บทที่ 15 ดูตัว
บทที่ 15 ดูตัว
คดีที่ 2 ฆ่าล้างครัว
หลินถงซูได้รับสายจากเฉินฉีในวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาถามเธอว่า “วันนี้คุณหลินหยุดงานหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ?”
“คุณคงยังไม่ลืมสัญญาที่ว่าจะเลี้ยงข้าวผมหรอกใช่ไหม? ผมเพิ่งส่งลูกค้าคนล่าสุดเสร็จเมื่อกี้นี้เอง กระเพาะผมร้องโครกครกไปหมดแล้ว”
หลินถงซูจำได้ แต่ตอนนั้นเธอแค่รับปากไปแบบส่ง ๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะความจำดีขนาดนี้ ดังนั้นเธอจึงตอบตกลง “โอเค ถ้างั้นฉันจะชวนคุณไปกินมื้อเที่ยงสักหน่อย มารับฉันได้ไหมล่ะ?”
“ส่งโลเคชันให้ผมสิ”
หลินถงซูขอให้เฉินฉีขับไปจอดรอเธอแถวแหล่งอาคารพาณิชย์หัวหยุน ทันทีที่มาถึงเฉินฉีกวาดสายตามองทั้งทางซ้ายและขวาแต่ไม่เห็นเธอ ทันใดนั้นหญิงสาวผอมเพรียวสวมเสื้อครอปสีเขียวนำสมัยก็เปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ดวงตาของเฉินฉีเบิกกว้างฉับพลัน “คุณนั่นเอง! ผมแทบจำไม่ได้แน่ะ!”
หลินถงซูเป็นคนพิถีพิถันการเลือกชุดลำลองอยู่สักหน่อย อย่างวันนี้เธอก็สวมเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ทั้งชุด เธอค้อนขวับ “คุณกำลังชมฉันอยู่รึเปล่า?”
“คิดว่าไงล่ะ? เสื้อผ้าดูดียิ่งส่งเสริมให้คนดูดีตามไปด้วยนะครับ ตอนนี้ต่อให้ผมบอกใครต่อใครว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่มีใครเชื่อ” เฉินฉียิ้ม
หลินถงซูตัดพ้อทันที “คุณพูดแบบนี้หมายความว่าภาพลักษณ์ตำรวจของฉันดูแย่มากเลยเหรอ?”
“ก็เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ เขาไม่ได้น่ารักอะไรขนาดนั้นนี่ อย่างน้อยก็ไม่เท่าคุณ”
“ปากคอช่างลื่นไหลซะเหลือเกินนะ คุณเคยเห็นตำรวจมาเยอะงั้นเหรอ?”
หลินถงซูคิดว่าอีกฝ่ายคงพาเธอไปที่ร้านอาหารหรูที่ไหนสักที่ แต่ผิดคาดเพราะร้านอาหารที่เขาเลือกนั้นค่อนข้างธรรมดา เขาสั่งอาหารเมนูเล็ก ๆ เพียงสองสามจานเท่านั้น หลินถงซูหยิบซองจดหมายปึกหนาออกมาจากกระเป๋า “นี่คือเงินรางวัลจากครั้งที่แล้ว”
เฉินฉีรับไว้และนับทีละใบ ทั้งหมดรวมกันสองพันหยวน เขาหันไปถามเธอ “แบ่งกันคนละครึ่งดีไหม?”
“ไม่ต้องหรอก นี่คือส่วนที่ควรเป็นของคุณทั้งหมด ฉันคิดว่าคดีนี้คลี่คลายได้ก็เพราะความสามารถของคุณเพียงคนเดียว ดังนั้นคุณควรได้รับรางวัลนี้แหละถูกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมยินดีรับข้อเสนอของคุณ ขอบคุณมาก!”
หลินถงซูถึงกับอ้าปากค้าง “คุณนี่ไม่มีความเกรงใจเอาซะเลย!”
“ผมได้เงินนี่มา เพราะฉะนั้นวันนี้ผมต้องเลี้ยงคุณ แบบนี้เป็นไง?”
