บทที่ 9: สะบัดปากกา, ปลูกต้นคัมภีร์วรยุทธ
“ผู้ฝึกยุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับ เราเรียกผู้ที่ฝึกฝนจนถึงระดับเจ็ดว่าปรมาจารย์ยุทธ แต่ฉันไม่รู้เรื่องของผู้ที่อยู่ระดับเก้าขึ้นไปหรอกนะ” หวางซืออวี่กล่าว
เจียงเหอเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ เขายังคงเป็นแค่ 'กึ่ง ๆ' อยู่เลย ซึ่งหมายความว่ายังไม่ถูกนับรวมในสารบบด้วยซ้ำ
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้นว่า “แล้วใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างพวกเหนือมนุษย์กับผู้ฝึกยุทธ?”
“มันก็พูดยาก และยากจะเปรียบเทียบด้วย”
หวางซืออวี่คุ้นเคยกับคำถามนี้มากเพราะเธอเองก็ได้ถามไป๋เฟยเฟยด้วยเช่นกัน เธอจึงสามารถตอบได้ทันทีว่า “พลังงานดั้งเดิมนี้พึ่งฟื้นคืนได้แค่ประมาณ 10 ปี แต่เมื่อไม่นานมานี้ พลังงานดั้งเดิมก็เกิดปะทุขึ้นมาอีกครั้งจนส่งผลให้มีจำนวนผู้ปลุกพลังเพิ่มขึ้นมาบ้างอีกเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ ก็สามถึงห้าจากแสนคน และการใช้งานพลังพิเศษนั้นยังอยู่ระหว่าการพัฒนาอีกด้วย”
“ยิ่งไปกว่านั้น มีความสามารถต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น การรักษาหรือการอ่านใจของฉันที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้… จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างผู้เหนือมนุษย์และผู้ฝึกยุทธ”
“ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกยุทธระดับ 1 ที่มีประสบการณ์การต่อสู้สูงจะสามารถบดขยี้พวกเหนือมนุษย์ที่มีพลังที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้ได้สบาย ๆ”
“ในทำนองเดียวกัน พวกเหนือมนุษย์ที่พิเศษบางคนมีความสามารถในการฆ่าผู้ฝึกยุทธปกติในทันทีก็มี”
***
การสนทนานี้ทำให้เจียงเหอมีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเหนือมนุษย์และผู้ฝึกยุทธเพิ่มมากขึ้น
ระหว่างนั้นข้าวโพดก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
หวางซืออวี่ลูบท้องด้วยความเขินอายเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าวโพดนายอร่อยเกินไปแล้ว ฉันอดใจไม่ไหวจนต้องกินให้หมด”
"ไม่มีปัญหา ยังไงก็ปลูกเองอยู่แล้วไม่ได้ซื้อมา เธอจะมากินด้วยกันเมื่อไหร่ก็ได้นะ” เจียงเหอตอบอย่างสุภาพ
"จริงเหรอ?"
หวางซืออวี่ตาเป็นประกายและกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “โอเค วันหลังถ้าฉันมากินด้วยอีก แล้วออกอาการตะกละล่ะก็นายห้ามผลักไสไล่ส่งฉันเด็ดขาดนะ… อ้อใช่”
ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและพูดต่อ “เจียงเหอ นายคงเดาออกสินะว่าหลังจากที่ฉันตื่นขึ้น ฉันได้เข้าร่วมสำนักงานจัดการคดีพิเศษแห่งชาติ”
“องค์กรเรามีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้เหนือมนุษย์ ผู้ฝึกยุทธ และรวมไปถึงสถานการพิเศษบางอย่างด้วย”
“ในฐานะตัวแทนขององค์กร ฉันขอเชิญคุณเข้าร่วมกับเรา”
เธอใช้คำพูดอย่างเป็นทางการและยื่นมือเรียวยาวขาวผ่องออกมาอย่างจริงใจ
เจียงเหอก็คว้าหมับทันที และสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม… หากมือนี้ช่วยเขาทำนั่นทำนี่ล่ะก็…
หวางซืออวี่หน้าแดงอีกครั้ง
เจียงเหอรู้สึกไม่พอใจและบ่นว่า "หวางซืออวี่ เธอหยุดอ่านความคิดของฉันสักที่ได้ไหม? แค่ความคิดก็ขอให้มีความเป็นส่วนตัวสักหน่อยไม่ได้หรือไง?”
"นี่นาย!"
