ตอนที่แล้วบทที่ 7: นายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9: สะบัดปากกา, ปลูกต้นคัมภีร์วรยุทธ

บทที่ 8: ข้าวโพดที่ยาวและใหญ่มาก


“เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แค่หมาตัวเดียวก็ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แถมเจ้าเอ้อเหลิงจื่อมันก็เป็นหมาที่เชื่อฟังดี  ถ้าบอกให้มันไปตะวันออก  มันไม่กล้าไปตะวันตกแน่นอน!”

เจียงเหอยังคงต้องการให้เอ้อเหลิงจื่อเป็นหมาเฝ้าสวน  เขาจึงปล่อยให้องค์กรลับจากไหนก็ไม่รู้มาเอาตัวมันไปไม่ได้  ที่สำคัญกว่านั้น  เมื่อมันเกิดการวิวัฒนาการพลังพิเศษก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาด้วย—มันอาจจะเปิดเผยความลับของเจียงเหอก็ได้ใครจะรู้

เจียงเหอไม่แปลกใจเลยที่องค์กรลับพวกนี้มีวิธีสื่อสารกับสุนัขหลังจากปลุกพลังพิเศษแล้ว

“เจียงเหอ  นายไม่รู้หรอกว่าสัตว์อสูรน่ากลัวแค่ไหน” หวางซืออวี่กล่าวอย่างจริงจัง “ตัวเดียวก็สามารถฆ่าผู้ใหญ่ได้ทันทีหากไม่มีปืนและกระสุน  มีเพียงผู้ฝึกยุทธหรือผู้ปลุกพลังเท่านั้นที่สามารถสู้กับพวกมันไหว”

“เอ้อเหลิงจื่อนั้นอันตรายมาก  แม้ว่ามันจะยังไม่ได้พัฒนาเป็นสัตว์อสูรก็ตาม  แต่ว่าตามกฎขององค์กรแล้วกรณีนี้ต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาของฉัน!”

“กฎเกณฑ์นั้นเข้มงวด  มนุษย์นั้นยืดหยุ่น” เจียงเหอตอบกลับ

ในขณะนี้  ในใจของเขายังคงวางแผนว่าจะเกลี้ยกล่อมหวางซืออวี่อย่างไรดี  และแก้มของเธอก็แดงก่ำเมื่อมีภาพนั้น ๆ เข้ามาในความคิดของเขา “แต่ไม่เป็นไร  เพราะว่านายปลุกความสามารถในการฝึกสัตว์อสูร  นายคงจะสามารถควบคุมเอ้อเหลิงจื่อได้” เธอกัดฟันกรอด “แต่พ่อของฉันเลี้ยงมันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกหมา  และตราบใดที่นายสัญญาว่าจะจับตาดูมันให้ดี  ฉันจะไม่รายงานต่อหัวหน้า”

เจียงเหอยิ้มด้วยความยินดี "สบายใจได้  ฉันจะหักขามันถ้ามันกล้าออกจากบ้าน!”

หวางซืออวี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่า  นายห้ามทารุณกรรมเอ้อเหลิงจื่อเด็ดขาด”

เจียงเหอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะ "ก็ได้ ๆ เอาตามนั้นแหล่ะ  เอ้า  ตอนนี้เธอก็มาบ้านฉันแล้วจะยืนอยู่แต่ในลานทำไม? มามะ  ฉันเพิ่งต้มข้าวโพดเสร็จพอดี  มากินด้วยกันเถอะ”

ภายในบ้านหวางซืออวี่เริ่มมองไปรอบ ๆ และตรวจสอบ

บ้านของเจียงเหอค่อนข้างทรุดโทรม  แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

เธอถอนหายใจในที่สุดเมื่อสายตาของเธอตกลงไปที่รูปของคุณปู่เจียง  ถึงแม้เธอจะเปิดปากแต่เธอก็ไม่สามารถพูดคำในใจเพื่อปลอบโยนเจียงเหอได้

ในขณะเดียวกัน  เจียงเหอดึงเก้าอี้ให้เธอและพูดว่า “มานั่งสิ  ที่นี่ค่อนข้างโทรม  ขออภัยในที่เสียมารยาทนะ”

“มะ  ไม่เป็นไร!”

หวางซืออวี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น… เจียงเหอฉันเชื่อนายนะ!  นายจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นในอนาคตอย่างแน่นอน”

'เอ๊ะ!'

