บทที่ 6: วิธีเอาชนะการอ่านใจ!
เด็กสาวผูกผมหางม้าและแต่งหน้าอ่อน ๆ สวมกางเกงยีนส์ขาสั้น รองเท้าผ้าใบสีขาว และเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียวช่วยเน้นย้ำรูปร่างอันน่าทึ่งของเธออย่างเต็มที่
ทันใดนั้น “ความทรงจำ” ก็ปรากฏขึ้น
“หวางซืออวี่ ลูกสาวผู้ใหญ่หวาง?”
“เธอให้เราสอนเลขให้ตอนช่วงปิดเทอม ม.3 ความรู้สึกของเธอค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนสุดท้ายก็สารภาพรักกับเราสินะ?”
ไม่น่าแปลกใจที่เธอหน้าแดงเมื่อเห็นฉัน 'ฉัน' เคยปฏิเสธความรู้สึกของเธอมาก่อนเลยเป็นเหตุผลที่ทำไห้เธอรู้สึกอึดอัดและเขินอายตอนนี้สินะ?
นอกจากนี้…
ใครมันจะมาตาหมาหมาในที่แบบนี้กันเล่า? ถ้ามันเร่งด่วนจริง ๆ เธอควรจะวิ่งไปทั่วทั้งหมู่บ้านสิ
ดังนั้นการหาหมาจึงเป็นเพียงข้ออ้าง… แต่ความจริงก็คือเธอหื่นกระหายอยากได้ร่างกายเราสินะ?
“ทุเรศ! ไร้ยางอาย!”
หวางซืออวี่ถลึงตาจ้องมองอย่าโมโหพร้อมกับกัดฟันก่นด่า “ไอ้คนหลงตัวเอง! ใครจะไปหื่นกระหายอยากได้ร่างกายของนายกัน!”
“เฮ้ย!” เจียงเหอพึมพำออกมาอย่างงุนงง "หรือหล่อนจะอ่านใจตูได้วะ"
เมื่อรู้ตัวว่าพลั้งปากไปหวางซืออวี่ก็รีบเปลี่ยนท่าทีแล้วถามใหม่อีกครั้ง “เจียงเหอ เจ้าเอ้อเหลิงจื่อของฉัน… ไม่สิ นายมันไอ้ทุเรศ!”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคเธอก็หน้าแดงกัดฟันหันหลังกระทืบเท้าปึงปังจากไป
เจียงเหอขมวดคิ้ว
'อะไรของหล่อนวะ?'
'อ่านใจเหรอ?'
“เพราะงั้นเลยรู้ว่าเอ้อเหลิงจื่ออยู่ที่บ้านเราสินะ”
เจียงเหอเปิดประตูและเดินตรงไปที่สวนผลไม้ ต้นข้าวโพดทั้ง 28 ต้นโตแล้ว และพรุ่งนี้ข้าวโพดจะโตเต็มที่
จากนั้นเขาก็เห็นเอ้อเหลิงจื่อซึ่งยังคงซ่อนตัวอย่างดีใต้พุ่มต้นข้าวโพด
เจียงเหอขำ “ไม่กลับบ้านเหรอวะ?”
เอ้อเหลิงจื่อพยักหน้าและกลอกตา
“เอ็งจะบอกว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นแหล่ะที่จะกลับไปในเมื่อที่นี่มีแตงกวาให้กินงั้นเหรอ?”
แต่ในขณะที่เจียงเหอมองเอ้อเหลิงจื่อพยักหน้าราวกับลูกไก่จิกข้าวสาร เจียงเหอก็อดทำหน้าบึ้งไม่ได้ “หวางซืออวี่สามารถอ่านใจได้ แล้วตูจะหลอกเธอได้ยังไงวะเนี่ย”
“เอ้อ ใช่แล้ว… ถ้าการอ่านใจของเธอเห็นความคิดภายในหัวได้ งั้นตูก็คิดเรื่องอื่นเอาก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ตูข้านี่ช่างอัจฉริยะ!”
เจียงเหอตาเป็นประกายวิบวับ “การอ่านใจนั้นกระจอกมาก มีตั้งหลายวิธีให้ตูงัดมาใช้จัดการ!”
หนึ่ง ถ้าเกิดว่านักอ่านใจมันเป็นผู้ชายล่ะ?
