บทที่ 18 ใช้เหตุผลอธิบายสถานการณ์
บทที่ 18 ใช้เหตุผลอธิบายสถานการณ์
หลินถงซูถลึงตาใส่เฉินฉี “เฮ้ แล้วคุณจะตามเข้ามาทำไมเนี่ย? เราควรรอให้ทีมตำรวจเข้ามาเก็บตัวอย่างกับรอยนิ้วมือก่อนไม่ใช่เหรอ? ถ้าเผลอไปแตะโดนบริเวณที่เกิดเหตุเข้าละก็ พี่ชายจะต้องลงโทษฉันแน่ๆ!”
เฉินฉีตอบกลับ “แล้วถ้าข้างในยังมีคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ล่ะ?”
“โอเค... ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล!” หลินถงซูเดินเข้าไปในห้องทั้งที่รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว เธอกลืนน้ำลายขณะค่อย ๆ เดินหลบเลี่ยงรอยเลือดบนพื้นที่กระจายเป็นคราบไปทั่วอย่างระมัดระวัง
ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านไม่มีจำนวนมากนัก ดูเหมือนว่าฆาตกรจะลงมือทำการฆาตกรรมอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่เดินอ้อมไปหลังโซฟาและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดอยู่บ้านกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ คาดเดาอายุว่าอาจมากกว่าสามสิบปี ทั้งศีรษะนั้นอาบไปด้วยเลือด
เฉินฉีกำลังจะทำการตรวจวัดชีพจรของเหยื่อแต่หลินถงซูรีบห้ามเขาไว้ได้ทัน “เดี๋ยวสิ อย่าทิ้งรอยนิ้วมือไว้นะ”
เฉินฉีหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเอาไปจ่อไว้ใต้จมูกของหญิงสาว หลังรอเงียบ ๆ ไม่กี่วินาทีก็ไม่มีไอร้อนจากลมหายใจปรากฏขึ้นบนหน้าจอ “เธอตายแล้ว” เขายืนยัน
ทั้งคู่เดินไปที่ห้องนอนต่อ ห้องนอนกับห้องนั่งเล่นถูกตกแต่งคนละสไตล์กันโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ซึ่งผลิตจากไม้มะฮอกกานี รวมถึงเก้าอี้โยกที่ผลิตจากไม้หวายสาน เห็นได้ชัดจากรสนิยมดังกล่าวว่าเจ้าของห้องต้องเป็นผู้สูงวัย ภายในมีร่างของหญิงชราคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ลำคอของเธอมีบาดแผลฉกรรจ์เหมือนถูกสัตว์ร้ายกัดกระชากจนเลือดเจิ่งนองกระจายอยู่ทั่วพื้นไม้เนื้อแข็ง
เฉินฉีสำรวจบริเวณโดยรอบจึงเจอขวานเล่มหนาถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นอย่างลวก ๆ คราบเลือดแห้งกรังเปื้อนเปรอะอยู่ทั่วขวานเล่มนั้น “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม” เขาสรุป
ทั้งคู่เดินไปยังห้องนอนอีกห้องหนึ่ง พอคาดเดาได้ว่าเป็นห้องของคู่สามีภรรยาเพราะรูปภาพพรีเวดดิ้งถูกแขวนไว้เหนือหัวเตียง ในห้องนอนนี้ไม่มีคนหรือร่างของใครอยู่เลย มีเพียงถ้วยซุปที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เฉินฉีหยิบมาดมดู
“เป็นเห็ดหูหนูขาวในซุปเมล็ดบัวหวาน”
เฉินฉีหันไปสำรวจอีกทางและพบเข้ากับระเบียงเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน ตรงระเบียงมีบานกระจกที่ถูกเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งและมีม้านั่งตัวเล็กวางไว้บนพื้นใต้หน้าต่างบานนั้น เขาเริ่มตั้งคำถาม “ตอนที่คุณเรียกให้ช่างกุญแจมาเปิดประตู ประตูห้องถูกล็อกจากด้านในรึเปล่า?”