'ไหงเป็นงั้นไปได้ล่ะ?'

ในขณะเดียวกัน  เจียงเหอก็เปิดฝาหม้ออย่างคล่องแคล่ว  และกลิ่นของข้าวโพดก็อบอวลไปทั่วห้องในทันที

ไม่ใช่แค่หวางซืออวี่  แม้แต่ตัวเจียงเหอเองก็กำลังออกแรงสูดดมกลิ่นให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้—กลิ่นข้าวโพดที่หอมกรุ่นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว

เขาหยิบตะเกียบและชามสแตนเลสขึ้นมาแล้วคีบชิ้นข้าวโพดทั้งหมดใส่ชาม

มีโต๊ะกลมเก่าที่มีแผ่นพลาสติกปูเป็นผ้าปูโต๊ะอยู่ตรงกลางห้อง  ซึ่งโต๊ะตัวนี้ทำหน้าที่เป็นโต๊ะอาหารของเจียงเหอ

ทันทีที่วางชามลงบนโต๊ะ  เขาก็ได้ยินสียงสูดหายใจ  ซื้ด~~~

“โอ้โฮ!”

“ใหญ่มาก!”

“ยาวมาก!”

ตาของหวางซืออวี่  เบิกโปนเมื่อเห็นข้าวโพดในชาม

ชัวร์อยู่แล้ว

ต่อให้ข้าวโพดจะถูกหั่นเป็นสี่ชิ้นแล้ว  ก็เห็นได้ชัดจากขนาดเมื่อเทียบกับชามว่ายาวและใหญ่แค่ไหน

แล้วไอ้ที่ตะโกนว่า…

ยาวมาก  ใหญ่มาก...

คำพูดเหล่านั้นทำให้จิตใจของเจียงเหอเกิดอาการตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

“บะบะบะบ้า!”

หวางซืออวี่ที่ใบหน้าแดงฉานกล่าวดุออกมา “เจ้าอันธพาล!  ฝันบ้าอะไรอยู่?”

“นี่หวางซืออวี่  เธอจะปล่อยให้ฉันมีความเป็นส่วนตัวบ้างไม่ได้เหรอ” เจียงเหอตอบด้วยสายตาที่จริงจัง “ว่าก็ว่าเถอะ  เธอปลุกความสามารถในการอ่านใจขึ้นมาได้อย่างไร?  พลังนี้มีข้อจำกัดในการใช้งานไหม?”

หวางซืออวี่แทะข้าวโพดไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ฉันสอบตกสามวิชาตอนสอบเทอมสุดท้าย  แล้วไปนั่งเศร้าใจจนหลับไป  แล้วพอตื่นนอนก็กลายเป็นว่าฉันเห็นความคิดของคนอื่นได้ซะงั้นเลย”

เธอเอียงคอด้วยแก้มที่ยุ้ย ๆ ดูน่ารัก  ขณะที่เธอเคี้ยวข้าวโพดไปด้วยรำพึงไปด้วย “จิตใจของฉันค่อนข้างอ่อนแอเมื่อช่วงตื่นขึ้นครั้งแรก  นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดว่าฉันจะอ่านใจได้กี่ครั้ง  และถ้าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า  ฉันก็จะไม่สามารถใช้มันกับพวกเขาได้”

“อีกทั้ง  ถ้าต้องไปเจอกับพวกเหนือมนุษย์ที่ปลุกพลังทางจิตเหมือนกันก็อาจจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานก็ได้”

เจียงเหอหยิบข้าวโพดอีกครึ่งชิ้นขึ้นมากินแล้วก็พบว่ามันหวานมาก  ยิ่งเคี้ยวกลิ่นหอมหวานก็ยิ่งปะทุออกมา

“พลังจิต? พวกเหนือมนุษย์?” เจียงเหอถามต่อ

“เรื่องนี้เป็นความลับน่ะ” หวางซืออวี่อธิบาย “ไม่ควรบอกกับผู้อื่น  แต่ไม่มีอะไรต้องปิดบังเพราะนายได้ปลุกพลังพิเศษแล้วด้วย”

“พลังวิญญาณเริ่มฟื้นตัวกลับมาครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่ามีแก่นแท้ของพลังงานพิเศษใหม่ในบรรยากาศที่พวกเขาตั้งชื่อว่า  หยวนเหนิงจื้อลี่  (พลังงานดั้งเดิม)”

“มนุษย์  พืช  หรือสัตว์ใด ๆ จะมีวิวัฒนาการหลังจากที่พวกมันดูดซับพลังนี้”

“มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะกลายพันธุ์  พวกนั้นจะวิวัฒนาการและปลุกพลังความสามารถบางอย่างขึ้นมาได้  พวกเหล่านี้เรียกว่าเหนือมนุษย์ซึ่งมักจะปลุกพลังจิตหรือพลังพิเศษ”

“การตื่นขึ้นด้วยพลังพิเศษนั้นพบได้บ่อยกว่า  ไม่ว่าพวกมันจะได้รับพละกำลังไร้สิ้นสุด  เศียรทองคำ  แขนเหล็ก  ย่อ ๆ ก็คือ  พวกนั้นจะได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหรือมีบางส่วนของร่ากายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติจึงส่งผลให้เกิดความสามารถแปลก ๆ ต่าง ๆ กันไป”

หวางซืออวี่แทะข้าวโพดไปอีกสองคำแล้วพูดต่อ “อย่างเช่นหลี่เฟยที่สหกรณ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในภูเขาเป็นต้น  เขาเป็นบุคคลากรคลาส D ที่ปลุกพลังพิเศษ”

“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังจิตนั้นหายากกว่า  การปลุกพลังประเภทนี้ก็มีความสามารถในการอ่านใจ  พลังควบคุมจิตใจ  หรือการสร้างภาพลวงตา”

จากนั้นเธอก็มองไปที่เจียงเหอก่อนที่จะพูดว่า "ความสามารถของนายอยู่ในประเภทพลังพิเศษที่หายากกว่า  ด้วยความสามารถที่เฉพาะทางมากขึ้น  แต่นอกเหนือจากผู้ฝึกสัตว์อสูรแล้ว  ยังมีผู้ปลุกพลังที่สามารถควบคุมองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น  ไฟ  น้ำ  และสายฟ้าด้วย”

เจียงเหอฟังอย่างตั้งใจและเมื่อหวางซืออวี่พูดจบเขาจึงถามว่า “นั่นหมายความว่ามีการแยกหมวดหมู่ผู้ที่มีพลังพิเศษด้วยงั้นเหรอ? พวกที่ปลุกพลังคลาส D อย่างหลี่เฟยทรงพลังแค่ไหน?”

“ก็มีพละกำลังทางร่างกายมากกว่ามนุษย์ธรรมดา  แต่ถ้าเอาไปเทียบกับพวกที่เหนือธรรมชาติมาก ๆ แล้ว  พวกคลาส D ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ซักเท่าไหร่”

หวางซืออวี่อธิบายต่อ “การวิจัยพลังงานแห่งชาติได้จัดกลุ่มมนุษย์เหนือมนุษย์ออกเป็นหกคลาส : S, A, B, C, D และ E โดยที่ E จะอ่อนแอที่สุดและ D เป็นรองบ๊วย  ความสามารถของฉันไม่มีความสามารถในการโจมตี  แต่มันพิเศษก็เลยถูกจัดกลุ่มไว้ที่คลาส D”

“พลังฝึกสัตว์อสูรของนายนั้นพิเศษยิ่งกว่า  เพียงแค่สามารถควบคุมบรรดาสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้  นายก็เป็นคลาส C ได้แล้ว”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าคลาสของผู้ปลุกพลังจะคงที่  ระดับของพวกเขาสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วยการฝึกอบรมหรือวิวัฒนาการโดยอิสระ”

ปากของเจียงเหอกระตุก

'พลังการฝึกสัตว์บ้าบออะไรวะ?'

เหตุผลที่เขาสั่งเอ้อเหลิงจื่อได้ก็เพราะแตงกวาไซส์บิ๊กของเขาเท่านั้น

แต่เนื่องจากหวางซืออวี่เข้าใจความสามารถของเขาผิดไปเอง  เจียงเหอจึงแสร้งทำเป็นตกใจและกล่าว เออ ออ ห่อหมกไปด้วย  ทั้ง ๆ ที่ในใจกลับมีความสุขเหลือเกิน

“เข้าใจละ ตูข้านี้ช่างยอดเยี่ยมเสียนี่กะไร…” เขากล่าว “แล้วยังไงต่อ  เธอพูดถึงเรื่องของพวกผู้ฝึกวรยุทธด้วยไม่ใช่เหรอ? พวกนี้มีการแบ่งกลุ่มอะไรยังไงบ้าง?”

2 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด