ลูกเขยพ่อมารร้ายตอนที่ 74
บทที่ 74: การกลับมาของโจเซฟ
อัลดาซจ้องมองไปที่ขวดด้วยความโกรธปานจะประทุออกมา พร้อมกับส่งเสียงละม้ายคล้ายเมฆกำลังพิโรธ: "นี่... นี่เป็นยาทมิฬหรือเปล่า?"
"ยาทมิฬแท้จริง เป็นยาที่อยู่เหนือทุกสิ่งอย่าง" เฉินรุยยิ้มเล็กน้อย: "ท่านอาจารย์ ต้องการไหม?"
คําถามนี้เป็นอะไรที่ไร้สาระมาก จากสายตาของอันบ้าคลั่งของอัลดาซมันก็ชัดเจนเลยว่า "เขาต้องการมันมาก แม้ว่าจะต้องต่อยจนเฉินรุยสยบก็ตาม"
"อาจารย์ ข้าสามารถมอบมันให้ท่านได้ แต่ท่านอาจารย์ต้องให้สัญญากับข้าก่อน" เฉินรุยค่อยๆส่งขวดไป
"ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสัญญา ไม่ว่าอะไรข้าก็พร้อมจะยอมรับมัน!" อัลดาซเอาขวดยาทมิฬแท้จริงไปและไม่อยากจะเชื่อว่าขวดนี้กำลังบรรจุยาระดับสูงในตํานานไว้
ดาร์คเอลฟ์ผู้นี้ต่างทำทุกอย่างแบบระมัดระวัง เขาประคองมันไปวางบนโต๊ะอย่างเบามือ เพราะกลัวมันแตก พร้อมกันนั้นเขาก็ใส่กรอบกั้นหนาเพื่อปกป้องมันจากพื้นที่โดยรอบ
เฉินรุยมองดูอัลดาซและก็แอบขำในใจ หากท่านอาจารย์รู้ว่าเขามีออร่าเพียงพอนั้น ไม่เพียงแต่ยา "แท้จริง" เท่านั้น ขนาด "ระดับนิรันดร์" เขาก็หามาให้ได้ บางทีถึงตอนนั้นท่านอาจารย์อาจจะกระโจนพุ่งกอดใส่เขาเลยก็ได้ บางทีอาจจะมีความสุขจนตายใครจะไปรู้
หลังจากที่อัลดาซใส่ยาทมิฬเตรียมไว้แล้ว เขาก็ไม่ได้เปิดออกและดูมันต่อไป ดูเหมือนว่ายาทมิฬจะมีความงามลึกลับอันทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ต้องคอยจับตาดู หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาก็กลับมาเป็นปกติ พร้อมกับถามว่า: "เจ้าขวดยานี้... เจ้าไปได้มันมาจากไหน?"
ในที่สุดอัลดาซก็ตื่นสักที เขาไม่ได้ถามว่าเฉินรุยสร้างเองหรือเปล่า เพราะเขารู้ดึว่าเด็กฝึกงานของเขาไม่ได้มี "ความสามารถ" หลังจากเรียนรู้ความรู้พื้นฐานของการปรุงยาแล้ว เขาก็รู้ดีเลยว่าเฉินรุยยังอ่อนไปมาก แต่กลับกัน การเรียนรู้เจ้าอิมพ์น้อยกลับก้าวโดดอย่างน่าประหลาดใจ
"จําการทดสอบมรดกของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าผ่านมันไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นของรางวัล ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จึงได้มอบยาแท้จริงขวดนี้มาให้กับข้า เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ยาขวดนี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าข้าแล้ว เพียงแต่ ทั้งสูตรและเทคนิคการทำข้ากลับไม่สามารถจำได้เลย" เฉินรุยรู้สึกว่าข้อแก้ตัวของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่นี้มันโคตรยากจะเชื่อ แต่ว่ามันก็ไม่มีช่องโหว่ใดๆให้รับรู้ได้เลย
"เพราะอย่างนั้นเองสินะ ข้าขอสรรเสริญท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยแสดงอนาคตแห่งการปรุงยาให้ข้าประจักษ์!" อัลดาซรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง: "ว่าแต่ถ้าเจ้าผ่านบททดสอบจนเสร็จสมบูรณ์ เจ้าจะได้มันมาไหม? ความสามารถในการปรุงยาทมิฬน่ะ?"
