บทที่ 8: ข้าวโพดที่ยาวและใหญ่มาก
“เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แค่หมาตัวเดียวก็ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แถมเจ้าเอ้อเหลิงจื่อมันก็เป็นหมาที่เชื่อฟังดี ถ้าบอกให้มันไปตะวันออก มันไม่กล้าไปตะวันตกแน่นอน!”
เจียงเหอยังคงต้องการให้เอ้อเหลิงจื่อเป็นหมาเฝ้าสวน เขาจึงปล่อยให้องค์กรลับจากไหนก็ไม่รู้มาเอาตัวมันไปไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อมันเกิดการวิวัฒนาการพลังพิเศษก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาด้วย—มันอาจจะเปิดเผยความลับของเจียงเหอก็ได้ใครจะรู้
เจียงเหอไม่แปลกใจเลยที่องค์กรลับพวกนี้มีวิธีสื่อสารกับสุนัขหลังจากปลุกพลังพิเศษแล้ว
“เจียงเหอ นายไม่รู้หรอกว่าสัตว์อสูรน่ากลัวแค่ไหน” หวางซืออวี่กล่าวอย่างจริงจัง “ตัวเดียวก็สามารถฆ่าผู้ใหญ่ได้ทันทีหากไม่มีปืนและกระสุน มีเพียงผู้ฝึกยุทธหรือผู้ปลุกพลังเท่านั้นที่สามารถสู้กับพวกมันไหว”
“เอ้อเหลิงจื่อนั้นอันตรายมาก แม้ว่ามันจะยังไม่ได้พัฒนาเป็นสัตว์อสูรก็ตาม แต่ว่าตามกฎขององค์กรแล้วกรณีนี้ต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาของฉัน!”
“กฎเกณฑ์นั้นเข้มงวด มนุษย์นั้นยืดหยุ่น” เจียงเหอตอบกลับ
ในขณะนี้ ในใจของเขายังคงวางแผนว่าจะเกลี้ยกล่อมหวางซืออวี่อย่างไรดี และแก้มของเธอก็แดงก่ำเมื่อมีภาพนั้น ๆ เข้ามาในความคิดของเขา “แต่ไม่เป็นไร เพราะว่านายปลุกความสามารถในการฝึกสัตว์อสูร นายคงจะสามารถควบคุมเอ้อเหลิงจื่อได้” เธอกัดฟันกรอด “แต่พ่อของฉันเลี้ยงมันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกหมา และตราบใดที่นายสัญญาว่าจะจับตาดูมันให้ดี ฉันจะไม่รายงานต่อหัวหน้า”
เจียงเหอยิ้มด้วยความยินดี "สบายใจได้ ฉันจะหักขามันถ้ามันกล้าออกจากบ้าน!”
หวางซืออวี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่า นายห้ามทารุณกรรมเอ้อเหลิงจื่อเด็ดขาด”
เจียงเหอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะ "ก็ได้ ๆ เอาตามนั้นแหล่ะ เอ้า ตอนนี้เธอก็มาบ้านฉันแล้วจะยืนอยู่แต่ในลานทำไม? มามะ ฉันเพิ่งต้มข้าวโพดเสร็จพอดี มากินด้วยกันเถอะ”
ภายในบ้านหวางซืออวี่เริ่มมองไปรอบ ๆ และตรวจสอบ
บ้านของเจียงเหอค่อนข้างทรุดโทรม แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
เธอถอนหายใจในที่สุดเมื่อสายตาของเธอตกลงไปที่รูปของคุณปู่เจียง ถึงแม้เธอจะเปิดปากแต่เธอก็ไม่สามารถพูดคำในใจเพื่อปลอบโยนเจียงเหอได้
ในขณะเดียวกัน เจียงเหอดึงเก้าอี้ให้เธอและพูดว่า “มานั่งสิ ที่นี่ค่อนข้างโทรม ขออภัยในที่เสียมารยาทนะ”
“มะ ไม่เป็นไร!”
หวางซืออวี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น… เจียงเหอฉันเชื่อนายนะ! นายจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นในอนาคตอย่างแน่นอน”
'เอ๊ะ!'
'ไหงเป็นงั้นไปได้ล่ะ?'