ง่ายโคตร ๆ
ขุดบรรพบุรุษสิแปดรุ่นของมันออกมาสาปแช่ง กล่าวหาพ่อมันว่าเป็นไอ้พวกเมียมีชู้ หรืออะไรก็ได้ที่หนักกว่านี้
สอง สาวงามที่มีเสน่ห์อย่างหวางซืออวี่นี่ยิ่งง่าย แค่คิดถึงกระบวนการในการปั๊มลูก จัดให้ครบทุกขั้นตอนทุกกระบวนท่าก็เรียบร้อย
“แน่ล่ะ ไอ้อุบายพวกนี้ต้องใช้อย่างชาญฉลาดและและยืดหยุ่น เนื่องจากไม่มีการรับประกันว่าคู่ต่อสู้มันจะไร้ยางอายเหมือนกันไหม…”
“พวกนี้มันแค่อุบายชั้นต่ำ ส่วนอุบายชั้นสูงที่จะใช้จัดการกับพวกนักอ่านใจคือการหลอกตัวเอง”
“ขนาดตัวเองตูยังใจร้ายหลอกได้ แล้วใครมันจะมาทำอะไรตูได้อีก”
เจียงเหอจ้องเอ้อเหลิงจื่อในตอนนั้น และบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “นี่ไม่ใช่เอ้อเหลิงจื่อของผู้ใหญ่หวาง แต่เป็นลูกหมาล่าเนื้อที่ตูเลี้ยงเอง มันแค่ดูคล้ายกันเฉย ๆ เอง”
“นี่ไม่ใช่เอ้อเหลิงจื่อ…”
ไม่นานก็ถึงเวลากินข้าวเที่ยง
เมื่อคืนยังมีข้าวเหลืออยู่บ้าง จึงไม่ต้องหุงเพิ่ม
ในทางกลับกันกับข้าวนี่สิ...
“มาลองกินแตงกวาแทนเนื้อกันเถอะ”
***
ในขณะเดียวกัน
ที่หน้าประตูบ้านผู้ใหญ่หวางมีรถ MPV จอดอยู่
เมื่อหวางซืออวี่กลับมา เธอก็ขึ้นรถทันที
มีชายสองคนและหญิงอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างใน ผู้ชายทุกคนสวมชุดสีดำ ส่วนผู้หญิงคนนั้นสวมชุดหนังรัดรูปเข้ากับร่างกายที่มีเสน่ห์ของเธอ
“เสี่ยวหวางคุณรู้จักหมู่บ้านของคุณเองดีที่สุด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณจะเป็นผู้รับผิดชอบหมู่บ้านนี้”
ชายชุดดำคนหนึ่งกล่าว “คุณสามารถอ่านใจได้ ซึ่งทำให้การตรวจสอบสะดวกที่สุด แล้วที่กลับมานี่ได้ผลลัพธ์อะไรบ้างไหม?”
หวางซืออวี่พยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหัว
“ฉันมีผู้ต้องสงสัยที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน—สุนัขที่ฉันเลี้ยงมาแปดปีแล้วจู่ ๆ ก็วิ่งไปอยู่ที่บ้านของเขา และฉันคิดว่าเขาคุยกับสัตว์ได้”
“สื่อสารกับสัตว์เหรอ?”
ชายชุดดำขมวดคิ้ว “นั่นเป็นความสามารถที่หายาก แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้สุนัขของคุณไปอยู่ที่บ้านเขาไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่! แต่ในเมื่อมันมีพิรุธเราก็จำเป็นต้องตรวจสอบอยู่ดี”
“แน่นอนว่าตามกฎขององค์กร มือใหม่อย่างคุณไม่ควรลุยเดี่ยว แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้งานเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาพบสัตว์กลายพันธุ์หลายตัวซึ่งมีความแข็งแกร่ง พลังทำลายล้างสูงและการบริหารงานทั่วไปก็ยุ่งมาก บุคลากรก็ขาดแคลนก็เลยต้องเอาแบบนี้ไปก่อน”
ชายชุดดำถูขมับด้วยสีหน้าแบบทำอะไรไม่ถูก
ข้างเขา ผู้หญิงที่สวมชุดหนังรัดรูปร่างกายเย้ายวนก็ยิ้ม “ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย ได้ยินข่าวว่าประเทศจะประกาศประมาณเดือนหน้า ตอนนี้มีคนตื่นขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก การปรากฏตัวของสัตว์ร้ายก็บ่อยครั้งขึ้นและการปราบปรามอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก”
หวางซืออวี่ครุ่นคิดเรื่องนั้นเล็กน้อยก่อนถามว่า “พี่ไป๋ แล้วหลี่เฟยล่ะคะ?”