"ข้าคาดว่าจะไม่ และครึ่งหลังของการทดสอบนั้นยากมากมายนัก หากข้าประมาท ข้าอาจตายไปเลยก็ได้" เฉินรุยจะไม่บอกหรอกว่ายาทมิฬที่ถูกที่สุดใช้ค่าออร่า 10,000 และเขาไม่ต้องการใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อยานี้ด้วย และด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกไปว่า "ท่านอาจารย์ ข้าอยากให้ท่านสัญญาว่าถ้ายาทมิฬแท้จริงนี้เป็นที่รู้จักในอนาคต ท่านจะต้องบอกว่ามันได้รับการพัฒนาด้วยตัวท่านเองและท่านต้องไม่พูดถึงข้า!"
"ไม่!" อัลดาซกระแทกโต๊ะอย่างรุนแรงจนโต๊ะแทบจะพังด้วยรอยครูดขนาดใหญ่ เฉินรุยชี้ไปที่ยาสีดําที่แกว่งไปมาบนโต๊ะ เฉินรุยชี้ไปที่ยาสีดำที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะ และความโกรธของดาร์คเอลฟ์ก็หายไปในทันที เขารีบจับขวดอันล้ำค่าของเขาไว้แน่น พร้อมทำท่าตลก อย่างไรก็ตาม ทัศนคติอันแสนแน่วแน่ของเขาไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นของจริง
"นี่คือเกียรติยศที่พระองค์ทรงมอบมาให้! ข้าไม่คิดที่จะทำอะไรน่าละอายเช่นนั้นแน่!"
"อาจารย์ ท่านต้องคิดอีกมุมหนึ่ง ข้าให้ยาทมิฬแก่ท่านใช่ว่าต้องการชื่อเสียง แต่เพื่อให้ท่านศึกษามัน จนก้าวข้ามกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่" เฉินรุยกล่าวอีกว่า: "ท่านต้องการทำให้ความลับของ ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่รั่วไหลออกไปหรือ? ข้าเองก็เป็นเพียงมนุษย์ คนนอกผู้ไร้ซึ่งพลังอำนาจ ถ้าความลับถูกเปิดเผย ใครจะรู้กันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? ข้าจะยังอยู่ที่เมืองพระจันทร์ดับหรือ?"
ทันใดนั้นอัลดาซก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง: ในแง่ของมูลค่าขวดยาทมิฬนี้มีค่า มากจนอาจทำให้เฉินรุยถูกชิงตัวไปได้ สำหรับนักปรุงยาแล้ว พวกเขายอมแลกทุกอย่างเพื่อมัน แต่สำหรับมนุษย์มันเป็นข้อยกเว้น มันไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย
อาจารย์ดาร์คเอลฟ์เริ่มสงบและตระหนักได้: สิ่งที่เฉินรุยพูดมันถูกต้อง หากข่าวรั่วไหลออกมา ไม่เพียงแต่อาณาจักรเทวดาเท่านั้น แต่อีกหลายอาณาจักรคงจะมาเยือนเมืองพระจันทร์ดับแน่แท้ ฝ่ายต่างๆจะแลกทุกสิ่ง ต่อสู้กันเพื่อเฉินรุย . ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเมืองพระจันทร์ดับ เจ้าหญิงเชียคงมิอาจรักษาเขาไว้ได้ ในเวลานั้นไม่เพียงแต่เมืองพระจันทร์ดับจะสูญเสียเฉินรุยไป แม้แต่ความสมดุลของการรักษามิตรระหว่างสามดินแดนก็จะแตกหัก
ดังนั้นหากจะต้องศึกษาขวดยานี้ ก็ต้องทำอย่างลับที่สุด อย่าให้ใครรู้จนกว่าจะไม่มีผลลัพธ์
การวิเคราะห์ของอัลดาซทําให้เฉินรุยต้องอับอายและหลายคนก็ไม่ได้คิดถึงมันเลย ดูเหมือนว่าทางเฉินรุยเองก็จะตระหนักถึงเรื่องปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่น้อยไปหน่อย
"จริงสิครับ มีอีกเรื่องนึง" เฉินรุยคิดว่าเมื่อเขา "ลิ้มรส" ยาทมิฬความรู้สึกแปลกๆรวมถึง "กฎ" ทั้งหมดนั้น เขาพูดให้อัลดาซฟัง โดยแสร้งว่ามันเป็นความรู้สึกผ่านฝีปากของท่านปรมาจารย์
พอเป็นเช่นนั้น อัลดาซก็ยืดดวงตาและพึมพำ: "จังหวะ...และกฏ"
ดาร์คเอลฟ์ผู้นี้ได้เก็บประสบการณ์อันล้ำค่าของท่านปรมาจารย์มาแล้ว หากท่านได้เพียงแค่สมบัติภายนอก ท่านคงจะไม่ได้สัมผัสถึงรสชาติภายในของมัน เมื่อเห็นว่าอัลดาซกำลังเข้าสู่โหมดตระหนักรู้ เฉินรุยก็ไม่ก่อเรื่องอะไรและรีบกลับห้องไปทันที
ในตอนนั้นเอง หลังจากที่ได้รับข่าวเกี่ยวกับอรัค รอยซ์และคนของตระกูลคารอน โจเซฟ ก็ได้รีบมุ่งหน้ามาที่เมืองพระจันทร์ดับก่อนมืดทันที
โจเซฟไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ของเมืองพระจันทร์ดับ แต่ตรงไปที่สนามประลองเพื่อเยี่ยมอรัคที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเขาก็มาที่ร้านเวทมนตร์ที่ถูกขโมยภายใต้การดูแลของรอยซ์ ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นเศร้าหมอง
"นายท่าน ทุกอย่างมันก็เป็นแบบนี้แหละ" แม้ว่ารอยซ์จะดูไม่โกรธ แต่เมื่อพูดถึงตระกูลคารอน ดวงตาของมันกลับไม่สามารถปกปิดความโกรธไปได้ "เรื่องร้านเวทย์มนตร์ นายท่าน ข้ายินดีที่จะรับผิดชอบทั้งหมด ได้โปรดลงโทษเลยเถิด"
โจเซฟส่ายหัว "นี่คือสิ่งที่ไอ้บ้าอลันมันได้ทำ ข้าโทษเจ้าไม่ได้หรอก อีกทั้งอาการบาดเจ็บของเจ้าก็ด้วย"
"ไม่มีอะไรร้ายแรงขอรับ แต่อรัคอาจจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายถึงครึ่งเดือน มิคาสมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ถ้ามันไม่ใช้พิษเพลิงใส่ข้า มันจะเข้ามายังร้านค้าเวทมนตร์ได้ยังไง? ข้าขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่!" รอยซ์กัดฟันพร้อมกับพูดออกไปว่า: "การโกงของอัลเลนในสนามประลองถูกเปิดเผยโดยเอกิล เป็นที่รู้กันไปทั่วเมือง เรก้าที่มาจากตระกูลคารอนก็ถูกฆ่าในที่สาธารณะโดยอรัค แต่ศักยภาพของเอเกิลนั้นไม่ธรรมดาจริง ข้าตามมันไปและอยากจะจ้างวานมัน แต่ว่าในตอนนั้นข้าก็เห็นมิคาสกำลังฆ่าเอกิล ข้าเลยหยุดมัน แต่ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ขึั้น! มิคาสตั้งใจจะฆ่าข้าก่อนที่ข้าจะฆ่ามันเสียอีก สร้อยข้อมือมิติมันก็ส่งไปให้เดงคิ ทหารหลายคนก็เห็นมัน เมื่อตอนที่ข้ากับอรัคไปที่บ้านของอลัน เจ้าเดงคิมันก็อญู่ด้วย เห็นได้แน่ชัดเลยว่าของพวกนั้นที่ขโมยมาต้องอยู่กับมันแน่!"
หลังจากไตร่ตรองสักครู่ โจเซฟก็ถามว่า "แล้วเจ้าหญิงทรงทำยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น?"
รอยซ์ตอบตามความจริงว่า "เจ้าหญิงนั้นเมื่อเห็นว่าเรากับทางตระกูลคารอนมีปัญหากัน ก็ได้ส่งท่านผู้เฒ่ากัสมาไกล่เกลี่ย แต่มันคือการกระตุ้นต่างหาก"
ในหัวใจของรอยซ์ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าหญิงมีความสำคัญกับโจเซฟมากขนาดไหน ไม่ใช่เพียงแค่ตัวตนเล็กกระจ้อยร่อย นอกจากนี้ เขายังสามารถใช้เจ้าหญิงเพื่อเป็นข้ออ้างในระยะยาวได้อีกด้วย
"ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องสงสัยเรื่องอื่นอีกแล้ว ถ้าหากว่าเป็นเจ้าหญิงที่ก่อเรื่องนี้ขึ้น นางคงจะไม่พยายามทำให้เกิดการยั่วยุระหว่างเราขึ้นมาอย่างชัดเจนขนาดนี้" โจเซฟคิดพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นเขาก็ถามกลับมาว่า "ว่าแต่ เอกิลจะท้าประลองกับอรัคจริงๆงั้นเหรอ?"
"ใช่ขอรับ เอกิลนั้นเป็นเพียงมารระดับกลางเมื่อเดือนก่อน แต่ตอนนที่เขาเอาชนะเรก้า เขาก็อยู่ในระดับกลางขั้นสูงแล้ว จากข้อมูลของอรัค เอกิลน่าจะเป็นพวกกลายพันธุ์ มารผู้ยิ่งใหญ่หรือลูกหลานของราชวงศ์ที่มีตราประทับบางอย่างบนร่างกาย จําเป็นต้องพึ่งพาการต่อสู้เพื่อทําลายตราประทับ และฟื้นฟูความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงมีความกล้าที่จะท้าทายศัตรูมากมาย อรัคที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ทำสัญญาขึ้นมา"
"ก็สมกับเป็นหมอนั้นแหละนะ!" จากนั้นโจเซฟก็เริ่มรู้สึกสนใจ "ในความคิดของเจ้า คนๆนั้นมีแนวโน้มจะเข้าร่วมกับเรามากน้อยเพียงใด?"
"หากไม่มีอรัค ก็น่าจะ 100 % ขอรับ" รอยซ์พูดออกมาอยา่งมั่นใจมาก: "นอกจากนี้เขายังมีกองกำลังเล็กๆที่เรียกตนเองว่าแก๊งค์เสื้อคลุม แต่ว่าเพราะเขาไปมีเรื่องกับอลันและกำลังจะท้าดวลกับอรัค จึงทำให้เขาได้แต่ต้องคอยมองหาผู้คุ้มกันภัยที่อยู่นอกเหนือจากขุมกำลังพวกนี้"
ในสายตาของโจเซฟ เขามองเห็นเพียงเครื่องจักรสังหารเท่านั้น: "เจ้าคงกำลังหมายถึงเจ้าหญิงใช่ไหม?"
รอยซ์พยักหน้า: "อลันส่งคนไปที่แก๊งค์เสื้อคลุมเมื่อบ่ายนี้ กองกำลังทหารของเจ้าหญิงปรากฏตัวในบล็อกตะวันออกเฉียงใต้ของแก๊งค์เสื้อคลุม โดยระบุว่าแก๊งค์เสื้อคลุมจะกลายเป็นหนึ่งในกองหนุนของของเหล่าทหาร อลันที่สิ้นหวังก็ได้แต่ต้องถอยอย่างจำยอม ข้อบ่งชี้นี้บอกได้เลยว่าเอกิลทำสัญญากับเจ้าหญิงเรียบร้อยแล้ว"
โจเซฟขมวดคิ้ว จากนั้นรอยซ์ก็พูดต่ออีกว่า: "ท่านไม่ต้องกังวลเลย ในความเป็นจริง ข้ามีหนทางสำหรับเอกิลเรียบร้อย ในตอนที่ข้าช่วยเอกิลเมื่อคืนก่อน ข้าก็ได้เตรียมข้อเสนอชั้นยอดไว้ให้ เอกิลขอบคุณที่ข้าช่วยชีวิตเข้าไว้เป็นอย่างมาก และเขาก็ดูสนใจในข้อเสนอนี้ แต่เขายืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงการประลองกับอรัค หากเขาชนะการประลอง เขาร้องขอที่จะรับตำแหน่งผู้ดูแลสนามประลองแทนอรัค ดังนั้นก่อนการประลอง เขาจะไม่ขอคุยข้อเสนอกับเราก่อน ข้าตกลงในนามของท่าน และปล่อยให้เขาร่วมงานกับเชียไป ทั้งหมดก็เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของแก๊งค์เสื้อคลุมด้วย การที่ข้าใช้นามของท่านเอ่ยไปเช่นนั้น ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย"
"ไม่เลย เจ้าทำดีมากแล้ว!" โจเซฟเข้าใจ "ความตั้งใจ" ของรอยซ์ ทันใดนั้นปากของเขาก็เผยอยิ้มออกมา "ถ้าหลังจากเดือนนี้ เอกิลกลับถูกฆ่าตายอย่าง่ายดายโดยอรัค ก็ไม่มีอะไรที่เราจะเสีย แต่เราจะใช้มันโจมตีเชียกลับไปแทน หากเอกิลแข็งแกร่งกว่าอรัคจริง ตอนนั้นเราก็จะได้สมาชิกใหม่มาเพิ่ม ถ้าหากข้ากลับมาไม่ได้ เจ้าจงจำไว้ เราต้องพยายามไม่ให้ทั้งสองถูกฆ่าโดยเด็ดขาด ไม่ว่าฝ่ายใดจะตาย เราห้ามขาดทุน"
รอยซ์พยักหน้า: "เข้าใจแล้วครับท่าน"
ยิ่งการต่อสู้ระหว่างโจเซฟและคานิตายิ่งใหญ่เท่าไร การที่มีคนมีความสามารถข้างกายย่อมดีอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็ได้ถามต่อไปว่า: "ว่าไปแล้วธุรกิจของเจ้าหญิงน้อยที่เพิ่งเปิดใหม่ดีมากเลยไหม?"
รอยซ์ที่จำได้ว่าตนรายงานเรื่องนี้กับโจเซฟในตอนเช้า ก็ได้พยักหน้าตอบกลับไป "ขอรับ โดยเฉพาะเกมหมากรุก ตระกูลเมลลอนใช้เหรียญคริสตัลทมิฬ 50,000 เหรียญและซื้อผลงานการเล่นแร่แปรธาตุของปรมาจารย์โบราณไป" แม้แต่ตอนนี้ ปริศนาของมันก็ยังไม่ถูกแก้ไขเลยขอรับ"
"ผลงานของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สินะ..." โจเซฟคิดถึงอลิซและนึกถึงตอนที่เดิมพันในการประลองเวหา ทันใดนั้นสายตาของเขาก็บังเกิดไอเย็นยะเยือกขึ้น "ข้าอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านค้าของเจ้าหญิงน้อย"
รอยซ์เข้าใจดี แม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่โจเซฟก็อยู่ในเมืองพระจันทร์มืดมาสักพักและสามารถเข้าใจข้อมูลของร้านค้าของเจ้าหญิงได้ภายในพริบตา
ยิ่งโจเซฟฟังข้อมูลมากเท่าไหร่ สายตาของเขาก็พลันแคบลง และเขาก็เริ่มคิดอะไรบางอย่าง
รอยซ์ถอนหายใจและก็กล่าวเพิ่มไปว่า: “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงคนทำธุรกิจธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ข้าก็รู้สึกชื่นชมเจ้าหญิงตัวน้อยแล้ว การที่นางสามารถเปลี่ยนร้านแปลกๆให้กลายเป็นสุดยอดร้านค้าอันแสนโด่งดังในเมืองพระจันทร์ดับแห่งนี้ช่างน่าเหลือเชื่อมาก”
"ไม่!" โจเซฟส่ายหัว "นี่ไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหญิงน้อย ไม่อย่างนั้นร้านค้าของเจ้าหญิงน้อยคงจะมีชื่อเสียงไปนานแล้ว! อย่าประมาทธุรกิจที่ไม่ธรรมดานี้เด็ดขาด สติปัญญาและความสามารถพิเศษภายในนั้นเหนือจินตนาการ พรุ่งนี้เราต้องไปตรวจสอบที่ร้านค้าของเจ้าหญิงน้อย” . .
รอยซ์พูดออกไปด้วยความไม่พอใจอีกว่า: "แล้วเรื่องอลันล่ะขอรับ? เจ้านั้นมันก็แค่ขยะของตระกูล ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย แต่ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันมากดขี่ข้าได้แบบนี้!"
โจเซฟรู้ว่ารอยซ์เองแต่เดิมก็เป็นทายาทของตระกูลใหญ่ แม้ว่าเขาจะถูกกีดกันจากตระกูล แต่ความภาคภูมิใจในกระดูกของเขานั้นมากกว่าของอรัคมาก โจเซฟจึงกล่าวอย่างมั่นใจกลับไปว่า: "ข้านั้นไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลคารอนเสียเท่าไหร่ และข้าก็จะไม่ปล่อยให้มันมาดูถูกเราได้ แม้ว่าเราจะยังเป็นมิตรกับอลันอยู่ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าคงจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้มันจำ"
รอยซ์พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไร ฝั่งโจเซฟเองก็ยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจ เขานั้นไม่รู้ตัวเลยว่า ลูกน้องของเขาที่แสนจะ "ภาคภูมิใจ" นั้นกำลังทรยศและจงใจยั่วยุเขาอยู่