ตอนที่แล้วบทที่ 17: ผู้ฝึกสัตว์อสูรตัวจริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19: ผลกระทบของข้าวโพด

บทที่ 18: นิกายเทียนโหมว


“ไม่น่าจะใช่แฮะ!”

เจียงเหอปฏิเสธความคิดนี้และพึมพำว่า “ถึงมันจะมีคนที่ปลุกพลังฝึกสัตว์อสูรจนสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้  แต่พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องสังหารหมู่ตามจุดชมวิวหรือโจมตีหมู่บ้านป่าววะ?”

“มันต่างจากการรนหาที่ตายตรงไหน?

“แต่ร่างนั้นเห็นชัด ๆ ว่าเป็นคน… หรือมันจะเป็นลิงที่วิวัฒนาการแล้ว?”

เจียงเหอหยิบถั่วสองเม็ดออกมาถือไว้ขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ บนยอดเขา  แต่เขาไม่พบอะไรเลย และเดินลงจากภูเขาอย่างสบาย ๆ

ซูเจ๋อฟื้นคืนสติเมื่อกลับมายังหมู่บ้านไป๋ถูก่าง

เขาดูเศร้าโศก  จมูกของเขาหักและเบ้าตาของเขาช้ำ

เพียงแต่คราวนี้เขาสงบลงและถึงกับปล่อยเหงื่อเย็นเยียบเมื่อเขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

เขาเปิดปากถามเสียงแหบออกมาว่า “หลี่เฟย  เจียงเหอฆ่าสัตว์อสูรแปดตัวเพียงคนเดียวเหรอ?”

"ถามแบบนี้หมายความว่าไงครับ?"

หลี่เฟยอารมณ์เสียโดยธรรมชาติ “เจียงเหอกับผมฆ่าสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัวด้วยกัน  คุณกำลังพยายามที่จะขโมยผลงานเหรอครับท่านผบ.?

"ผม…"

ซูเจ๋อเองก็ไม่มีความสุขเช่นกัน  แต่เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “ใจเย็น  องค์กรมีระบบคุณธรรม  และความสำเร็จของคุณจะเป็นของคุณ  คุณเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเจียงเหอ  เป็นคนบ้านเดียวกันและมีความสัมพันธ์ที่ดี  คุณรู้จักเขามากแค่ไหน? พลังของเขาที่ตื่นขึ้นทำให้สัตว์เชื่องได้จริง ๆ หรือ?”

"แน่นอน!"

หลี่เฟยพยักหน้า “แต่ผมคิดว่าองค์กรทำงานพลาดเรื่องการประเมินระดับความแข็งแกร่งของเขา   ไม่มีทางที่เขาจะเป็นแค่คลาส C หรอก  เขาต้องเป็นคลาส B แล้วล่ะ!”

"อะไรนะ?!"

ซูเจ๋อ, หวางซืออวี่ และหลิวเสวี่ย  ต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน

ใบหน้าของซูเจ๋อหมองคล้ำลงไป  และอดไม่ได้ที่จะถาม "คุณรู้ได้ไง?"

“จากความสามารถในการฝึกสัตว์อสูรของเขาไง!”

หลี่เฟยตอบ  เนื่องจากนั่นคือสิ่งที่เจียงเหอเองกล่าวว่า: สัตว์ดุร้ายจะสามารถเชื่องได้  เมื่อเรากุมอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้

มันเป็นเทคนิคง่าย ๆ ในการทำให้สัตว์ดุร้ายเชื่อง  ซึ่งช่วยฟื้นฟูกฎของระเบียบธรรมชาติและลึกซึ้งที่สุด พวกคลาส C มันจะไปเชี่ยวชาญได้อย่างไรเล่า?