'พี่ไป๋' หมายถึงผู้หญิงชุดรัดรูปซึ่งมีชื่อจริงว่า ไป๋เฟยเฟย เพียงแต่เธอไม่ใช่ 'พวกตื่นขึ้น' แต่เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธที่มีวิชาฝึกตนอันทรงพลัง และยังเป็น “ผู้ชี้แนะ” ของหวางซืออวี่อีกด้วย
“พลังที่หลี่เฟยปลุกขึ้นมานั้นมีพลังมหาศาลก็จริง แต่เป็นเพียงคลาส D” ไป๋เฟยเฟยตอบ “ผู้ตื่นขึ้นซึ่งเปิดเผยพลังของพวกเขาโดยตรงนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากนัก… แต่พวกอสรพิษเฒ่าที่ปลุกพลังพิเศษให้ตื่นขึ้นแล้วแท้ ๆ แต่ยังคงปกปิดมันไว้อย่างดื้อรั้นต่างหากที่เป็นปัญหา”
“อย่างไรก็ตาม จุดยืนขององค์กรคือการนำผู้ปลุกพลังอย่างเปิดเผยเข้ามาเป็นพวกและรับการฝึกอบรมหากพวกเขามาโดยเต็มใจ แต่ถ้าไม่เต็มใจมา พวกเขาจะต้องลงนามในข้อตกลงที่ว่าจะปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับอย่างน้อยก็ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศให้สาธารณะชนรับรู้”
“แล้วก็ คนที่เธอสงสัยว่าสามารถปลุกพลังในการสื่อสารกับสัตว์ได้ ให้ลองไปพาตัวเขามาได้เลย”
“นี่เป็นความสามารถที่หายาก ถ้าเราฝึกเขาได้ เขาจะมีประโยชน์กับเรามากในอนาคต!”
“ค่ะพี่ไป๋!”
หวางซืออวี่ทำหน้ามุ่ย เธอเข้าใจว่าพี่ไป๋หมายถึงอะไร
การฟื้นคืนของพลังวิญญาณ และการตื่นขึ้นของสิ่งเหนือธรรมชาติทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ไม่เหมือนใครในมนุษย์บางคน ทำให้พวกเขาได้รับพลังพิเศษ มันก็เหมือนกันสำหรับสัตว์ ด้วยเหตุการณ์สัตว์ร้ายที่น่ากลัวโจมตีเมืองที่เกิดขึ้นในต่างประเทศทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก นั่นคือเหตุผลที่ประเทศได้เริ่มร่างแผนสำหรับพื้นที่ภูเขาอันเงียบสงบ และหมู่บ้านเกษตรกรรมเมื่อหลายปีก่อน
ตัวอย่างเช่น การดำเนินโครงการ “ย้ายถิ่นด้านสิ่งแวดล้อม”
ด้วยการย้ายหมู่บ้านและเมืองบนภูเขาทั้งหมดไปยังเขตชานเมืองของเมืองใหญ่ ทหารจะสามารถปกป้องพวกเขาได้หากมีสิ่งใดที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โดยลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
***
ในขณะเดียวกัน
รถบรรทุกทหารกำลังอพยพคนเลี้ยงแกะในหมู่บ้านที่ยังคงอยู่บนภูเขาอย่างเป็นระเบียบ
แต่จู่ ๆ…
ปัง
เสียงปืนดังก้องไปทั่วภูเขาอันกว้างใหญ่
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! เร็วเข้า!”
“เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันโผล่มาอีกแล้ว!”
เหนือยอดเขา ราชาหมาป่าตัวใหญ่จ้องมองรถบรรทุกทหารและกองทหารที่คุ้มกันอย่างเงียบ ๆ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ราชาหมาป่ามีขนาดเท่าวัว แต่ตอนนี้ร่างกายของมันใหญ่ขึ้นสองเท่า!