“ก็ไม่นะ” หลินถงซูตอบ
เฉินฉีมองลงไปที่พื้นด้านล่าง “เดาว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคงกระโดดลงไปจากตรงระเบียงนี้เพราะว่ากลัวมาก โชคดีที่ข้างล่างนั่นเป็นแปลงดอกไม้จึงพอช่วยลดแรงกระแทกได้ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี”
“พอเขาฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าคนในครอบครัวตายหมดจะต้องรู้สึกเจ็บปวดมากแน่ ๆ” หลินถงซูนึกสงสารเด็กคนนั้น
“พอเขาฟื้นขึ้นมางั้นเหรอ?” เฉินฉีมองเธอด้วยความงงงวย
หลินถงซูรู้ตัวว่าเธอน่าจะพูดอะไรสักอย่างผิดไปจึงพยายามอธิบาย “ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ คุณต้องคอยจับผิดคำพูดของฉันทุกประโยคเลยหรือยังไงกัน? รอให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาระบุเวลาเสียชีวิตของศพเหล่านี้โดยประมาณก็แล้วกัน”
“ไปดูที่ห้องครัวกันดีกว่า”
ทั้งสองเดินตรงไปที่ห้องครัว ห้องครัวและห้องน้ำเชื่อมต่อกัน ร่างชายคนหนึ่งนอนอยู่กึ่งกลางระหว่างห้องครัวและห้องน้ำ เมื่อเห็นหน้าแล้วจึงรู้ว่าเขาคือชายคนเดียวกันกับเจ้าบ่าวในภาพพรีเวดดิ้ง ศีรษะของเขาถูกทุบจนเป็นกะโหลกยุบลึกลงไป “ฮึบ” เฉินฉีออกแรงพลิกศพเพื่อทำการตรวจสอบ
“อาวุธที่ใช้ฆ่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนกับของอีกสองศพที่เราเจอ”
เฉินฉีพึมพำกับตัวเองอยู่สักพักจากนั้นก็รีบวิ่งหายเข้าไปในห้องครัว เขารีบค้นดูในตู้เก็บของแล้วหยิบถุงมือยางจากในตู้ออกมาคู่หนึ่ง หลินถงซูพยายามจะห้ามปรามเขา “นี่! คุณจะทำอะไรน่ะ?!”
“ผมไม่มีทางสงบใจได้แน่จนกว่าจะได้ตรวจสอบดู”
“อย่าเพิ่งขยับเขยื้อนศพตอนนี้สิ! รอพี่ชายฉันก่อน เขากำลังมา...”
“ถ้าพี่ชายของคุณมาถึงจริง คุณคิดว่าเขาจะยอมให้ผมตรวจศพดูไหมล่ะ?”
“ไหนตอนแรกคุณบอกว่ากลัวไง? ทำไมตอนนี้อยู่ดี ๆ ก็ไม่กลัวซะแล้ว” หลินถงซูบ่นอุบ
เฉินฉีพลิกศพดูอีกรอบและก็เห็นเศษบางอย่างในเส้นผมของผู้ตาย เขากวักมือเรียกเธอ “มาดูนี่สิ มีเศษกระเบื้องแตกสีขาวฝังอยู่บนผมของเขาด้วย!”
หลินถงซูก้มดูตามที่เขาบอก “โอ้ จริงด้วย!”
เฉินฉีลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำและเจอเศษกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยสีขาวกระจายอยู่ทั่วพื้นกระเบื้องห้องน้ำ ฝาครอบโถกดน้ำของชักโครกหายไป ดูจากปริมาณที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้นแล้วก็พอดีกับตัวเซรามิกที่เป็นฝาครอบดังกล่าว
หลินถงซูพยายามวิเคราะห์ตาม “ฉันคาดว่าตอนแรกฆาตกรซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ แล้วผู้ชายเจ้าของห้องก็บังเอิญเดินเข้ามาเจอเขา ฆาตกรจึงรีบหยิบฝาครอบนั่นมาทุบเข้าที่หัวเขาซะ”
“อย่าเพิ่งตั้งสมมุติฐานมั่วซั่ว ก่อนอื่นเราต้องรวบรวมหลักฐานให้ครบ”
เฉินฉีเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู ประตูของห้องน้ำทำจากกระจกฝ้า เขาถามจากอีกฝั่งหนึ่ง “คุณมองเห็นตัวผมไหม?”
“ไม่เห็นเลย”
“ไหนลองเปิดไฟดูซิ”
ทันทีที่หลินถงซูเปิดไฟในห้องน้ำจากสวิตช์ด้านนอก เฉินฉีก็เห็นเงาราง ๆ ของเธอผ่านประตูกระจกฝ้า เธอพูดขึ้นบ้าง “มองเห็นแล้ว! แต่เห็นไม่ชัดเท่าไหร่”
“แต่ผมมองเห็นคุณชัดมากจากข้างใน” เฉินฉีเปิดประตูเดินออกมาแล้วชี้ไปที่ประตูซึ่งอยู่ตรงข้ามกับกระจกฝ้าตรงประตูครัวพอดิบพอดี “กระจกฝ้าสองบานหันเข้ามาหากัน ทำให้แสงสะท้อนเข้าชัดมาก ทำให้ตัวคุณถูกเห็นได้อย่างง่าย ๆ”
“แสดงว่าเหตุผลของฉันถูกต้องสินะ?” หลินถงซูพูดด้วยความมั่นใจ
เฉินฉีก็ตอบกลับอย่างจริงจังเช่นกัน “เหตุผลอาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกซะทีเดียว มีแค่สมเหตุสมผลหรือไม่สมเหตุสมผลเท่านั้น”
“ว้าว การชมใครสักคนจะทำให้คุณสำลักน้ำลายตายหรือไงกัน?”
