ตอนที่ 16 ปัญญาอ่อน
ความใส่ใจนี้ทำให้เจียงเหยารู้สึกผิดและสำนึกผิด พูดตามตรง ทุกคนในตระกูลลู่ต่างปฏิบัติต่อเธออย่างดี แม้แต่คุณนายลู่ที่ไม่เคยชอบเธอมากนัก ก็ไม่เคยไม่ดีกับเธอ ตั้งแต่แต่งงานมา ก็มีเพียงดุด่าเธอบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
พ่อลู่เองมักเป็นคนทำให้ทุกอย่างสงบ และเป็นคนใจดีตลอดเวลา เขาปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยน เขาค่อนข้างคล้ายกับลู่ชิงสี
เธอหวนคิดถึงสิ่งที่เธอทำกับครอบครัวที่ยอดเยี่ยมในชาติที่แล้ว เธอคือคนที่ทำให้ครอบครัวนี้ต้องสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียว และถูกทอดทิ้งให้ไม่มีลูกหลาน ความสำนึกผิดที่ไม่อาจบรรยายได้เติมเต็มหัวใจของเธอ
เธอเหลือบมองไปที่ลู่ชิงสีผู้ซึ่งกินข้าวอย่างเงียบ ชายผู้นี้ที่แสดงความปรารถนาที่จะมีลูกกับเธอ
ในความเป็นจริง ลู่ชิงสีสามารถบังคับให้เธอไปอยู่กับเขาหรือบังคับให้เธอมีลูกได้ เธอไม่สามารถต่อต้านเขาได้ด้วยซ้ำ
แต่เป็นเขาเองที่อนุญาตให้เธอซ่อนตัวจากเขา เขาไม่เคยบังคับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขามักจะอยู่เบื้องหลังเธออย่างลับ ๆ และเงียบ ๆ
เจียงเหยาตัดสินใจว่าคราวนี้เธอจะมีลูกให้กับเขา!
“กินเนื้อหน่อยสิ” ตั้งแต่แรก ลู่ชิงสีรู้สึกได้ว่าเจียงเหยาเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มอย่างขบขันเมื่อนึกถึงการแสดงออกถึงความไร้อำนาจและความปรารถนาของเธอเมื่อเห็นเนื้อในจานของเขา ภรรยาที่รักของเขาเป็นเช่นนี้ช่างน่ารัก
การที่เจียงเหยาเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลู่ชิงสีคิดว่าภรรยาคงจะอยากกินเนื้อมาก ดังนั้นเขาจึงหยิบใส่จานให้เธอ พร้อมกับเตือนว่า “คนป่วยกินอะไรที่มันเยิ้มเกินไปไม่ดี ให้ชิ้นหนึ่งบรรเทาความยาก ถ้าหายดีแล้ว ผมจะขอให้แม่ให้ใหม่”
คำพูดของลู่ชิงสีทำให้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เจียงเหยา เธออายแทบจะฝังหน้าไปใต้โต๊ะเหมือนกับนกกระจอกเทศ ช่างน่าอาย!
คำพูดที่ทั้งตลกและน่ารำคาญนี่ เขาจงใจพูดหรือแค่พูดไปอย่างนั้น?
“ไม่เป็นไรเจียงเหยา ไม่ต้องอายไป ฝีมือการทำอาหารของแม่สามีเธอนี่อร่อยที่สุดในโลกแล้ว ตอนที่ฉันป่วย ฉันก็มักจะกินหมู่ตุ๋นฝีมือเธอเหมือนกัน เรื่องปกติที่จะอยากกินนั่นนี่ นั่นก็เพราะปากแห้งนั่นล่ะ ไม่เป็นไร ๆ”
พ่อลู่รีบเข้ามาช่วยพร้อมกับพูดพร้อมกับหัวเราะ เมื่อเห็นว่าเจียงเหยากำลังเขินอาย ในทางกลับกัน เขาดุอย่างลับ ๆ ให้กับลูกขายของเขา ‘เจ้าเด็กโง่! แกปัญญาอ่อนหรือ แค่คีบเนื้อให้เธอ เรื่องไร้สาระพวกนั้นไม่ต้องพูดออกมาก็ได้’
ไม่มีใครสังเกตเห็นการกทำของเขาตั้งแต่ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร ทำไมเขาต้องพูดพล่ามขึ้นมาด้วย?
คุณนายลู่หัวเราะเสียงดังกับคำพูดของพ่อลู่ เธอตบมือเขาและพูดอย่างขบขันว่า “คุณนี่รู้ดีที่สุด!” จากนั้นเธอก็มองไปที่เจียงเหยาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราครอบครัวเดียวกัน เธอไม่ต้องเขินไปหรอก อยากกินอะไรก็กิน แต่อย่ากินให้มากเกินไปล่ะ”
“ค่ะ” เจียงเหยาเงยหน้าขึ้นและตอบ ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงหัวเราะอู้อี้จากชายที่นั่งข้างเธอ เธอหันศีรษะและกลอกตาใส่เขา ซึ่งทำให้ลู่ชิงสีหัวเราะดังกว่าเดิม
เสียงหัวเราะดังของเขาหยุดทุกคนจากการรับประทานอาหาร พวกเขาเหลือบมองเขาด้วยท่าทางที่น่าสยดสยอง
ลู่อี้ชิงแกล้งหัวเราะอย่างกะทันหัน “แม่ พ่อ ดูเขาสิ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลู่ชิงสีของเราทำเสียงแบบนี้ได้ด้วย หนูยังจำได้ว่าเจ้าโง่นี่ไม่มีอารมณ์อะไรมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนอยู่โรงเรียนเพื่อนยังถามหนูเลยว่า ‘เฮ้ ลู่อี้ชิง น้องเธอหน้าเป็นอัมพาตเหรอ’ เธอบอกว่าน้องสาวของเธอนั่งข้างกับชิงสี และต้องทนกับการแสดงออกที่ไร้อารมณ์ของเขาทุกวัน จนทนไม่ไหว และขอย้ายที่นั่งไปเลย”