บทที่ 17 ผมกลัวสถานที่แบบนี้ที่สุดเลยล่ะ!
บทที่ 17 ผมกลัวสถานที่แบบนี้ที่สุดเลยล่ะ!
หลังขึ้นรถแล้วหลินถงซูจึงตั้งใจว่าจะตรงดิ่งกลับบ้านทันที
ขณะเหลือบมองเฉินฉีที่กำลังตั้งใจขับรถเธอก็คิดกับตัวเอง ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่หาเวลาพักผ่อนได้ยากเย็นแบบนี้เธอไม่ควรจะอยู่กับหมอนี่ตลอดทั้งวัน แต่ควรรีบกลับบ้านไปนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาและดูซีรีส์ ‘เล่ห์รักวังต้องห้าม’ สักตอนสองตอนถึงจะถูก
เธอรู้ว่าตัวเองรูปร่างหน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กเพราะถูกหนุ่ม ๆ สารภาพรักมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าการที่ตัวเองแค่ส่งยิ้มให้กับคนอื่น ๆ จะทำให้คนอื่นหลงชอบเธอ ทั้งยังเข้าใจผิดไปว่าเธอเองก็สนใจพวกเขาเช่นกัน
‘ใช่ว่าฉันดีเลิศอะไรนักหรอก แต่ฉันแค่ไม่ชอบเวลามีคนที่เราไม่ได้ชอบมาสนใจจนเกินไปน่ะ’
‘ดังนั้น ฉันจะไม่ให้โอกาสอะไรก็ตามกับเฉินฉีทั้งนั้น!’
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นแค่คนขับอูเบอร์รับส่งผู้โดยสาร ส่วนเธอเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในอนาคตคงไม่มีโอกาสอะไรให้ต้องพบเจอกันอีก ไม่มีทางที่เราจะบังเอิญได้มาไขคดีด้วยกันไปตลอดหรอก พวกเราไม่ได้อยู่ในภาพยนตร์สักหน่อย…
“มีคนกำลังจะกระโดดตึก!” ทันใดนั้นเสียงผู้คนกรีดร้องดังขึ้นจากสี่แยกถัดไประหว่างทางที่พวกเราอยู่บนท้องถนน
เฉินฉีเหยียบเบรกกะทันหันก่อนเปิดประตูแล้วรีบพุ่งตัวไปยังสี่แยกอะพาร์ตเมนต์หรูทันที ซึ่งเขาเร็วเกินกว่าที่หลินถงซูจะทันร้องเรียกให้เขาหยุดการกระทำนั้น เธอจึงทำได้แค่บ่นในใจพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วก้าวลงจากรถตามไป
ทั้งคู่รีบวิ่งไปที่สี่แยกดังกล่าวจึงเห็นกลุ่มคนจำนวนมากยืนมุงดูกันอยู่ด้านล่างอะพาร์ตเมนต์นั้น เฉินฉีตะโกนบอกคนโดยรอบซ้ำ ๆ “ให้พวกเราเข้าไปหน่อยครับ” ขณะที่เขาแทรกตัวเบียดเข้าไปในฝูงชนได้แล้ว พวกเขาจึงเห็นภาพคนที่กำลังจะกระโดดลงมาในมุมมองที่ชัดเจน หลินถงซูถึงขั้นช็อกจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก
คนที่กระโดดลงมาเป็นเพียงเด็กอายุประมาณชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น ร่างของเขาร่วงลงบนแปลงดอกไม้ที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ขนาดเล็ก ๆ และพุ่มดอกไม้นานาพันธุ์ สิ่งที่ติดตัวมามีเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น ศีรษะถูกกระแทกจนแตกอาบไปด้วยเลือด
เฉินฉีตรวจดูคอของเด็กแล้วก็ตะโกนบอกคนที่ยืนอยู่แถวนั้น “เขายังมีชีวิตอยู่! รีบโทรเรียก 120* เร็วเข้า! ใครเห็นบ้างว่าเขากระโดดลงมาจากชั้นไหน?”
* 120 = สายด่วนแจ้งเหตุฉุกเฉินของประเทศจีน
คนที่พักอาคารเดียวกันกับเด็กคนนั้นรีบบอกเขา “เด็กคนนี้เป็นคนของครอบครัวซู พวกเขาพักอาศัยอยู่ที่ชั้นสาม คงเป็นเพราะพ่อแม่ของเขาไม่อยู่แล้วทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวรึเปล่า? ไม่งั้นอยู่ดี ๆ เขาจะตกลงมาจากตึกได้ยังไงกัน?”