เฉินฉียิ้มแต่ไม่ตอบ จากนั้นจึงเข้าไปตรวจดูร่างของชายคนนั้น เขาเบิกดูดวงตาของผู้ตายพร้อมบีบกล้ามเนื้อและขยับแขนให้หมุนรอบก่อนสรุปผล “ดวงตาของเขาพร่ามัวเล็กน้อย ก่อนเสียชีวิตเขาคงพบเจอเรื่องเลวร้ายถึงขีดสุด สีผิวของเขาค่อนข้างซีดซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับแรงกดดันมาก ทั้งนิ้วมือและข้อต่อต่าง ๆ แข็งทื่อไปหมด อุณหภูมิเมื่อคืนเย็นประมาณสิบถึงสิบห้าองศา จากที่กล่าวมาคาดว่าเวลาที่ผู้ตายเสียชีวิตน่าจะเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน ไม่น่าคลาดเคลื่อนเกินไปกว่าสองชั่วโมง”
หลินถงซูมองไปที่เฉินฉีเหมือนพบเจอเข้ากับสัตว์ประหลาด เขายังอธิบายต่อไป “นี่เป็นแค่ความรู้พื้นฐานเอง คุณซื้อหนังสือเกี่ยวกับรายงานการชันสูตรศพทั่วไปมาอ่านก็สามารถเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้แล้ว”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรซะหน่อย!”
เฉินฉีหุบยิ้มขณะที่มองไปที่ศพของชายคนนั้น เขาพึมพำแผ่ว “ไม่สิ น่าแปลก... มีบางอย่างผิดปกติ ผู้หญิงทั้งคู่ต่างก็ใส่ชุดอยู่บ้าน แล้วทำไมผู้ชายถึงสวมเสื้อแจ็กเกตล่ะ?”
“อาจเป็นเพราะเขาพึ่งกลับมาจากข้างนอกก็ได้” หลิงถงซูลองเดา
เฉินฉีส่ายหน้า “แต่เขายังใส่รองเท้าแตะอยู่เลย ในห้องนี้หลังจากที่เดินผ่านเข้าประตูมาก็มีเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในบ้านของผู้ชายแขวนไว้ตรงกำแพงอยู่ก่อนแล้ว บ้านหลังนี้โดยรวมก็สะอาดเรียบร้อยดี ดังนั้นพอกลับถึงบ้านแล้วเปลี่ยนชุดทันทีถึงจะเป็นเรื่องปกติ พลังของความเคยชินไม่ใช่เรื่องที่จะละเลยได้ง่าย ๆ แล้วทำไมเขาถึงทำตัวผิดปกติแบบนี้ล่ะ?”
หลินถงซูพึมพำกับตัวเองอยู่สักพัก ทันใดนั้นเธอก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “ฉันรู้แล้ว! เขามีความจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำกะทันหันไง! บางทีเขากลับมาแล้วอาจพุ่งเข้าห้องน้ำก่อนอื่นจึงไม่ทันได้เปลี่ยนชุด”
เฉินฉีส่ายหน้าอีกครั้ง “นั่นไม่เรียกว่าการตั้งสมมุติฐานหรอกนะ แบบนี้เขาเรียกว่าเดามั่ว!”
หลินถงซูบุ้ยปาก “คุณสองมาตรฐานนี่! ถ้าการคาดเดาของฉันไม่นับว่าเป็นการหาเหตุผล แล้วทำไมการคาดเดาของคุณถึงนับเป็นเหตุผลได้ล่ะ?”
“การให้เหตุผลคือการอนุมานจากเบาะแสทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ สิ่งที่คุณเพิ่งพูดมาถือว่าเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น หลังจากสร้างข้อสมมติฐานแล้วก็ต้องได้ทำการพิสูจน์ หลังจากพิสูจน์ได้แล้วว่าถูกต้องถึงจะเรียกว่าเป็นการหาสาเหตุ คุณต้องมาดูนี่ซะก่อน” เฉินฉีพลิกศพให้อยู่ในท่านอนตะแคง หลินถงซูรู้สึกสับสน “คุณอยากให้ฉันดูอะไร?”
“ปัสสาวะของเขาไม่ราดเปียกกางเกง ถ้าเขาปวดท้องต้องการเข้าห้องน้ำเร่งด่วนอย่างที่คุณว่าจริง การถูกตีโดยแรงเข้าที่ศีรษะจะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดเสียการควบคุม ทั้งยังเสียความสามารถในการอั้นปัสสาวะไปด้วย แต่ดูนี่สิ... กางเกงของผู้ตายยังแห้งดี… จนดูสะอาดเกินกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ”
หลังพูดจบแล้วเฉินฉีก็ลุกขึ้นยืนทันทีก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งเพื่อเปิดฝาชักโครกขึ้น กลิ่นเหม็นตุของปัสสาวะแผ่กระจายออกมา เฉินฉีมองไปที่มันราวเจอขุมทรัพย์ชิ้นใหญ่แล้วร้องออกมาเสียงดัง “ฉี่ในชักโครกยังไม่ถูกกดล้าง! แสดงว่าผู้ตายเดินมาเข้าห้องน้ำก่อนที่เขาจะถูกฆ่า!”