“ไม่ อย่าเลย ฉันรับปากคุณเองนี่ว่าวันนี้ฉันจะเป็นเจ้ามือ”
หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เฉินฉีตักอาหารเข้าปากพร้อมทำท่าทีเหมือนกับมันอร่อยเป็นพิเศษ หลินถงซูมองเขากินแล้วให้รู้สึกหิวขึ้นมาจึงเริ่มกินบ้าง ไม่นานนักข้าวก็หมดไปกว่าครึ่งชามซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าปกติ เมื่อคิดได้เธอจึงเสียใจกับการปากพาไปของตัวเอง ไม่แน่ว่าน้ำหนักของเธออาจเพิ่มขึ้นเพราะการกินแค่มื้อเดียวนี้
ระหว่างมื้ออาหาร เฉินฉีพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ที่เขามักพบจากบรรดาผู้โดยสารของเขาให้ฟัง หลินถงซูฟังแล้วมองอย่างไรตาลุงนี่ก็คงเป็นเพียงคนขับรถธรรมดาเท่านั้น คงไม่มีภูมิหลังอะไรพิเศษ
หลินถงซูขัดจังหวะเขาครั้งหนึ่งโดยการตั้งคำถาม “ฉันสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง คุณสามารถสืบเรื่องและไขคดีได้ยังไงกัน? คุณไม่เคยผ่านการอบรมพิเศษมาก่อนจริงเหรอ?”
เฉินฉีตักน้ำแกงลงราดข้าว “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้?”
“ฉันแค่อยากรู้ อีกอย่างฉันเป็นตำรวจ ต่อให้คุณไม่บอกฉันก็ไปตามสืบประวัติคุณได้อยู่ดี”
“งั้นก็เชิญคุณไปตรวจสอบได้เลย ประวัติของใครสักคนไม่ใช่สิ่งที่สามารถสรุปได้โดยการยัดใส่กระดาษเพียงไม่กี่แผ่นหรอกนะ ปล่อยให้คนเขาอยู่อย่างสงบโดยไม่ต้องขุดคุ้ยอดีตขึ้นมาเถอะ แบบผมนี่ไง”
“เชอะ คุณก็แค่พยายามทำตัวให้ลึกลับเท่านั้นเอง”
หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหารเฉินฉีจึงเสนอขึ้น “ในเมื่อวันนี้เป็นวันหยุดของคุณ และผมได้รับเงินรางวัลมาสองพันหยวน ดังนั้นให้ผมออกค่าตั๋วหนังให้คุณดีไหม?”
“อย่าหวังไปหน่อยเลย” หลินถงซูดึงหน้า “เลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนก็เรื่องหนึ่ง แต่ฉันไม่ได้สนิทสนมอะไรกับตาลุงอย่างคุณมากมายซะหน่อย”
“เถอะน่า ยังไงเราสองคนก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี”
“โอ้ เก็บความปรารถนาดีไว้เถอะค่ะ ฉันคงไม่มาพบคุณอีกแล้ว”
ทั้งสองเดินไปยังบริเวณที่มีผู้คนคึกคัก ทันใดนั้นเฉินฉีก็หยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงภาพยนตร์ “Mission: Impossible 6 เพิ่งเข้าฉายพอดี อยากไปดูด้วยกันไหมล่ะ?”
“เนื้อเรื่องเป็นแบบไหน? แอ็กชัน บู๊ล้างผลาญ สู้กันทั้งเรื่องน่ะเหรอ?” หลินถงซูทำท่าไม่ชอบใจนัก
“ทอม ครูซหล่อมากนะ สาว ๆ หลายคนคลั่งไคล้เขาจะเป็นจะตาย”
“เขาดูดีจริง แต่ฉันไม่ชอบหนังแนวนี้”
เฉินฉีเดินตรงไปยังหน้าจอจำหน่ายตั๋วและทำการซื้อด้วยตัวเองสองใบ “หนังเริ่มฉายไปแล้วประมาณยี่สิบนาที เอายังไง? อยากดูไหม?”