เฉินฉีโคลงศีรษะส่งสัญญาณให้หลินถงซูพร้อมออกคำสั่ง “ขึ้นไปดูที่ชั้นสามให้ที เดี๋ยวผมจะดูแลเด็กคนนี้เอง” จากนั้นเขาก็พยายามคุยกับเด็กเพื่อให้เขายังมีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
หลินถงซูขึ้นไปบนชั้นสามพร้อมกับผู้พักอาศัยในอาคารเดียวกันที่เดินตามหลังกันมาหลายคน หลินถงซูเคาะประตูแต่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา เธอถามบรรดาคนที่ตามมาเหล่านั้น “มีพวกกุญแจสำรองที่ใช้ไขได้ทุกห้องไหมคะ?”
“ไม่น่ามีหรอก แต่แถวนี้มีร้านช่างกุญแจอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง! ถ้าจะไขเข้าไปคงต้องมีหมายค้นจากสถานีตำรวจก่อน”
หลินถงซูแสดงตราวิชาชีพให้พวกเขาดู “ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจค่ะ รบกวนเรียกให้เขามาที่นี่แล้วปลดล็อกประตูให้ที ฉันจะเป็นพยานให้เอง!”
หลินถงซูยืนรออยู่ที่ทางเดิน ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดโชยเข้าปะทะจมูก ตอนแรกเธอคิดว่ากลิ่นนั้นคงโชยมาจากบริเวณทางเดิน แต่เมื่อเธอลองขยับเข้าไปดมใกล้บานประตูเจ้าปัญหาจึงรู้ว่ากลิ่นนั้นลอยมาจากภายในห้อง
หลินถงซูรู้สึกกลัวมากจึงโทรเรียกเฉินฉีตามสัญชาตญาณทันที “นี่คุณ มีเรื่องผิดปกติ ฉันได้กลิ่นเลือดโชยออกมาจากห้องด้วย!”
“ถ้างั้นคุณรีบหาวิธีไหนก็ได้ให้เข้าไปในห้องให้ได้ก่อน ถ้าเข้าไปแล้วอย่าเพิ่งแตะอะไรล่ะ รอให้รถพยาบาลมาถึงแล้วเดี๋ยวผมจะรีบตามขึ้นไป”
หลังจากวางสายไปแล้วหลินถงซูก็เพิ่งจะฉุกคิดขึ้นได้ ‘ทำไมฉันถึงเลือกโทรหาเขาคนแรกแทนที่จะโทรแจ้งไปที่สถานีกันล่ะ?’
คิดแล้วเธอก็เตรียมกดโทรออกหาหลินชิวผู แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว กลิ่นของเลือดนี่อาจไม่ใช่ของมนุษย์ก็ได้ เพราะฉะนั้นเธอควรเข้าไปข้างในเพื่อทำการยืนยันก่อนที่จะโทรแจ้ง ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดาเท่านั้น
ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีช่างทำกุญแจก็มาถึง ทันทีที่เห็นตราในมือหลินถงซูเขาก็เริ่มทำการไขประตูโดยไม่รอช้า หลังใช้ความพยายามอยู่ประมาณสามครั้งประตูเปิดออกได้สำเร็จ เมื่อผลักประตูเข้าไปจึงพบว่าภายในห้องนั่งเล่นนั้นเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด!
ด้านหลังโซฟามีรองเท้าแตะโผล่ออกมาคู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนนอนอยู่ตรงนั้น
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างหวีดร้องออกมาด้วยความอกสั่นขวัญแขวน จากนั้นจึงเริ่มหันหน้าไปซุบซิบกัน “ครอบครัวเหล่าซูไปมีปัญหากับใครมาเนี่ย?!” “โจรฆ่าชิงทรัพย์หรือเปล่า?” “เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนกลางวันแสก ๆ เลย เจ้าของอะพาร์ตเมนต์จะทำยังไงกับเรื่องนี้กัน?!”
ผ่านไปสักระยะทุกคนที่อยากรู้อยากเห็นก็ค่อย ๆ ดันเบียดเข้ามาในตัวห้องพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดปาก แม้แต่หลินถงซูก็จนปัญญาที่จะพยายามหยุดพวกเขา “ทุกคนถอยออกไปด้วยค่ะ! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ! ฆาตกรอาจจะยังอยู่บริเวณนี้ ทางที่ดีอย่าแตะต้องบริเวณที่เกิดเหตุจะเป็นการดีที่สุด ให้ความร่วมมือหน่อยเถอะนะคะ!”
“พวกเราแค่ดูเฉย ๆ เองคุณ… เราเป็นเพื่อนบ้านกับครอบครัวเหล่าซูมาเกือบสิบปีแล้ว พอมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับครอบครัวเขา แล้วจะไม่ให้เราสนใจได้ยังไง?” บางคนยังพยายามจะเบียดตัวเข้าไปให้ได้จนแขนของหลินถงซูแทบต้านแรงผลักนั้นไว้ไม่อยู่
ทันใดนั้นเอง เสียงเย็นเยือกและทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังกลุ่มคน “พวกคุณรู้ไหมว่าสถานการณ์ตอนนี้มันร้ายแรงขนาดไหน? นี่ถือเป็นที่เกิดเหตุแล้วนะครับ ถ้ามีใครสักคนในบรรดาพวกคุณทิ้งรอยเท้าไว้ในห้องแม้แต่รอยเดียว รู้หรือเปล่าว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานยากขึ้นแค่ไหน?!”
เมื่อทุกคนหันไปมองก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงบันไดพร้อมเอามือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ พวกเขาต่างถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจนักแต่รู้สึกเกรงใจในความเข้มงวดของเขาอยู่บ้าง
เฉินฉีพูดต่อไป “เดี๋ยวก่อนครับ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ต้องทิ้งชื่อกับข้อมูลติดต่อเอาไว้ด้วย เพื่อที่เราจะได้นัดพบพูดคุยกับพวกคุณในภายหลัง”
หนึ่งในผู้พักอาศัยโต้กลับทันที “คุณเจ้าหน้าที่คะ ปกติแล้วพวกเราเองก็มีงานการล้นมือ ฆาตกรคนนี้แน่นอนว่าต้องเป็นคนนอกอาคารอยู่แล้ว ทำไมต้องมาคุยกับพวกเราด้วยล่ะ?” ผู้พักคนอื่น ๆ ก็พลอยเออออเห็นด้วยกับสิ่งที่คนคนนี้พูด
เฉินฉีพ่นลมหายใจ ‘คนพวกนี้เอาแต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่มีใครกล้าออกไปช่วยเด็กที่ตกตึกเมื่อกี้นี้กันเลยสักคน แถมยังมีหน้ามาแย่งกันดูเหตุการณ์กันอีก พอขอความร่วมมือให้ทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ก็พยายามหลีกเลี่ยง’
เขาพยายามทำให้เสียงตัวเองนุ่มลงขณะอธิบาย “ผมยังไม่ได้บอกซะหน่อยว่าคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับพวกคุณ แต่อย่างน้อยพวกคุณถือเป็นพยานปากสำคัญในเรื่องดังกล่าวนี่ครับ เช่น... พวกคุณเห็นใครที่ดูน่าสงสัยเข้ามาในอาคารบ้าง? ซึ่งทางเราจำเป็นต้องทราบข้อมูลพวกนี้ คุณคิดว่าตำรวจเท่านั้นที่มีหน้าที่สะสางคดีงั้นเหรอ? ไม่ใช่เลยครับ การไขคดีนั้นต้องการความร่วมมือจากทุก ๆ คน! พวกคุณคงไม่อยากให้เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นซ้ำกับครอบครัวตัวเองหรอกใช่ไหม?”
ประโยคสุดท้ายที่เป็นเชิงขู่และสร้างความหวาดกลัวทำให้พวกเขาทั้งหมดเงียบสนิท จากนั้นทุกคนจึงให้ข้อมูลการติดต่อไว้แต่โดยดี ส่วนเฉินฉีก็เก็บบันทึกข้อมูลทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์ส่วนตัวอย่างครบถ้วน
หลังเสร็จการรวบรวมพยานแล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมกล่าวเตือน “อย่าลืมเก็บเหตุการณ์นี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ อย่าเพิ่งแพร่งพรายกระจายข่าวตราบใดที่ยังจับกุมตัวคนร้ายไม่ได้ เพราะไม่แน่ว่าคนร้ายอาจยังอยู่ใกล้บริเวณนี้ บางทีอาจจะเป็นใครสักคนพวกคุณเห็นเป็นประจำจนคุ้นตา ผมไม่ได้แค่พูดให้พวกคุณกลัวเฉย ๆ นะ แต่ถ้ายังคิดเอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอก คุณอาจจะลำบากเอาได้ถ้าโชคไม่เข้าข้าง”
ทุกคนพยักหน้ารับว่าเข้าใจทั้งที่ใบหน้าซีดเผือด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไม่ขัดขวางการสืบสวนจากพวกคุณแล้ว คุณเจ้าหน้าที่ ขอให้จับตัวฆาตกรให้ได้โดยเร็วนะครับ!” พูดจบแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันออกไป
หลินถงซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฉันจำเป็นต้องพึ่งพาคุณจริง ๆ แหละ คุณจัดการเรื่องพวกนี้ได้เชี่ยวชาญมากเลยเชียว”
เฉินฉียิ้มพร้อมหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ผมผ่านเรื่องอะไรทำนองนี้มาเยอะ จะไม่เข้าใจพวกเขาได้ยังไง? อีกอย่าง ผมเองก็อาศัยอำนาจจากคุณด้วย ถ้าคุณไม่อยู่กับผมพวกเขาก็ไม่คิดหรอกว่าผมเป็นตำรวจ รู้ไหมว่าผมหมายถึงอะไร?” เฉินฉีอธิบายเหตุผลให้เธอฟังพลางจุดบุหรี่ไปด้วย
“เฮ้ คุณจะสูบบุหรี่ตรงนี้เลยเหรอ?!”
“ผมสูบได้ทุกที่ทุกเวลาถ้าผมอยากสูบ อ่า... คุณเองก็ควรรีบโทรเรียกพี่ชายของคุณได้แล้วนะ”
หลินถงซูชายตามองเขาด้วยความรังเกียจและไม่วายตำหนิ “อย่าทิ้งขี้บุหรี่เรี่ยราดล่ะ! ฉันไม่เข้าใจผู้ชายแบบคุณเลย การสูบบุหรี่มันมีดียังไงกัน?”
หลังจากหลินถงซูคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว เฉินฉีก็สูบบุหรี่จนหมดมวนแล้วเช่นกัน เขาค่อย ๆ ห่อขี้บุหรี่ด้วยที่ห่อซองบุหรี่ก่อนจะเดินตรงมาแล้วส่งสัญญาณให้เธอ “เข้าไปดูข้างในกันเถอะ!”
“โอเค…” เมื่อมองเข้าไปภายในห้อง วอลล์เปเปอร์ติดผนังล้วนต่างถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน หลินถงซูเริ่มรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา “คุณเข้าไปก่อนไหม?”
“เลดี้เฟิร์ส”
“หึ... จริงแล้ว ๆ คุณเองก็กลัวใช่ไหมล่ะ?”
เฉินฉีลูบคาง “ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะหัวเราะเยาะหรืออะไรหรอกนะ บอกตรง ๆ ว่าผมก็กลัวเหมือนกัน เดาว่าในห้องพักนี้ต้องมีคนตายมากกว่าหนึ่งคนแน่นอน”
“ฉันนึกว่าคุณจะเป็นคนประเภทไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้นซะอีก ก็ได้ งั้นฉันจะเข้าไปก่อน!” หลินถงซูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่พักใหญ่ก่อนก้าวเข้าไปข้างในห้องพักโดยไม่ลืมใช้ถุงพลาสติกห่อรองเท้าตัวเองไว้
ส่วนเฉินฉีได้แต่ทำตัวเล็กลีบหลบอยู่ด้านหลังหลินถงซู เธอคิดว่าเขาแค่แกล้งทำเป็นกลัวจึงอดถามไม่ได้ “คุณกลัวจริง ๆ หรือนี่?”
“ก็ใช่น่ะสิ” เฉินฉียิ้มอย่างขมขื่น “ผมกลัวการเข้ามาในสถานที่แบบนี้ที่สุดเลยล่ะ!”