หวางซืออวี่โมโหจากนั้นก็กระทืบเท้าปึงปังด้วยความหงุดหงิด “เจียงเหอ นายอย่าทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้สิ ในหัวของนายมีแต่เรื่องสัปดนจริง ๆ เหรอ?”
หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ไม่สามารถจะพูดคุยเจาะลึกหารายละเอียดได้
เจียงเหอจึงเปลี่ยนหัวข้อถามว่า “ถ้าฉันปฏิเสธที่จะเข้าร่วมองค์กรของเธอแล้วจะเป็นยังไง?”
“นายจะต้องลงนามในสัญญารักษาความลับ!”
หวางซืออวี่ตอบอย่างจริงจัง “ก่อนที่ประเทศจะประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับผู้ปลุกพลังเหนือมนุษย์ การกลายพันธุ์ของพวกสัตว์อสูร และผู้ฝึกยุทธ นายจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
“โอเคเลย ฉันจะเซ็นต์สัญญารักษาความลับ”
เจียงเหอพยักหน้านิ่ง แต่ว่าในจิตใจของเขากำลังเต้นระบำด้วยความปีติยินดี
ก่อนที่ประเทศจะประกาศ...
‘ตามที่หวางซืออวี่พูด ตอนนี้พลังงานดั้งเดิมกำลังปะทุแรงขึ้นคงใกล้จะถึงจุดพีคแล้ว ซึ่งหมายความว่าคดีพิเศษกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว และองค์กรคงแทบควบคุมปกปิดไม่ได้อีกต่อไป แสดงว่าประเทศคงมีแผนที่จะเปิดเผยข้อมูลนี้ในเร็ว ๆ นี้สินะ’
ตู้ม!
เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วฟ้า ตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของแผ่นดินอย่างรุนแรง บ้านของเจียงเหอก็สั่นไปด้วยเช่นกัน จากนั้นได้มีฝุ่นทรายซัดกระหน่ำลงมาเต็มหลังคาบ้าน
“ไม่นะ แผ่นดินไหว!”
เจียงเหอหน้าตึง เขาคว้ามือหวางซืออวี่แล้ววิ่งออกจากบ้าน
เมื่อออกมาจากบ้านเขาพบว่าเอ้อเหลิงจื่อเห่าอย่างกระสับกระส่ายไปทางทิศตะวันออก และเมื่อเจียงเหอมองตามไปที่นั่น เขาก็เห็นแสงสีขาวที่ทำให้ตาพร่ามัวสาดไปทั่วท้องฟ้าทางทิศตะวันออกค่อย ๆ จางลง โดยมีเมฆรูปเห็ดค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า
ชาวบ้านอีกหลายคนวิ่งออกจากบ้านของพวกเขาด้วยใบหน้าตกตะลึงแตกตื่น
'ระเบิดนิวเคลียร์!'
ความคิดนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของเจียงเหอทันที!
หวางซืออวี่ก็หน้าหมองลงเช่นกัน เธอพึมพำออกมาว่า “มีปัญหา… เกิดเรื่องใหญ่ที่ภูต้าตง…”
ยังพูดไม่ทันจบเธอก็รีบวิ่งไปยังทิศทางของการระเบิด
ในขณะเดียวกัน เจียงเหอได้ปีนขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็วเพื่อดูเมฆเห็ดที่ยังไม่กระจายตัว ในใจของเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
“ภูต้าตง? ห่างจากที่นี่เกือบสี่ร้อยลี้… แรงระเบิดจะรุนแรงขนาดที่ไกลเพียงนี้ยังสัมผัสได้แถมยังมองเห็นฉากพวกนี้หลังการระเบิดอีก ดูท่าจะเป็นการยิงนิวเคลียร์จริง ๆ สินะ”
“แม้แต่นิวเคลียร์ยังต้องงัดออกมาใช้ แสดงว่าสถานการตอนนี้มันเข้าขั้นวิกฤตแล้วงั้นเหรอวะ?”
หลังจากจ้องมองอยู่นาน เจียงเหอก็กระโดดลงจากหลังคาในที่สุด และดุเอ้อเหลิงจื่อที่ยังคงเห่าอย่างไม่ลดละก่อนที่จะครุ่นคิดต่อไป
“ต้องยิงระเบิดนิวเคลียร์เพื่อถล่มสัตว์อสูร”
เฮ้อ!
เจียงเหอถอนหายใจอย่างแรง!
ต้องเป็นตัวแบบไหนวะถึงต้องทำขนาดนี้?
และคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ สัตว์อสูรนั้นมันตายหรือเปล่านี่สิ ถ้ามันตายก็ดีไป แต่ถ้ามันรอด… สยองว่ะ
"แข็งแกร่งขึ้น! ตูต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด!”
“ตอนนี้ตูไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ—ถ้าต้องไปเจอไอ้พวกตัวแบบนั้นล่ะก็ตายแน่ ๆ ซี้แหงแก๋!”
เจียงเหอสะบัดมือควักเอาแตงกวาออกมา
เขาจ้องมองมันและเรอออกมาเพราะท้องมันอิ่มแล้ว
“เอ่อ… จะอ้วกว่ะ!”
'ก็กินข้าวโพดไปหมดหม้อแล้ว ยังจะต้องยัดไอ้แตงกวายักษ์นี่ลงพุงอีกเหรอวะ?'
อย่างไรก็ตาม เจียงเหอยังจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองเพื่อพัฒนาความสามารถ
เอ้อเหลิงจื่อครางหงิง ๆ เมื่อเห็นเจียงเหอหยิบแตงกวาออกมา มันกลายเป็นภาพเบลอสีดำพุ่งเข้าหาเจียงเหอและหมอบอยู่ข้างหน้าเขา กระดิกหางดิ๊ก ๆ และน้ำลายหยดแหมะเต็มพื้น
เจียงเหอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงพยายามยัดแตงกวาทั้งลูก แต่ก็กินได้เพียงสองในสามส่วน และโยนส่วนที่เหลือให้เอ้อเหลิงจื่อ
'ช่วยไม่ได้ว่ะ'
'จะกินให้หมดลูกมันก็ไม่ไหวจริง ๆ ต่อให้รู้สึกว่าร่างกายมันจะแข็งแกร่งขึ้นก็เถอะ แต่มันไม่เกี่ยวกับกินไหวหรือไม่ไหวนี่หว่า!'
"ไม่ได้การ! เพิ่มพลังแบบนี้ยากเกินไปและช้าเกินไป! ถ้าต้องกินแบบนี้ทุกวันตูได้อ้วกแตกตายจริง ๆ แน่…”
“ตูอาจกินเหลียงป้านหวงกวา (แตงกวาเย็น) เป็นมื้อเย็นจนพัฒนาไปถึงขั้นผู้ฝึกยุทธจริง ๆ ก็ได้… แต่นั่นเป็นเพียงด้านร่างกายเท่านั้น ตูไม่เคยฝึกฝนวิชาอะไรมาก่อน ต่อให้มีพละกำลังสูงส่งแต่ไม่รู้วิธีเอามาใช้ก็ไร้บอย”
“ฝึกวิชา…”
“ฝึกวิชา…”
“ต้องทำไงถึงจะฝึกฝนวิชาได้ละ?”
“หวางซืออวี่บอกว่าศิลปะการต่อสู้มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งหมายความว่าสำนักงานจัดการคดีพิเศษแห่งชาติจะต้องมีวิธีการฝึกฝนอย่างอย่างแน่นอน แต่ตูดันเป็นพวกชอบอิสระเนี่ยสิ… เออเว้ยใช่แล้ว!”
เจียงเหอลุกพรวดขึ้นทันทีจนเอ้อเหลิงจื่อตกใจเกือบจะสำลักแตงกวา
มันกลอกตาใส่เจียงเหอ
"ไอ้หมานี่! ไปกินที่อื่นดิ๊!”
เจียงเหอเตะตูดเอ้อเหลิงจื่อก่อนที่จะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ค้นหาปากกาและกระดาษและเปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วเสิร์ชเว็บไป่ตู้หาเคล็ดวิชา
“ถ้าจำไม่ผิด มีเคล็ดวิชาสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร คัมภีร์เก้าเอี้ยง คัมภีร์เก้าอิม และเจ็ดสิบสองกระบวนท่าเส้าหลินอยู่ในเน็ต ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระก็เถอะ…”
“แต่… ถ้าตูเอาเคล็ดวิชาพวกนี้มาปลูกได้จริง ๆ ล่ะมันจะเป็นยังไง?”
เจียงเหอเอากระดาษมาวางแล้วเริ่มเขียน :
มังกรผยองได้สำนึก เคล็ดสำคัญของกระบวนท่านี้มิใช่อยู่ที่คำว่า "ผยอง" ซึ่งหมายถึงความแกร่งกร้าว แต่อยู่ที่คำว่า "สำนึก" ท่านี้ตรงกับแผนภาพอี้จิงที่ระบุว่า "มังกรผยองได้สำนึก เอ่อล้นพ้นไม่ยืนยาว"...