“แต่มันก็สมเหตุสมผลถ้าเขาเป็นคลาส B”

ซูเจ๋อที่หมดสติไประหว่างเหตุการณ์นั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขา  เมื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว  เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B จริง ๆ ล่ะก็  ที่ซีเซี่ยจะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งมาก ๆ เพิ่มขึ้น  คุณก็รู้ว่าหัวหน้าของเราก็ไม่ต่างจากผู้เหนือมนุษย์คลาส B เช่นกัน”

ต้วนเทียนเหอ  หัวหน้าทีมของสำนักจัดการคดีพิเศษแห่งชาติเขตซีเซี่ย  เป็นผู้ฝึกยุทธระดับ 6 ขั้นสุดยอดที่สามารถต่อสู้กับผู้เหนือมนุษย์คลาส B ได้  ถ้าเขาพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ  เขาจะกลายเป็นปรมาจารย์

ปรมาจารย์วิทยายุทธคือผู้มีพรสวรรค์แม้แต่ในการจัดอันดับทั่วประเทศ

และปรมาจารย์ก็เทียบเท่ากับผู้เหนือมนุษย์คลาส A… ถึงแม้ว่าพวกพวกเขาต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน  แต่ก็ยังไม่มีผู้เหนือมนุษย์คลาส A ที่ถูกค้นพบในประเทศ

“แล้วเจียงเหอฆ่าสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัวนั้นได้อย่างไร?” ซูเจ๋ออดไม่ไหวจริง ๆ จนต้องถามออกมา  ถึงจะรู้ว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B จะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้โดยตรงและให้พวกมันฆ่ากันเอง  แต่ซูเจ๋อก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี

"อืม…"

หลี่เฟยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถาม “เจียงเหอบอกว่าเขาฆ่าสัตว์อสูรที่ไม่เชื่อฟัง  อย่างแรกเลยเขาต่อยแมวดำที่ยืนขวางทางเรา  จากนั้นต่อยสุนัขป่าอีกสองตัวและแมวป่าหนึ่งตัว  ก่อนที่จะเตะหัวสุนัขป่าอีกตัวหนึ่ง  ในท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือของฉันเขาจัดการฆ่าสัตว์อสูรตัวอื่นจนตายทั้งหมด”

ซูเจ๋อ: “…”

หวางซืออวี่: “…”

แล้วการฝึกสัตว์อสูรล่ะอยู่ตรงไหนของเรื่องนี้วะ?

ขณะนั้นเอง  จู่ ๆ หลิวเสวี่ยก็หันไปทางมุมมืดและตะโกนว่า “เจียงเหอกลับมาแล้ว!”

ท่ามกลางความมืด  เจียงเหอกำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างไม่เร่งรีบโดยถือแท่งโลหะอยู่ในมือ

“คุณเจียง!”

ซู่เจ๋อเป็นคนแรกที่ทักทาย

เขาดูน่าขันมาก  โดยเฉพาะตรงจมูกและเบ้าตาที่มีรอยฟกช้ำ  แต่เขาก็ยังปั้นหน้าจริงจังและพูดว่า “คุณเจียง  ผมขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้  โปรดอภัยด้วยครับ”

"โอ้?"

เจียงเหอกระพริบตาปริบ ๆ

‘ไอ้หมอนี่ใช่ตัวจริงป่าววะ?’

‘การทุบตีนี่มันทำให้เชื่องได้จริง ๆ เหรอวะ?’

แล้วเจียงเหอก็โบกมือเบา ๆ

“ไม่เป็นไร” เขาพูดก่อนจะโยนแท่งโลหะผสมที่เขาถือไว้คืนให้กับหลี่เฟยอย่างคล่องแคล่วและใช้น้ำเสียงที่จริงจัง “ปัญหาบนภูเขายังไม่ได้รับการแก้ไข—สัตว์อสูรเลเวล 2 น่าจะเป็นสุนัขป่าที่วิวัฒนาการแล้ว  และดูเหมือนว่าจะถูกใครบางคนควบคุมอยู่…”

จากนั้นเขาก็บรรยายถึง 'ร่าง' ที่นั่งอยู่บนสุนัขป่า  และซูเจ๋อก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  เขาก็อุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง  โดยใส่น้ำหนักในทุกพยางค์ “นิกายเทียนโหมว!” (นิกายอสูรฟ้า)

“ดูเหมือนว่าพวกมันต้องการจะบุกเข้าไปที่ซีเป่ย  และตอนนี้ปัญหาก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหลายต่างก็ไปรวมตัวกันที่ภูต้าตง  ถ้าสิ่งที่คุณเจียงพูดมาถูกต้อง  ไอ้คน ๆ นั้นจะต้องเป็นผู้เหนือมนุษย์ที่เข้าร่วมนิกายของพวกมันแน่ ๆ และมีความสามารถในการฝึกสัตว์อสูร… คุณเจียงเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรและได้พบพวกมัน  คุณมีคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพลังของมันบ้างครับ?”

เอ๊ะ?

เจียงเหอเพียงแค่เกาหลังศีรษะของเขาเพียงแค่หัวเราะ “คิดว่า... ไม่มีอะไรพิเศษนะ”

'หมายความว่าไงที่ว่าตูก็เป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วย!?’

'แล้วตูจะไปรู้ความสามารถของไอ้บ้านักฝึกสัตว์นั่นได้ไงวะ?'

เจียงเหอสันนิษฐานว่าตัวตนของเขาในฐานะผู้ฝึกยุทธของตนจะถูกเปิดโปงหลังจากที่ฆ่าพวกสัตว์อสูรแปดตัวนั้นเสียอีก  แล้วทำไมไอ้เจ้าพวกนี้ถึงยังเชื่อว่าเขาเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร?

ซูเจ๋อถอนหายใจยาว  แต่ปรากฏว่าเขารู้สึกผ่อนคลาย “เนื่องจากคุณเจียงเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรคลาส B ผู้ฝึกสัตว์อสูรตัวอื่นย่อมไม่สำคัญ” เขายิ้ม “ว่าแต่  คุณเคยฝึกวิทยายุธมาก่อนเหรอครับ”

การเปลี่ยนทัศนคติอย่างกะทันหันของเขามาเป็นความเคารพนับถือทำให้เจียงเหอรู้สึกอายเล็กน้อย  แต่เขาพยักหน้า “พึ่งฝึกฝนได้ไม่กี่วันน่ะ  เป็นพวกวิชาที่สืบทอดกันในตระกูล  ไม่ได้มีความพิเศษอะไร”

เรื่องนี้คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันหรอกเนอะ

การเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด  เช่นเดียวกับการเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสามก็เป็นเพียงไพ่เบอร์เล็ก ๆ  เจียงเหอมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอะไร

หึหึ

ซู่เจ๋อยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

ที่ว่านั่นก็ถ่อมตัวเกินไป!

ที่ถูกก็คือตัวเขานั้นเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสองขั้นสูงสุดที่ผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วน  ไอ้การถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีปัญญาตอบโต้เนี่ยมันจะไม่มีอะไรพิเศษได้ยังไงเล่า

ทั้งหลี่เฟยและหวางซืออวี่ต่างก็มองเจียงเหออย่างสงสัยเช่นกัน

พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเจียงเหอมีเคล็ดวิชาอะไรที่สืบทอดกันในตระกูล  แต่ก็ไม่แน่หรอกเพราะว่ามรดกวิชาวิทยายุทธทั้งหลายมักจะถูกเก็บเป็นความลับ  อันที่จริงมีคนไม่มากที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของวิทยายุทธก่อนการฟื้นคืนพลังวิญญาณ

"ใช่สิ!"

หลี่เฟยอุทานออกมาแล้วถามอย่างลังเลว่า “คุณซูเจ๋อ  มันคืออะไรเหรอ… ไอ้นิกายโหมว ๆ อะไรนั่นที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้น่ะ?”

ซูเจ๋อส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ผมก็ค่อยไม่รู้เรื่องของพวกมันเหมือนกัน  รู้แค่ว่าพวกมันโผล่มาเมื่อพลังวิญญาณเริ่มเกิดการฟื้นคืนครั้งแรก  พวกมันมีสมาชิกอยู่ทั่วทุกมุมโลกและพากกันลงมือก่อวินาศกรรมไปทั่วทุกหนแห่ง  ไอ้พวกนี้มันเป็นลัทธิปีศาจ  และผู้อาวุโสสำนักแปดทิศของเราคนหนึ่งเคยฆ่าหนึ่งในปรมาจารย์ยุทธของพวกมันตาย”

ซูเจ๋อหยุดชั่วคราวชี้ไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วลดเสียงลง “ผมเคยได้ยินแต่ผู้อาวุโสในสำนักพูดถึงพวกมันอยู่  ว่าต้นกำเนิดของนิกายเทียนโหมวอาจจะสืบย้อนไปถึงอีกฟากฟ้า!”

“…โอ้ เอาจริงดิ!”

หลี่เฟยกระโดดพรวดขึ้นและอุทานออกมาว่า “มนุษย์ต่างดาว???”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด