272 - จักรพรรดิโบราณผู้มาสาย
272 - จักรพรรดิโบราณผู้มาสาย
ทุกอย่างเงียบสนิทขณะที่เย่ฟ่านเดินต่อไปอีกสิบลี้ เหมืองโบราณนั้นมืดสนิทและโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง
“ข้าเข้าไปในเขตแดนอันตรายแล้วเหรอ?”
เขาเดินต่อไปอีกสามหรือสี่ลี้ไม่ช้าและไม่เร็ว ที่ด้านหน้ามีจารึกหินจำนวนไม่น้อยตามผนัง ทั้งหมดทิ้งไว้โดยคนโบราณ
ภาพแกะสลักนั้นธรรมดามาก พวกเขาเพียงแค่สลักมันขึ้นมาจากความจำเจหลังจากที่ต้องขุดเหมืองเป็นเวลานาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีจารึกบางอย่างที่ค่อนข้างมีความหมาย
เย่ฟ่านไม่คิดว่าพวกมันน่าเบื่อและเริ่มศึกษาอย่างระมัดระวัง
ในตอนแรกเนื้อหาพวกนี้พูดถึงเรื่องชีวิตประจำวันที่ไม่มีนัยยะสำคัญอะไร แต่ในภาพวาดสุดท้ายเป็นการบรรยายถึงชีวิตของพวกเขาก่อนที่จะตายที่นี่และไม่มีใครรอดไปได้
“คนโบราณเหล่านั้นเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อนต้องการทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง?”
เย่ฟ่านเริ่มตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องราวชนิดหนึ่ง ในท้ายที่สุด ผู้คนเหล่านั้นได้ขุดค้นสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ มากมาย และผู้คนก็เริ่มที่จะตายเป็นจำนวนมาก
ต่อมา สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ที่มีเขาอยู่บนหน้าผากก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อมันถูกขุดขึ้นมาจากเส้นเลือดของเหมือง เพียงมันตัวเดียวก็เกือบจะฆ่าทุกคนจนหมดสิ้น
สิ่งมีชีวิตที่มีเขานี้มีหกแขนและมีปีกคู่หนึ่ง สายตาของมันดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายใต้ท้องฟ้านี้ ในภาพวาดแสดงให้เห็นลักษณะที่มันกำลังคำรามและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมทั้งดินแดนในภูมิภาคนี้ก็ถูกทำลาย
นี่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกปิดผนึกในต้นกำเนิดสวรรค์หรือไม่? เสียงคำรามของมันสามารถเขย่าพื้นที่ภาคเหนือให้ล่มสลาย การดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้จิตใจของผู้คนเย็นลงอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต
รูปแกะสลักในภายหลังยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งมีชีวิตที่มีเขานี้จริงๆแล้วคุกเข่าลงกับพื้นและโค้งคำนับไปทางต้นกำเนิดสวรรค์ขนาดใหญ่
“หรือว่าจะเป็นราชาของพวกมัน!”
เขาเลื่อนดูงานแกะสลักต่อไปอย่างไม่รีบร้อนเพื่อดูว่าการดำรงอยู่จากต้นกำเนิดสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบเหล่านั้นมีอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
ภาพถัดไปเผยให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในต้นกำเนิดสวรรค์นั้นยังไม่ปรากฏและยังติดอยู่ในหมอก
แม้ว่ามันจะยังไม่ปรากฏอยู่ในโลก แต่กลับถูกห้อมล้อมด้วยซากศพที่ไม่มีที่สิ้นสุด ดินแดนทั้งภาคเหนือกระจัดกระจายไปด้วยความตายในทุกทิศทุกทาง
“มันเป็นตัวอะไรกันแน่?” เย่ฟ่านอดตกใจไม่ได้
ก่อนที่มันจะจะกลับสู่โลกใบนี้ครั้ง มันก็สามารถทำการสังหารหมู่ผู้คนไปมากมาย จากภาพแกะสลักที่เขาเห็นผู้คนที่ตายจากการปรากฏตัวของมันนั้นต้องมากมายมหาศาลอย่างยิ่ง
ในภาพวาดสองสามภาพถัดไปต้นกำเนิดสวรรค์ขนาดใหญ่ยังคงนอนอยู่ที่นั่นโดยไม่มีสิ่งมีชีวิตออกมาจากมัน แต่จำนวนซากศพรอบๆนั้นกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นภูเขา หลายคนเป็นผู้บ่มเพาะ
เลือดไหลรวมกันเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ นี่คือดินแดนแห่งนรกอย่างชัดเจน
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีเขาและมีปีกนั้น มันยังคงคุกเข่าลงที่ด้านข้างของต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์อย่างเคร่งขรึม
“มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อันขมขื่นนี้กี่คน? ภาพแกะสลักแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินถูกทำลายอย่างชัดเจนและเหมืองก็พังทลายลง ปีศาจตัวนั้นยังคงอยู่ที่นี่หรือไม่”
ในตอนแรกเย่ฟ่านมาเพื่อตำราสวรรค์ แต่ตอนนี้เขาหลงใหลงานแกะสลักอันล้ำลึกของเหมืองโบราณ
ในภาพแกะสลักสองสามชิ้นถัดไป ต้นกำเนิดสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบนั้นยังคงพร่ามัวอย่างยิ่งและไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็เช่นเคยซากศพของมนุษย์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าต้นกำเนิดสวรรค์นั้น มันไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“สิ่งมีชีวิตภายในต้นกำเนิดสวรรค์นั้นน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดแม้กระทั่งในยุคดึกดำบรรพ์…”
ในตอนท้าย ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกแสงปกคลุมอย่างสมบูรณ์ได้ลงมาจากฟากฟ้า จากนั้นสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป
ใบหน้าของบุคคลนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน อันที่จริง มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะคนๆนั้นถูกไฟหลากสีห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด แต่เหนือศีรษะของคนนั้นเขียนคำว่า
"จักรพรรดิ"
“จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่โบราณ!” หัวใจของเย่ฟ่านสั่นและเขาก็อ่านต่อไปอย่างรวดเร็ว
เขาสมควรได้รับสมญานามว่าเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่างสวรรค์ เพียงโบกมือเพียงครั้งเดียวสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในต้นกำเนิดก็ถูกบดขยี้ลงไปใต้พื้นดิน
พลังแบบนั้นไม่อาจโต้แย้งได้อย่างแน่นอน คนโบราณเหล่านั้นได้สลักภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิโบราณ
เพียงแค่ยกมือขึ้นเขาก็สามารถปราบปรามสิ่งมีชีวิตโบราณนั้นได้
สำหรับภาพแกะสลักชิ้นต่อไปมันเผยให้เห็นว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่โจมตีต้นกำเนิดสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่ ณ จุดนี้ กำแพงของเหมืองโบราณได้พังทลายลง และงานแกะสลักก็ถูกตัดออกไป จึงไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้
หลังจากข้ามผ่านส่วนที่หักไปแล้ว เย่ฟ่านก็ศึกษาภาพแกะสลักต่อ การดำรงอยู่ในต้นกำเนิดสวรรค์นั้นช่างน่ากลัวและทรงพลังอย่างยิ่ง มันทำให้จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นำอาวุธของเขาออกมา
ระฆังขนาดใหญ่ที่สูงราวกับเสาค้ำยันสวรรค์ มันลงมาปกคลุมต้นกำเนิดสวรรค์ที่สิ่งมีชีวิตตัวนั้นอยู่อย่างสมบูรณ์
“นี่มันอาวุธอะไร!”
พลังจากอาวุธของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นั้นน่ากลัวอย่างที่คิด พลังแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
คลื่นกระจายไปทั่วหัวใจของเย่ฟ่านพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณเป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างมาก
ในภาพต่อไปเผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวนั้นได้เดินออกมาจากต้นกำเนิด แต่สิ่งที่ปรากฏในงานแกะสลักนั้นเป็นเพียงมือเล็กๆ ส่วนที่เหลือไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เย่ฟ่านก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เขาพบว่าแม้ในขณะที่เขาเดินต่อไป กำแพงหินยังคงพังทลายและไม่เห็นภาพแกะสลักใดๆ
ท้ายที่สุดหลายร้อยหลายพันปีผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหินที่อยู่ในช่องทำเหมืองมีความพิเศษ ไม่มีทางที่งานแกะสลักเหล่านี้จะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงปัจจุบัน การที่พวกมันจะได้รับความเสียหายเป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่เขาเดินต่อไปอีกหลายร้อยวาแล้ว ภาพแกะสลักก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง น่าเสียดายที่การต่อสู้สิ้นสุดลงไปนานแล้ว อาวุธของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ได้จัดการสิ่งมีชีวิตตัวนั้นลงได้จริงๆ
ในท้ายที่สุด เขายังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวนั้น
“มือที่เรียวราวกับหยกนั้นดูเหมือนผู้หญิง มันทรงพลังจริงๆ…” เผ่าพันธุ์ของยุคดึกดำบรรพ์ไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง พวกเขาสามารถอยู่รอดได้ในต้นกำเนิดสวรรค์จนถึงยุคนี้
อย่างไรก็ตาม เขายิ่งประหลาดใจกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เพื่อให้สามารถปราบปรามสิ่งที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เขาสมควรที่จะเป็นบุคคลซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ในยุคนั้นอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เย่ฟ่านไม่เห็นการต่อสู้ครั้งนั้น ภาพแกะสลักจากส่วนที่แตกของกำแพงนั้นได้บันทึกการต่อสู้ที่มหัศจรรย์และดุเดือดแต่เขากลับพลาดไป
ก้าวไปอีกสิบวาในที่สุดเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของภาพแกะสลัก
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นใช้ระฆังของเขาห่อหุ้มต้นกำเนิดขนาดใหญ่แล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะลงจอดในดินแดนแห่งหนึ่ง
“ภูเขาสีม่วง!” เย่ฟ่านจำภูเขาได้ในทันทีมันคือ 'ไข่มุกอันเจิดจ้า' ที่มังกรทั้งเก้าคอยคุ้มกัน
หลังจากดูทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้เดินต่อในทันที เขายืนอยู่ที่นั่นและพยายามครุ่นคิดเรื่องราวทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้เป็นงานแกะสลักที่คนโบราณทิ้งไว้เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน พวกเขาบันทึกหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นขณะทำเหมือง
เหมืองเส้นนี้อยู่ใต้เทือกเขา ซึ่งเป็นเทือกเขาที่เรียกว่าเส้นเลือดมังกร
“มีเส้นเลือดมังกรเก้าเส้นในภูมิภาคนี้ พวกมันกำลังปกป้องไข่มุก ซึ่งก็คือต้นกำเนิดสวรรค์นั้นเอง เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตโบราณตัวนั้นยังคงอยู่ที่นี่?”
ย้อนกลับไปในพื้นที่เหมืองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วง เมื่อปิรามิดนั้นได้ปล่อยแสงออกมาและทำให้โลกสีเขียวมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้น เย่ฟ่านได้เห็นการก่อตัวของต้นกำเนิดเป็นการส่วนตัว
พลังชีวิตทั้งหมดถูกผนึกไว้ในต้นกำเนิดและรวมเข้ากลายเป็นของเหลวที่ห่อหุ้มร่างกายของสิ่งมีชีวิตลึกลับ
ที่นี่ สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจากยุคดึกดำบรรพ์ถูกผนึกไว้ในต้นกำเนิด หรือว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งมีชีวิตพวกนั้นเลือกที่จะนอนหลับไหลในต้นกำเนิดด้วยตัวของมันเอง?
หากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจากยุคดึกดำบรรพ์ยอมให้ตนเองถูกผนึกภายในต้นกำเนิดสวรรค์โดยสมัครใจ อะไรกันแน่ที่ทำให้พวกมันต้องหลบหนี?
มีเส้นเลือดมังกรเก้าเส้นที่นี่ ซึ่งหมายความว่ามีต้นกำเนิดสวรรค์อย่างน้อยเก้าแห่ง ถ้าพวกมันมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่ถูกผนึกไว้ทั้งหมด เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกัน?
ในอดีตอันไกลโพ้นนั้น เป็นไปได้ไหมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะรู้จักกันหรือไม่ก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน?
ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์เคยกล่าวไว้ว่าพลังอันยิ่งใหญ่ของดินแดนนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ยกเว้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
หากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจากยุคดึกดำบรรพ์เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วภูเขาสีม่วงนี้หมายความว่าอย่างไร?
“ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับภูเขาสีม่วงนั่น…”
เย่ฟ่านรู้ว่าต้นตอของปัญหาเหล่านี้อยู่ภายในภูเขาสีม่วง