ตอนที่ 107 ข้าก็คือพ่อที่พลัดพรากของพวกเจ้ายังไงเล่า
ตอนที่ 107 ข้าก็คือพ่อที่พลัดพรากของพวกเจ้ายังไงเล่า
เที่ยงคืนตรงของวันที่ 2 เดือนพฤษภาคม ปีที่ 70 นับเป็นเวลาแรกของวัน
กายได้นอนลงเครื่องแคปซูลเกมและล็อกอินเข้าสู้โลกราชันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศที่เย็นยะเยือกในยามกลางคืนทำให้ชายหนุ่มที่พึ่งเข้ามาในเกมรู้สึกหนาวสะท้านเบา ตอนนี้กายยังคงค้างอยู่ในท่าการฝึกฝน แต่เพราะอากาศหนาวกายจึงตัดสินในหยุดฝึกไว้แต่เพียงเท่านี้
เมื่อเดินมาที่หน้าต่างสายลมเย็น ๆ ก็ปะทะเข้าที่ใบหน้าในทันที ที่ทุ่งหญ้ากิราในยามกลางคืนนั้นจะมีลมแรงมากกว่ากลางวัน แถมอากาศยังเย็นมากเป็นพิเศษ แต่ถึงแบบนั้นยามค่ำคืนก็ไม่ได้เงียบเหงาซะที่เดียว เพราะที่นี่ยังมีโลกอีกใบซ่อนอยู่
โลกของผู้คนที่ใช้ชีวิตยามค่ำคืน
กายรู้สึกสนใจที่จะลงไปหาทำความรู้จักกับเหล่า NPC พวกนี้ เพราะอาจจะมีภารกิจดี ๆ ให้ทำ แต่พอมาคิดดูถึงสถานะของตนคงยากที่ได้ภารกิจเหล่านั้น อีกอย่างกายต้องพักผ่อนเพราะในวันพรุ่งนี้เขาต้องไปฆ่ากระทิง
...
เวลาในกลางคืนล่วงเลยมาอย่างรวดเร็ว กายนอนอย่างปลอดภัยในสมาคมนักล่าค่าหัว ไม่มีใครกล้าท้าทายสมาคม เพราะถ้ามีนั่นก็เท่ากับว่าพวกมันเหล่านั้นเลือกจะเอาหัวตัวเองมาพาดขึ้นเขียง ให้พวกนักล่าตัดไปขึ้นเงิน
“พวกเจ้ามาแต่เช้าเลย ถ้าพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ” กายที่ตอนนี้อยู่บนหลังของเจ้าหมอกกำลังมองไปทิศทางของอาลีน่าและลูก้าที่ควบม้าของตนเข้ามาใกล้ ๆ นอกจากทั้งสองแล้ว ยังมีอีกคนมาด้วย แต่ชายคนนี้ใส่หน้ากากไม้ปกปิดใบหน้าไว้
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฉลยหัวหน้าโจรที่แม้จะอยู่บนหลังม้า แต่มือทั้งสองก็โดนมัดอยู่ แถมลูก้ายังประกบแนบชิด ชนิดที่ว่าถ้าหัวหน้าโจรคิดหลบหนีจะโดนเชือดทิ้งในทันที
ด้านข้างของกายนั้นมีหญิงสาวสองคนคือมีอาและลิลี่ที่ตอนนี้ก็เตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน
“ไปกันเถอะเราจะไปเชือดกระทิงกัน” กายกล่าวออกมาก่อนจะควบเจ้าหมอกเดินนำกลุ่มไป โดยมีเจ้าถึกตามหลังมาด้วย ทุกคนมีม้าสองตัวในการเดินทางครั้งนี้ โดยเหตุผลนั้นก็ง่ายนิดเดียว คือจะไปปล้นโจรก็ต้องมีมาขนของด้วย แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับเชลยอย่างหัวหน้าโจร มันได้แต่จำใจตามออกไป เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ตรงนี้นาน ๆ
ขณะกายกำลังควบม้ามุ่งไปข้างหน้า เขาก็รู้สึกว่าเจ้าหมอกที่ขี่อยู่นี้ มันให้ความรู้สึกต่างไปจากเดิมมาก
หรือว่ามันจะพัฒนาขึ้นได้ตอนที่ต่อสู้ในแดนสงคราม...ถ้ามันสามารถพัฒนาได้ที่แดนสงคราม แบบนั้นมันก็คงไม่ยากที่จะพัฒนาระดับของมันขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกไปจากโลกราชัน เราคงต้องพามันไปสู้ในแดนสงครามบ่อย ๆ
กายมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง เมื่อนึกถึงว่าถ้าเจ้าหมอกพัฒนาไปจนถึงม้าศึก หรือก็คือ ระดับ 4 มันจะทรงมากแค่ไหน
เจ้าหมอกที่แม้จะพูดไม่ได้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นของคนที่ขี่อยู่บนหลังมันก็มีทาทีคึกคักขึ้นมาเช่นกัน
กลุ่มของกายออกจากเลมิสตรงไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึงที่หมาย
“ด้านหน้าเป็นรังโจรของพวกกระทิงโลหิต ถ้าเจ้าคิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังคงทัน” หัวหน้าโจรกล่าวด้วยท่าทีกังวลอย่างชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี หวังว่าจะไม่มีใครไปล่าพวกก่อนเรา”
“ใครจะโง่เหมือนกับพวกเจ้ากัน” หัวหน้าโจรกล่าวประชด
ทุกคนจ้องมองไปที่หัวหน้าโจรเป็นสายตาเดียวกัน
“ข้า...แค่หมายความว่าใครจะกล้าหาญเหมือนพวกเจ้ากัน”
“แน่นอน” ลิลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ นางเป็นคนที่กล้าเสมอมาเมื่อได้รับคำชมจึงยิ้มออกมา แต่แล้วนางก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงถามกลับไป “จริงสิ! เจ้าชื่อว่าอะไร เพราะถ้าเรียกแต่หัวหน้าโจรมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ทำไมถึงเรียกหัวหน้าโจรแล้วมันดูไม่ดี”
“เพราะนางอยากตัดหัวเจ้าไปขึ้นเงิน 800 เหรียญทอง” ลูก้ากล่าวเสริม
“หึ เจ้าก็อยากได้เงิน 800 เหรียญทองไม่ใช่หรือยังไง” ลิลี่ย้อนกลับ
“แน่นอน ราถา 800 เหรียญทองนั้นเท่ากับอาวุธระดับ 4 ดี ๆ สักชิ้นเลย”
หัวหน้าโจรได้ยินการสนทนาข้ามหัวไปมาของทั้งสอง มุมปากของเขาถึงกับกระตุกเบา ๆ พวกนี้พูดราวกับเขาเป็นเพียงเหรียญทองเคลื่อนที่เท่านั้น
“ข้าชื่อ สเวน นิคาซิโอ้” สเวนบอกชื่อของตนก่อนที่คนพวกนี้จะพูดถึงการตัดหัวเขาไปขึ้นเงินมากกว่านี้
“นิคาซิโอ้...นิคาซิโอ้...” อาลีน่าพึมพำออกมาไม่หยุด มีอาเองก็เช่นกัน
“นิคาซิโอ้ ชนพื้นเมืองของทุ่งหญ้ากิรา” หญิงสาวทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะพูดออกมาด้วยความตกใจ
กายพอได้ยินก็มองไปทางสเวนเช่นกัน
“เจ้าคือชนพื้นเมืองของทุ่งหญ้ากิราอย่างนั้นเหรอ”
“แน่นอน เจ้าเห็นว่าข้าเหมือนกับพวกเจ้าคนจากนครดาราฟ้าหรือนครแสงเทวาอย่างนั้นหรือไง ที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นของพวกเราชนพื้นเมือง พวกเราคือลูกหลานของเทพแห่งทุ่งหญ้ากิรา” สเวนกล่าวออกมาอย่างเชิดหน้า ดูเหมือนเขาจะภูมิใจในชาติกำเนิดของตนเองอย่างมาก
เพราะเขาเป็นคนของทุ่งหญ้ากิราจึงรู้เส้นทางและอาณาเขตของโจรและกลุ่มอำนาจที่นี่เป็นอย่างดี เหมือนเราจะได้ NPC ที่มีค่าพอสมควรมาซะแล้ว
คงต้องใช้อย่างระวังไม่ให้ตายไปซะก่อน
กายมองไปที่สเวนด้วยสายตาเป็นประกาย สเวนไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าตนเหมือนพึ่งจะถูกจับล่ามโซ่และเป็นแรงงานทาสไปซะแล้ว
“เอาละมาเริ่มแผนการกันเถอะ” กายกล่าวและยิ้มออกมา
...