หลินถงซูลังเล เธอยุ่งอยู่กับการทำงานในสายอาชีพนี้มานานจนไม่มีเวลามาดูหนังในโรงมาหลายปีแล้ว ดังนั้นการหลอกล่อของเฉินฉีจึงมีผลอยู่บ้าง
เฉินฉียังคงต่อรองต่อไป “เอาอย่างนี้ เราเข้าไปดูกันสักครึ่งเรื่อง ถ้าคุณไม่โอเคงั้นผมจะถือโอกาสพาคุณไปเลี้ยงข้าวมื้อเย็นเป็นการไถ่โทษเอง”
“ทำไมคุณถึงชอบเซ้าซี้อะไรแบบนี้นะ?!” หลินถงซูพูดไม่ออก
“ไม่เอาน่า ผมอยากดูนะ”
หลินถงซูจึงตอบรับแม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก ขณะกำลังจะก้าวเข้าโซนโรงภาพยนตร์เสียงเรียกเข้ากลับดังขึ้นเสียก่อน เมื่อหยิบขึ้นมาดูจึงเห็นว่าเป็นสายจากหลินชิวผู เธอคิดว่าคงมีเรื่องด่วนเกิดขึ้นที่สถานี ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกรอกเสียงผ่านสายมาด้วยความร้อนรน “เธอหนีหายไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ?”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“จำไม่ได้เหรอ พี่กำชับเธอนักหนาว่าเธอมีนัดบลายเดทวันนี้ ผู้ชายคนนั้นเขานั่งรอเธอที่ร้านอาหารมาเป็นชั่วโมงแล้ว!”
“อ๊า ลืมไปสนิทเลย บอกหน่อยสิว่าร้านไหน ฉันจะไปเจอเข้าเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังวางสายแล้วสีหน้าของหลินถงซูก็เปลี่ยนเป็นหดหู่ทันที เฉินฉีที่แอบได้ยินจึงถามขั้น “ว่าไง? จะล้มเลิกแพลนไปดูตัวแทนไหมล่ะ? มิน่าล่ะวันนี้คุณถึงแต่งตัวสวยผิดหูผิดตา ผมรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าคุณซะอีก”
“เหลวไหลน่า ถ้าฉันจำได้ว่าวันนี้มีนัดดูตัวคงไม่แต่งตัวแบบนี้ออกจากบ้านแน่ ๆ”
“งั้น... คุณตั้งใจแต่งตัวมาเจอผมเหรอ?”
ใบหน้าหลินถงซูแดงก่ำทันที เธอขยับไปเหยียบเท้าเฉินฉีด้วยความไม่พอใจ จนเขาได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “โกรธอะไรขนาดนี้เล่า?!”
“ใครใช้ให้คุณคิดหลงตัวเองแบบนั้นกันล่ะ? ผู้หญิงทุกคนเขาก็ชอบแต่งตัวสวย ๆ กันทั้งนั้น จำเป็นด้วยเหรอว่าจะต้องแต่งมาให้ใครดู? ผู้ชายก็เป็นซะอย่างนี้!”
“กลายเป็นผมผิดซะงั้น? ได้... งั้นเดี๋ยวผมจะขับรถไปส่งคุณถึงที่”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ แต่คุณซื้อตั๋วหนังมาแล้วไม่ใช่เหรอ? คุณไปดูเรื่องที่คุณอยากดูเถอะ” หลินถงซูปฏิเสธเขาก่อนจะหันหลังกลับ
หลังเดินห่างออกไปไม่กี่ก้าว เฉินฉีก็เดินตามเธอมา “ให้ผมไปส่งคุณเถอะ”
“แล้วตั๋วหนังพวกนั้นจะทำยังไงล่ะ?”
“ผมแจกให้คนอื่นไปแล้ว”
“แจกกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?” หลินถงซูนึกประหลาดใจ
“ทำไงได้ เรื่องของคุณสำคัญกว่านี่นา” เฉินฉียิ้ม
หัวใจของหลินถงซูกระตุกเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นมารยาททั่วไปซึ่งคนขับรถรับส่งผู้โดยสารพึงมี แต่เมื่อมันออกจากปากของเฉินฉีกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
...
