืม…"
หลี่เฟยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถาม “เจียงเหอบอกว่าเขาฆ่าสัตว์อสูรที่ไม่เชื่อฟัง อย่างแรกเลยเขาต่อยแมวดำที่ยืนขวางทางเรา จากนั้นต่อยสุนัขป่าอีกสองตัวและแมวป่าหนึ่งตัว ก่อนที่จะเตะหัวสุนัขป่าอีกตัวหนึ่ง ในท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือของฉันเขาจัดการฆ่าสัตว์อสูรตัวอื่นจนตายทั้งหมด”
ซูเจ๋อ: “…”
หวางซืออวี่: “…”
แล้วการฝึกสัตว์อสูรล่ะอยู่ตรงไหนของเรื่องนี้วะ?
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ หลิวเสวี่ยก็หันไปทางมุมมืดและตะโกนว่า “เจียงเหอกลับมาแล้ว!”
ท่ามกลางความมืด เจียงเหอกำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างไม่เร่งรีบโดยถือแท่งโลหะอยู่ในมือ
“คุณเจียง!”
ซู่เจ๋อเป็นคนแรกที่ทักทาย
เขาดูน่าขันมาก โดยเฉพาะตรงจมูกและเบ้าตาที่มีรอยฟกช้ำ แต่เขาก็ยังปั้นหน้าจริงจังและพูดว่า “คุณเจียง ผมขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โปรดอภัยด้วยครับ”
"โอ้?"
เจียงเหอกระพริบตาปริบ ๆ
‘ไอ้หมอนี่ใช่ตัวจริงป่าววะ?’
‘การทุบตีนี่มันทำให้เชื่องได้จริง ๆ เหรอวะ?’
แล้วเจียงเหอก็โบกมือเบา ๆ
“ไม่เป็นไร” เขาพูดก่อนจะโยนแท่งโลหะผสมที่เขาถือไว้คืนให้กับหลี่เฟยอย่างคล่องแคล่วและใช้น้ำเสียงที่จริงจัง “ปัญหาบนภูเขายังไม่ได้รับการแก้ไข—สัตว์อสูรเลเวล 2 น่าจะเป็นสุนัขป่าที่วิวัฒนาการแล้ว และดูเหมือนว่าจะถูกใครบางคนควบคุมอยู่…”
จากนั้นเขาก็บรรยายถึง 'ร่าง' ที่นั่งอยู่บนสุนัขป่า และซูเจ๋อก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง โดยใส่น้ำหนักในทุกพยางค์ “นิกายเทียนโหมว!” (นิกายอสูรฟ้า)
“ดูเหมือนว่าพวกมันต้องการจะบุกเข้าไปที่ซีเป่ย และตอนนี้ปัญหาก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหลายต่างก็ไปรวมตัวกันที่ภูต้าตง ถ้าสิ่งที่คุณเจียงพูดมาถูกต้อง ไอ้คน ๆ นั้นจะต้องเป็นผู้เหนือมนุษย์ที่เข้าร่วมนิกายของพวกมันแน่ ๆ และมีความสามารถในการฝึกสัตว์อสูร… คุณเจียงเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรและได้พบพวกมัน คุณมีคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพลังของมันบ้างครับ?”
เอ๊ะ?
เจียงเหอเพียงแค่เกาหลังศีรษะของเขาเพียงแค่หัวเราะ “คิดว่า... ไม่มีอะไรพิเศษนะ”
'หมายความว่าไงที่ว่าตูก็เป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วย!?’
'แล้วตูจะไปรู้ความสามารถของไอ้บ้านักฝึกสัตว์นั่นได้ไงวะ?'
เจียงเหอสันนิษฐานว่าตัวตนของเขาในฐานะผู้ฝึกยุทธของตนจะถูกเปิดโปงหลังจากที่ฆ่าพวกสัตว์อสูรแปดตัวนั้นเสียอีก แล้วทำไมไอ้เจ้าพวกนี้ถึงยังเชื่อว่าเขาเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร?
ซูเจ๋อถอนหายใจยาว แต่ปรากฏว่าเขารู้สึกผ่อนคลาย “เนื่องจากคุณเจียงเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B ผู้ฝึกสัตว์อสูรตัวอื่นย่อมไม่สำคัญ” เขายิ้ม “ว่าแต่ คุณเคยฝึกวิทยายุธมาก่อนเหรอครับ”
การเปลี่ยนทัศนคติอย่างกะทันหันของเขามาเป็นความเคารพนับถือทำให้เจียงเหอรู้สึกอายเล็กน้อย แต่เขาพยักหน้า “พึ่งฝึกฝนได้ไม่กี่วันน่ะ เป็นพวกวิชาที่สืบทอดกันในตระกูล ไม่ได้มีความพิเศษอะไร”
เรื่องนี้คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันหรอกเนอะ
การเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด เช่นเดียวกับการเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสามก็เป็นเพียงไพ่เบอร์เล็ก ๆ เจียงเหอมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอะไร
หึหึ
ซู่เจ๋อยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
ที่ว่านั่นก็ถ่อมตัวเกินไป!
ที่ถูกก็คือตัวเขานั้นเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสองขั้นสูงสุดที่ผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วน ไอ้การถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีปัญญาตอบโต้เนี่ยมันจะไม่มีอะไรพิเศษได้ยังไงเล่า
ทั้งหลี่เฟยและหวางซืออวี่ต่างก็มองเจียงเหออย่างสงสัยเช่นกัน
พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเจียงเหอมีเคล็ดวิชาอะไรที่สืบทอดกันในตระกูล แต่ก็ไม่แน่หรอกเพราะว่ามรดกวิชาวิทยายุทธทั้งหลายมักจะถูกเก็บเป็นความลับ อันที่จริงมีคนไม่มากที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของวิทยายุทธก่อนการฟื้นคืนพลังวิญญาณ
"ใช่สิ!"
หลี่เฟยอุทานออกมาแล้วถามอย่างลังเลว่า “คุณซูเจ๋อ มันคืออะไรเหรอ… ไอ้นิกายโหมว ๆ อะไรนั่นที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้น่ะ?”
ซูเจ๋อส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ผมก็ค่อยไม่รู้เรื่องของพวกมันเหมือนกัน รู้แค่ว่าพวกมันโผล่มาเมื่อพลังวิญญาณเริ่มเกิดการฟื้นคืนครั้งแรก พวกมันมีสมาชิกอยู่ทั่วทุกมุมโลกและพากกันลงมือก่อวินาศกรรมไปทั่วทุกหนแห่ง ไอ้พวกนี้มันเป็นลัทธิปีศาจ และผู้อาวุโสสำนักแปดทิศของเราคนหนึ่งเคยฆ่าหนึ่งในปรมาจารย์ยุทธของพวกมันตาย”
ซูเจ๋อหยุดชั่วคราวชี้ไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วลดเสียงลง “ผมเคยได้ยินแต่ผู้อาวุโสในสำนักพูดถึงพวกมันอยู่ ว่าต้นกำเนิดของนิกายเทียนโหมวอาจจะสืบย้อนไปถึงอีกฟากฟ้า!”
“…โอ้ เอาจริงดิ!”
หลี่เฟยกระโดดพรวดขึ้นและอุทานออกมาว่า “มนุษย์ต่างดาว???”