ในขณะเดียวกัน เจียงเหอก็เปิดฝาหม้ออย่างคล่องแคล่ว และกลิ่นของข้าวโพดก็อบอวลไปทั่วห้องในทันที
ไม่ใช่แค่หวางซืออวี่ แม้แต่ตัวเจียงเหอเองก็กำลังออกแรงสูดดมกลิ่นให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้—กลิ่นข้าวโพดที่หอมกรุ่นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว
เขาหยิบตะเกียบและชามสแตนเลสขึ้นมาแล้วคีบชิ้นข้าวโพดทั้งหมดใส่ชาม
มีโต๊ะกลมเก่าที่มีแผ่นพลาสติกปูเป็นผ้าปูโต๊ะอยู่ตรงกลางห้อง ซึ่งโต๊ะตัวนี้ทำหน้าที่เป็นโต๊ะอาหารของเจียงเหอ
ทันทีที่วางชามลงบนโต๊ะ เขาก็ได้ยินสียงสูดหายใจ ซื้ด~~~
“โอ้โฮ!”
“ใหญ่มาก!”
“ยาวมาก!”
ตาของหวางซืออวี่ เบิกโปนเมื่อเห็นข้าวโพดในชาม
ชัวร์อยู่แล้ว
ต่อให้ข้าวโพดจะถูกหั่นเป็นสี่ชิ้นแล้ว ก็เห็นได้ชัดจากขนาดเมื่อเทียบกับชามว่ายาวและใหญ่แค่ไหน
แล้วไอ้ที่ตะโกนว่า…
ยาวมาก ใหญ่มาก...
คำพูดเหล่านั้นทำให้จิตใจของเจียงเหอเกิดอาการตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
“บะบะบะบ้า!”
หวางซืออวี่ที่ใบหน้าแดงฉานกล่าวดุออกมา “เจ้าอันธพาล! ฝันบ้าอะไรอยู่?”
“นี่หวางซืออวี่ เธอจะปล่อยให้ฉันมีความเป็นส่วนตัวบ้างไม่ได้เหรอ” เจียงเหอตอบด้วยสายตาที่จริงจัง “ว่าก็ว่าเถอะ เธอปลุกความสามารถในการอ่านใจขึ้นมาได้อย่างไร? พลังนี้มีข้อจำกัดในการใช้งานไหม?”
หวางซืออวี่แทะข้าวโพดไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ฉันสอบตกสามวิชาตอนสอบเทอมสุดท้าย แล้วไปนั่งเศร้าใจจนหลับไป แล้วพอตื่นนอนก็กลายเป็นว่าฉันเห็นความคิดของคนอื่นได้ซะงั้นเลย”
เธอเอียงคอด้วยแก้มที่ยุ้ย ๆ ดูน่ารัก ขณะที่เธอเคี้ยวข้าวโพดไปด้วยรำพึงไปด้วย “จิตใจของฉันค่อนข้างอ่อนแอเมื่อช่วงตื่นขึ้นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดว่าฉันจะอ่านใจได้กี่ครั้ง และถ้าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า ฉันก็จะไม่สามารถใช้มันกับพวกเขาได้”
“อีกทั้ง ถ้าต้องไปเจอกับพวกเหนือมนุษย์ที่ปลุกพลังทางจิตเหมือนกันก็อาจจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานก็ได้”
เจียงเหอหยิบข้าวโพดอีกครึ่งชิ้นขึ้นมากินแล้วก็พบว่ามันหวานมาก ยิ่งเคี้ยวกลิ่นหอมหวานก็ยิ่งปะทุออกมา
“พลังจิต? พวกเหนือมนุษย์?” เจียงเหอถามต่อ
“เรื่องนี้เป็นความลับน่ะ” หวางซืออวี่อธิบาย “ไม่ควรบอกกับผู้อื่น แต่ไม่มีอะไรต้องปิดบังเพราะนายได้ปลุกพลังพิเศษแล้วด้วย”
“พลังวิญญาณเริ่มฟื้นตัวกลับมาครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่ามีแก่นแท้ของพลังงานพิเศษใหม่ในบรรยากาศที่พวกเขาตั้งชื่อว่า หยวนเหนิงจื้อลี่ (พลังงานดั้งเดิม)”
“มนุษย์ พืช หรือสัตว์ใด ๆ จะมีวิวัฒนาการหลังจากที่พวกมันดูดซับพลังนี้”
“มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะกลายพันธุ์ พวกนั้นจะวิวัฒนาการและปลุกพลังความสามารถบางอย่างขึ้นมาได้ พวกเหล่านี้เรียกว่าเหนือมนุษย์ซึ่งมักจะปลุกพลังจิตหรือพลังพิเศษ”
“การตื่นขึ้นด้วยพลังพิเศษนั้นพบได้บ่อยกว่า ไม่ว่าพวกมันจะได้รับพละกำลังไร้สิ้นสุด เศียรทองคำ แขนเหล็ก ย่อ ๆ ก็คือ พวกนั้นจะได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหรือมีบางส่วนของร่ากายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติจึงส่งผลให้เกิดความสามารถแปลก ๆ ต่าง ๆ กันไป”
หวางซืออวี่แทะข้าวโพดไปอีกสองคำแล้วพูดต่อ “อย่างเช่นหลี่เฟยที่สหกรณ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในภูเขาเป็นต้น เขาเป็นบุคคลากรคลาส D ที่ปลุกพลังพิเศษ”
“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังจิตนั้นหายากกว่า การปลุกพลังประเภทนี้ก็มีความสามารถในการอ่านใจ พลังควบคุมจิตใจ หรือการสร้างภาพลวงตา”
จากนั้นเธอก็มองไปที่เจียงเหอก่อนที่จะพูดว่า "ความสามารถของนายอยู่ในประเภทพลังพิเศษที่หายากกว่า ด้วยความสามารถที่เฉพาะทางมากขึ้น แต่นอกเหนือจากผู้ฝึกสัตว์อสูรแล้ว ยังมีผู้ปลุกพลังที่สามารถควบคุมองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ไฟ น้ำ และสายฟ้าด้วย”
เจียงเหอฟังอย่างตั้งใจและเมื่อหวางซืออวี่พูดจบเขาจึงถามว่า “นั่นหมายความว่ามีการแยกหมวดหมู่ผู้ที่มีพลังพิเศษด้วยงั้นเหรอ? พวกที่ปลุกพลังคลาส D อย่างหลี่เฟยทรงพลังแค่ไหน?”
“ก็มีพละกำลังทางร่างกายมากกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่ถ้าเอาไปเทียบกับพวกที่เหนือธรรมชาติมาก ๆ แล้ว พวกคลาส D ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ซักเท่าไหร่”
หวางซืออวี่อธิบายต่อ “การวิจัยพลังงานแห่งชาติได้จัดกลุ่มมนุษย์เหนือมนุษย์ออกเป็นหกคลาส : S, A, B, C, D และ E โดยที่ E จะอ่อนแอที่สุดและ D เป็นรองบ๊วย ความสามารถของฉันไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่มันพิเศษก็เลยถูกจัดกลุ่มไว้ที่คลาส D”
“พลังฝึกสัตว์อสูรของนายนั้นพิเศษยิ่งกว่า เพียงแค่สามารถควบคุมบรรดาสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้ นายก็เป็นคลาส C ได้แล้ว”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าคลาสของผู้ปลุกพลังจะคงที่ ระดับของพวกเขาสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วยการฝึกอบรมหรือวิวัฒนาการโดยอิสระ”
ปากของเจียงเหอกระตุก
'พลังการฝึกสัตว์บ้าบออะไรวะ?'
เหตุผลที่เขาสั่งเอ้อเหลิงจื่อได้ก็เพราะแตงกวาไซส์บิ๊กของเขาเท่านั้น
แต่เนื่องจากหวางซืออวี่เข้าใจความสามารถของเขาผิดไปเอง เจียงเหอจึงแสร้งทำเป็นตกใจและกล่าว เออ ออ ห่อหมกไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ในใจกลับมีความสุขเหลือเกิน
“เข้าใจละ ตูข้านี้ช่างยอดเยี่ยมเสียนี่กะไร…” เขากล่าว “แล้วยังไงต่อ เธอพูดถึงเรื่องของพวกผู้ฝึกวรยุทธด้วยไม่ใช่เหรอ? พวกนี้มีการแบ่งกลุ่มอะไรยังไงบ้าง?”