บทที่ 67 ไม่ยอมแพ้! ฝ่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนนั่นซะ
บทที่ 67: ไม่ยอมแพ้! ฝ่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนนั่นซะ
พอมิคาสพูดจบ มันก็ได้เปิดมือออกมาและร่างของเฉินรุยก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิง เปลวไฟนี้แตกต่างจากไฟมารที่เพิ่มพลังของมารระดับสูงสุด มันเป็นเปลวเพลิงที่อุณหภูมิสูงจนน่ากลัว วงของมันเริ่มแคบและห่อหุ้มร่างเขาไว้ เฉินรุยเริ่มได้ยินเสียงร้อนผ่าวบนผิวหนังและเสื้อผ้าของเขาก็ได้ลุกเป็นไฟ กระนั้นความเจ็บปวดทางร่างกายเป็นเพียงรอง เพราะตอนนี้จิตใจของเขาเริ่มรู้สึกสั่นสะท้าน
“นอกเหนือจากความสามารถพื้นฐาน 3 อย่างแล้ว มารระดับสูงสุดก็มักมีความสามารถกลายพันธุ์ ของข้าคือเปลวเพลิง แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับพลังของผู้อื่น แต่ของข้ามีพลังในการทำลายจิตวิญญาณ! ข้าจะไม่เผาเจ้าให้ตายในทันที เจ้าจะค่อยๆทรมานทั้งจิตวิญญาณและร่างกายไปอย่างช้าๆ! การที่สามารถสังหารสมาชิกของพวกตระกูลราชวงศ์ได้ช่างเป็นอะไรที่น่าจดจำเสียจริง”
ไม่นานนัก ร่างกายของเฉินรุยก็ได้ถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงและหน้ากากของเขาเริ่มละลายช้าๆ อย่างไรก็ตาม ที่เจ็บปวดที่สุดตอนนี้คือจิตวิญญาณของเขา มันรู้สึกสยดสยองมาก ราวกับนิ้วเริ่มถูกฉีกออกไปทีละนิด
พอต้องมารับความเจ็บปวดมากๆ เฉินรุยก็รู้สึกว่าสติของเขาค่อยๆพร่าเลือน ความตายเริ่มเข้ามาใกล้ช้าๆ ทุกอย่างจบแล้วงั้นเหรอ?
แต่เขาไม่ยอมรับหรอก ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ
เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น เขาจะเป็นคนควบคุมชะตาของตัวเอง
"ระวังกว่านี้หน่อยสิ...ตัวข้ายังใช้ชีวิตไม่นานพอเลยนะ!" เจ้ามังกรปากแข็งนั้นคงไม่ยอมพูดคำห่วงใยให้ข้าแน่นอน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ!” แม้ว่ารอยยิ้มของสาวงามน้ำแข็งจะเพียงชั่วครู่ แต่มันก็พอจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา
"เจ้า...ควรระวังตัวกว่านี้สิ" จู่ๆคำพูดนี้มันก็ได้ทำให้เขานึกถึงดวงตาคู่แดงที่จริงใจและอบอุ่น
“พี่ชายมนุษย์…”
ข้าไม่ยอมแพ้หรอก!
ข้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่าข้าจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้อีกแล้ว!
ข้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่าข้าจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้อีก!
ไม่ว่าจะยังไง ทุกอย่างมันก็เพื่อตัวข้าเอง! เพื่อสหายของข้า! เพื่อนางคนนั้น! ยืนขึ้นสิ เฉินรุย!
อย่าตายเยี่ยงคนขี้ขลาด!
พลังใจมันมีมากกว่าพลังกายไม่ใช่หรือ? แม้ร่างกายจะถึงขีดจำกัดหรือพังทลายลงไป...แต่มันยังไม่หมดสิ้น! แล้วจะทำยังไงกันล่ะ?
รูม่านตาของเฉินรุยจู่ๆก็พลันส่องสว่างแสงสีขาวออกมา!
มิคาสเริ่มสังเกตเห็นว่าร่างกายที่ลุกไหม้ในเปลวเพลิงค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับเปล่งประกายสีขาว
"เจ้ายังมีแรงเหลือที่จะต่อสู้อีกงั้นเหรอ?" มิคาสเริ่มเพิ่มพลังเปลวเพลิงเข้าไปอีก ไฟเริ่มลุกโชน พื้นที่รอบๆเริ่มกลายเป็นสีแดง แสงสีขาวค่อยๆกลายเป็นวงกลม จนเปลวเพลิงไม่สามารถห่อหุ้มมันได้
มิคาสเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ มันจึงเทเลพอร์ตตรงไปยังลูกบอลแสงและชกเข้าไป แสงสีขาวดูเหมือนจะมีรูปทรงทางกายภาพด้วย ที่เกิดผลมีเพียงการสั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น มิคาสจุดไฟมารของตนอย่างรุนแรงไปที่ลูกบอลแสง แต่มันก็ไม่สามารถทำลายได้เลย
เมื่อเห็นว่าการโจมตีทางกายภาพไม่ได้ผล มิคาสก็ได้แกว่งมือทั้งสองข้างของมันออกมา เพื่อที่จะใช้พรสวรรค์ด้านเปลวไฟของมันอย่างเต็มที่ เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชน ในขณะที่ลูกบอลแสงค่อยๆหดตัวลง สีของมันดูเหมือนจะกลายเป็นสีเหลืองภายใต้เปลวเพลิง
อย่างไรก็ตาม มิคาสกลับดูเคร่งเครียดมากขึ้น ในตอนนี้มันรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด การลดขนาดของลูกบอลแสงดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะความเสียหายไฟอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่ามันจะซ่อนพลังบางอย่างไว้ภายใน พลังอันแสนน่ากลัว
ในพริบตานั้น ความกังวลของมิคาสก็กลายเป็นความจริง "ปัง!" ลูกบอลแสงได้โผล่ขึ้นและทันใดนั้นหลุมที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่พื้น พลังของเปลวไฟได้ถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์และหายไปในพริบตา ผลกระทบอย่างมากจากการระเบิดทำให้มิคาสไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง มันจึงเริ่มเทเลพอร์ตไปให้ไกลๆ
แต่รังสีของแสงสีเหลืองยังไม่หายไป มันยังคงขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ มันยาวเกือบ 10 เมตร พันรอบตัวมนุษย์ที่อยู่ตรงกลาง!
บนพื้นมีเปลวไฟสีเหลืองเป็นศูนย์กลาง มีหลุมขนาดใหญ่ที่ทำให้ดินและหินแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับการระเบิดที่เกิดจากดาวตกที่ตกลงมา มิคาสเกือบคิดว่าตัวมันหลอนไปเอง แต่ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของมารระดับกลางอย่างแน่นอน เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็น...
แสงสีเหลืองที่ส่องประกายอย่างบ้าคลั่งค่อยๆบรรจบกลับมาที่ร่างกายที่ศูนย์กลาง ดวงตาสีขาวของเฉินรุยก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแปลกๆจากนั้นก็กลับมาเป็นสีดำ
เฉินรุยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจำได้เพียงรางๆว่าร่างกายและจิตวิญญาณของเขาแทบจะสลายไปในเปลวไฟอันน่าสยดสยอง กระดูกและกล้ามเนื้อของรูปร่างมนุษย์ในแถบสถานะแม้กระทั่งลูกบอลแสง“อัลไคด์” ก็ดูเหมือนจะก้อนใหญ่ขึ้น และมันก็ได้ระเบิดออกมาทันทีพร้อมกับกลายเป็นเศษละอองดวงดาว อย่างไรก็ตาม ด้วยจิตมุ่งมั่นของเขา มันจึงทำให้ละอองดวงดาวที่กระจัดกระจายยังไม่เลือนหายไป แต่การไหลของมันเริ่มแปลกออกไป
ตั้งแต่ที่ไฟมารได้โจมตีใส่เขา การโจมตีจากภายนอกก็ไม่ส่งผลต่อเขาอีก ซึ่งนี้มันคือการปรับตัว ในขณะนั้น ละอองดาวก็เริ่มหมุนวนไปมาเรื่อยๆ บนลูกบอลสีขาวของ “อัลไคน์” มันได้กลับคืนสู่สภาพเดิม ลูกบอลแสงสีเหลืองดวงใหม่ค่อยๆปรากฏขึ้นพร้อมกับคำที่ปรากฏขึ้นจากภายใน: มิซาร์!
เมื่อลูกบอลสีเหลืองถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ แรงที่ถูกปัดป้องไว้ก็ได้กระจายออกไป เฉินรุยดูเหมือนจะเกิดใหม่อีกครั้ง บาดแผลของเขาทั้งหมดได้หายไปพริบตา ความตื่นเต้นในใจของเขาแทบจะไม่สามารถระงับได้ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ตัวเขาก็สามารถทะลุขั้นอัลไคน์ได้!
นี่มันเหมือนกับการฟื้นคืนชีพในตำนานหรือเปล่า? ทั้งเสื้อผ้าและหน้ากากของเขาตอนนี้ถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว ร่างกายของเขาตอนนี้เปลือยเปล่าอยู่...ต้องรีบสวมเสื้อคลุมแล้วสิ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ใส่อะไร
แถบสถานะ:
นาม: ผู้นําดวงดาว
ระดับวิวัฒนาการ: สองดาว
ค่าประสบการณ์: 0%
ออร่า:3251
. .
การประเมินความแข็งแกร่ง: D
แน่นอนว่าระดับวิวัฒนาการมาถึง 2 ดาวแล้ว ดูเหมือนว่านอกเหนือจากระดับวิวัฒนาการเริ่มต้นแล้ว การวิวัฒนาการต่อจากนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนอนหลับอีก ค่าประสบการณ์กลับเป็น 0 และค่าออร่าก็ลดลง 10,000 เช่นกัน แถมชื่อยังเปลี่ยนจาก 'ผู้สะสมดวงดาว' เป็น 'ผู้นำดวงดาว'
เฉินรุยรู้ดีว่าเวลานั้นกระชั้นกระชิด ดังนั้นตัวเขาจึงยังไม่มีเวลาไปตรวจสอบสถานะมิชาร์นัก เขารีบเข้าไปยังส่วนหน้าทักษะทันที หน้าทักษะได้กระพริบ พร้อมกับมีทักษะ 4 อย่างได้เพิ่มเข้ามา
'ซึมซับความเสียหาย' (ความสามารถติดตัว - ดูดซับ 30% ของความเสียหายที่ได้รับและเปลี่ยนเป็นออร่า)
'อำพราง' (ทักษะใช้งาน - เปลี่ยนความสูงและรูปลักษณ์ได้อย่างอิสระ แต่ละนาทีจะใช้ออร่าเพิ่ม 1 ออร่า)
'วิเคราะห์ขั้นสูง' (ทักษะใช้งาน - วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการใช้งานแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย 10,000 ออร่า มีผล 30 นาที)
'ดาบออร่า' (ทักษะใช้งาน - ทักษะการโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังดารา เสริมความแข็งแกร่งพิเศษของมือให้เป็นดั่งใบมีดคม จำกัดหนึ่งครั้งต่อชั่วโมง การใช้งานแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 20 ออร่า มีผล 10 นาทีสามารถเปิดใช้งานได้ 'ระเบิดออร่าทำลายล้าง' ขณะใช้ 'ดาบออร่า' ได้
'ระเบิดออร่าทำลายล้าง' (ทักษะการโจมตีพื้นที่ เฉือนสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูทุกตัวทันทีด้วยการเป่าลมความเร็วสูงในระยะ 5 เมตร ต้องใช้ออร่าเพิ่ม 100)
ในบรรดาทักษะทั้ง 4 นั้น เฉินรุยให้ความสนใจกับ 'ดาบออร่า' มากที่สุด ทักษะการโจมตีนี้แตกต่างจาก 'การยิงดวงดาว' มันเป็นการโจมตีระยะประชิดที่เสริมแกร่งให้ฝ่ามือเป็นอาวุธคล้ายมีด นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ 'ระเบิดออร่าทำลายล้าง' ไปพร้อมๆกันได้ 'ซึมซับความเสียหาย' เองก็เป็นสกิลติดตัวที่ทรงพลังมาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลาดูมันนัก เพราะด้านหน้าเขายังมีศัตรูแข็งแกร่งที่อยู่ต่อห้าเขาอยู่
“ช่างน่าทึ่งจริงๆ…” มิคาสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงทุ้มของมันก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าก้าวไปสู่ขั้นมารระดับสูงได้จริงสินะ ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องกำจัดเจ้าแล้ว!”