เฉินฉีขับรถไปส่งหลินถงซูถึงหน้าร้านอาหาร เมื่อรถจอดสนิทแล้วเขาจึงหันไปแนะนำเธอบางอย่าง “การนัดดูตัวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว คุณไม่เห็นต้องประหม่าอะไรขนาดนั้น แค่สานต่อบทสนทนาให้ราบรื่นก็พอแล้ว”
“ตาข้างไหนของคุณมองว่าฉันกำลังประหม่า?”
“ก็ได้! ก็ได้! คุณไม่ได้ประหม่าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การที่คุณเอาแต่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างแล้วม้วนปลายผมเล่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ นั่นแหละ คือสิ่งที่ตาผมเห็น”
“ที่ฉันไม่พูดอะไรเลย ก็เพราะฉันไม่อยากคุยกับคุณต่างหาก!” หลินถงซูมองค้อนก่อนเปิดประตูลงจากรถไป
เธอก้าวเข้าไปในร้านอาหารและเหลือบมองบรรดาลูกค้าที่นั่งอยู่ตามโต๊ะ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจริง ๆ เมื่อชายคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดสูทผูกเนกไท สวมแว่นสายตากรอบทองกำลังโบกมือให้ “คุณคือคุณหลินใช่ไหมครับ?”
“เอ่อ... ใช่ค่ะ คุณคือ...” สมองของหลินถงซูขาวโพลนจนลืมแม้กระทั่งชื่อแซ่ของอีกฝ่าย
“ผมแซ่หลี่ครับ” เมื่อเขายิ้มบริเวณรอบดวงตาจึงเต็มไปด้วยรอยยับย่น ความจริงแล้วรูปร่างหน้าตาของเขาดูภูมิฐานไม่น้อย เพียงแต่ใบหน้ารวมถึงเส้นผมของเขาวาวมันแผล็บเหมือนถูกทาเคลือบไว้ด้วยน้ำมันจนเยิ้มไปหมด ซึ่งลักษณะข้อนี้ทำให้หลินถงซูรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่จ้องมอง
“วันนี้คุณหลินแต่งตัวสวยมากนะครับ สวยยิ่งกว่าในรูปถ่ายซะอีก” ชายคนนั้นชื่นชมขณะที่สายตาสำรวจเธอขึ้นลงอยู่หลายครั้ง การกระทำนั้นทำให้หลินถงซูยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่
หลังเธอนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาก็เริ่มแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการพร้อมเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่เธอสองสามข้อ ไม่ว่าจะเป็น... ครอบครัวของคุณมีสมาชิกกี่คน? บ้านเกิดอยู่ที่ไหน? จบการศึกษาจากสถาบันใด? ซึ่งเธอก็ตอบคำถามทั้งหมดไปตามจริง แต่ไดอะล็อกการสนทนานั้นค่อนข้างน่าเบื่อมากทีเดียว
การนัดดูตัวเป็นอะไรที่น่าเบื่อและย่ำแย่อย่างที่ใครเขาพูดกันจริง ๆ
อาหารในจานบนโต๊ะไม่ได้พร่องลงไปจากตอนแรกแม้แต่น้อย เขาเอาแต่เล่าถึงประสบการณ์สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศและสารพันความรู้ที่ได้รับตามฉบับนักเรียนนอกค่อนไปในทางโอ้อวด หลินถงซูนิ่งฟังอยู่เงียบ ๆ แต่ความคิดคำนึงล่องลอยออกไปจากจุดนี้เสียแล้ว
ทันใดนั้นเธอจึงเห็นใครบางคนยืนอยู่นอกตัวร้าน เมื่อเพ่งสายตามองผ่านกระจกไปจึงเห็นว่าเป็นเฉินฉีที่กำลังโบกมือให้เธออย่างกระตือรือร้น