เบื้องหน้าภูเขาที่ไม่สูงมากนักแต่กับมีหินเแหลมคมและเหวในบางจุด ด้านบนมีถ้ำภูเขาตามธรรมชาติที่มีเส้นทางเข้าออกแค่เส้นเดียว ซึ่งถูกใช้โดยพวกกลุ่มโจรโลหิตเป็นรังโจร มันเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งมาก สามารถกันคนจำนวนมากบุกหรือป้องกันการปิดล้อมได้ง่ายได้เพราะเส้นทางขึ้นไม่กว้าง
นอกจากนั้นภายในถ้ำธรรมชาตินี้ยังมีแหล่งน้ำสะอาดที่สามารถใช้ดื่มได้ พวกโจรจึงสามารถอยู่รอดได้นาน ถ้าตุนเสบียงไว้มากพอ
รังโจรของกระทิงโลหิตนับเป็นหนึ่งในรังโจรที่ดีมากในทุ่งกิรา
ตอนนี้ห่างออกไปทางปากทางขึ้นไปยังเส้นทางถ้ำ สเวนกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยไม่พอใจ เพราะนักล่าค่าหัวเดวินให้มันขึ้นไปเป็นเหยื่อล่อ แถมยังไม่บอกแผนการอะไรมาก แค่ให้ทำหน้าที่ตรงนี้ให้สำเร็จและหนีออกมาให้ได้เท่านั้น
“วิธีนี้ไม่ได้ผลหรอก ข้าว่าเรากลับไปคิดหาทางแล้วมากันใหม่ดีกว่าไหม” สเวนพยายามเสนอแนะ แต่กายไม่มีอารมณ์มาคุยด้วย เขาเพียงมองอย่างเย็นชาไปที่สเวนเท่านั้น
เวรเอ๊ย! มันอยากให้ข้าตายจริง ๆ ใช่ไหม ต้องใช่แน่ ๆ หลังจากข้าตายคงเอาหัวไปขึ้นค่าหัวสินะ
หัวหน้าโจรสเวนสบถในใจควบม้าออกไปอย่างโมโห เมื่อเข้ามาใกล้ทางเข้าก็มีโจรหลายสิบนายที่เฝ้าทางเข้าอยู่บนเนินหินสูงขึ้นไปประมาณ 100 เมตรโผล่หัวขึ้นมาทีละคนด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
“หยุด ไอ้ขอทานตัวเหม็น เจ้าเป็นใครกัน ที่นี่คือที่ตั้งของกลุ่มโจรผู้ยิ่งใหญ่ กระทิงโลหะ ถ้าไม่อยากตายก็รีบออกไปจากภูเขานี้ซะ” เสียงโจรตะโกนดังขึ้นมา แต่ก็มีอีกเสียงดังขึ้นตอบ
“จะให้มันออกไปได้ยังไง บอกให้มันทิ้งม้าและของในตัวก่อนสิเฮ้ย”
“โอ้...จริงด้วยข้าลืม เฮ้!! เจ้าได้ยินแล้วรีบทำตามซะ แก้ผ้าแล้วเดินกลับไปพวกข้าถึงจะไว้ชีวิต”
หัวหน้าโจรสเวนพอโดนเรียกว่าเป็นขอทานก็ยิ่งโมโห เพราะตอนนี้สภาพของเขาก็เหมือนกับขอทาน ใครจะไม่มีสภาพเช่นนี้ถ้าโดนซ้อมมาทั้งวัน แถมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ใบหน้าและตัวของเขาจึงดูเหมือนหมาป่วยใกล้ตายจริง ๆ
แต่สมุนโจรกระจอกยังไม่แม้แต่จะเป็นนักรบขึ้น 1 แต่ต่อให้เป็นก็ไม่เกินนี้ กลับกล้าบอกให้มันทิ้งของทั้งหมดและเดินแก้ผ้ากลับไป จะไม่ใช้เขาโมโหได้ยังไง ด้วยความที่เก็บกดมาตั้งแต่กลุ่มของกายจนถึงตอนนี้ เขาจึงพูดออกไปด้วยความโมโห
“ข้าเป็นใครอย่างนั้นเหรอ ข้าก็คือพ่อที่พลัดพรากของพวกเจ้ายังไงเล่า”
เสียงของสเวนดังไปทั้งไปทั้งภูเขา ทุกคนเงียบลงกับคำตอบของสเวน โดยเฉพาะเหล่าโจรเฝ้าประตู มันเหมือนกับโดนหลอกด่า เส้นเลือดบนศีรษะเต้นตุบ ๆ มือทั้งสองของพวกมันกำหมัดแน่น ปากกัดฟันอย่างเดือดดาล
“ไอ้ลูกหมานี่กล้ามาหยิ่งผยองถึงนี่เลยหรือ ไม่กลัวตายหรือยังไง”
“บิดามึงเถอะ กล้าล่อแม่ข้าอย่างนั้นเหรอ”
“มันไม่ได้ล่อ มันแค่ด่า แต่เราจะสั่งสอนจนกลับบ้านไม่ถูกแน่นอน”
เสียงก้นด่าของโจรเฝ้าประตูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนจับจ้องไปที่สเวนด้วยสายตาเดือดดาล
ส่วนสเวนนั้นรู้สึกสำนึกเสียใจเล็กน้อยที่เผลอด่าออกไป ในตอนแรกมันลังเลที่จะทำตามแผนการของชายคนนั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือกเพราะมันพึ่งด่าโจรพวกนี้ไป
“หึ พวกเจาคิดว่าเป็นใคร ข้าคือ สเวน นิคาซิโอ้ ชายผู้มีค่าหัว 800 เหรียญทอง วันนี้ข้ามาทวงถามว่าพวกเจ้าทำไมถึงเข้ามาปล้นในอาณาเขตของพวกข้า หรือพวกเจ้าคิดว่าเป็นเจ้าของทุ่งหญ้ากิราแห่งนี้ จึงจะทำอะไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะกระจายข่าวไปบอกโจรทั้งทุ่งหญ้าว่าพวกเจ้าคิดจะขโมยทุกอย่างในทุ่งหญ้าไว้คนเดียว” เสียงตะโกนด้วยความอยุติธรรมของสเวนดังไปทั้งเขา ทำเอาโจรมองหน้ากันไม่ถูก
พวกมันไม่เข้าใจว่าตนไปปล้นในพื้นที่ของโจรกลุ่มอื่น ๆ ตอนไหน และพอได้ยินว่าชายที่ชื่อสเวนคิดจะบอกกับโจรทั้งทุ่งหญ้าสีหน้าของโจรกลุ่มกระทิงโลหิตก็ถึงกับกลัวขึ้นมา
แม้พวกมันจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าโดนโจรทั้งทุ่งหญ้ารุมมีหวังได้ตายกลายเป็นผีเฝ้าหุบเขาแน่นอน
มีคำกล่าวที่ว่า "ถ้ามีปีศาจมาแย่งอาหารของทุกคน ปีศาจตนนั้นจะโดนผู้คนรุมกินแทน" ในประวัติศาสตร์เมื่อหลายสิบปีก่อนเคยมีโจรกลุ่มหนึ่งคิดจะควบคุมทั้งทุ่งหญ้า แย่งชิงผลประโยชน์โจรกลุ่มอื่น ๆ โดยไม่สนใจอะไร สุดท้ายโจรนับร้อยกลุ่มรวมตัวกันหลายหมื่นคนรุมฆ่าโจรกลุ่มนั้นจนไม่มีเหลือ และพวกมันกลุ่มโจรกระทิงโลหิตก็เคยเข้าร่วมในครั้งนั้นด้วย
จึงรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงแค่ไหน
“ไปตามลูกพี่กระทิงแดงมาเร็ว” หนึ่งในโจรรีบไปตามหนึ่งในรองหัวหน้าโจรผู้เป็นนักรบฝึกหัดระดับ 2 มา