มันไม่รอให้กระทั่งเฉินรุยสวมหน้ากาก ตัวมันปรากฏด้านหน้าเขาทันที หมัดอันทรงพลังของมันพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตาม ความสามารถของเฉินรุยได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของมิคาสได้อย่างชัดเจน มันแตกต่างจากตอนที่เขากินยาไปอย่างสิ้นเชิง
เฉินรุยขยับไปด้านข้างและเขาก็สามารถหลบหมัดนั้นได้อย่างง่ายดาย ในตอนนี้ พลังดวงดาวในร่างกายของเขามีมากมายอย่างไม่สิ้นสุดราวกับแม่น้ำแยงซี ไม่ว่าคุณภาพหรือปริมาณ อะไรหลายๆอย่างก็ดีกว่าสถานะอัลไคน์มาก เพียงแต่เขายังไม่สามารถปรับตัวได้ดีนัก
มิคาสรู้ว่าการโจมตีของมันพลาด แต่มันก็ยังเทเลพอร์ตไปหาเฉินรุยอีกครั้งเพื่อที่จะโจมตีก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว มันกระแทกไปที่หลังของเฉินรุย แต่ร่างกายของเฉินรุยขยับไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาในตอนนี้ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เขาไม่เหมือนกับตัวเขาคนก่อนแล้ว
เมื่อมิคาสตกใจที่การโจมตีของมันไร้ผล การโต้กลับของเฉินรุยก็ได้มาถึงแล้ว มิคาสได้แต่ต้องเอามือมาป้องกันการโจมตีของเฉินรุอย่างรวดเร็ว มันรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่ง เท้าของมันถึงกับไถลไปข้างหลังเล็กน้อย
มิคาสนั้นอยู่ในขั้นต้นของมารขั้นสูงมานานหลายสิบปี ดังนั้นมันจึงไม่ยอมแพ้มารที่เพิ่งจะก้าวเข้ามา 'มารขั้นสูง' หรอก ไฟมารของมันเริ่มลุกโชนอีกครั้ง และมันก็ได้ชกไปด้านหน้า เฉินรุยถึงกับต้องถอยหลังไปสองก้าว และเมื่อมันกำลังโจมตีอีกครั้ง ซี่โครงส่วนล่างของมันกลับถูกมันเตะจนทำให้ร่างกายของมันสั่นเครือ มันได้แต่ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด และการต่อสู้ของทั้งสองก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ราวกับนี้เป็นการประลองที่ต่อสู้กับเรก้าในสนามประลอง อย่างไรก็ตาม แรงกดดันและพลังทำลายล้างที่ปรากฏออกมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวในขณะต่อสู้กัน ต้นไม้ในป่าก็ถูกทำลายไปเรื่อยๆ ภายใต้การเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้ว่าเฉินรุยจะทำได้เพียงเตะและต่อยไปเล็กน้อย แต่ตัวเขาก็เริ่มสามารถปรับตัวกับพลังที่ได้รับมาใหม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ เขาในตอนแรกเป็นฝ่ายถูกกดดัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สถานการณ์ก็ได้กลับกัน นอกจากนี้ ความได้เปรียบของเขาในด้านความเร็วและร่างกายเริ่มปรากฏออกมา
มิคาสเองก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถ้ามันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วล่ะก็ มันคงไม่อาจเชื่อเลยว่านี้จะเป็นพลังของมารระดับสูงที่เพิ่งก้าวข้ามไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ จากการคาดคิดของมัน เฉินรุยคงจะเป็นมารราชวงศ์ แต่มันกลับไม่รู้สึกว่าตัวมันได้ต่อสู้กับมารที่ใช้ทักษะราชวงศ์เลยสักนิด นอกจากนี้ มันเองก็ดูเหมือนจะเคยเห็นใบหน้านี้มาที่ใดมาก่อน เพียงแต่มันกลับจำไม่ได้
เมื่อมิคาสเริ่มเสียสมาธิ ฝ่ายตรงข้ามก็ได้ฉวยโอกาสโจมตีไปที่ใบหน้าของมันอย่างจัง ในขณะที่มิคาสเดินโซซัดโซเซไปข้างหลัง เฉินรุยก็เคลื่อนที่ไปหามิคาสแล้ว เขาเหวี่ยงแขนเพื่อโยนมิคาสไปทางฝั่งตรงข้ามทันที มิคาสรู้สึกเจ็บปวดด้านหลังของมันมาก เมื่อมันพยายามที่จะกระตุ้นร่างกายของมัน มันก็รู้สึกว่าที่ด้านล่างซี่โครงส่วนล่างของมันได้ถูกเตะอีกครั้งแล้ว ถ้าหากมันไม่รีบเทเลพอร์ตไป ร่างกายของมันคงระบมด้วยการถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง
มิคาสเองก็เคยโจมตีต่อเนื่องแบบนี้กับเฉินรุยมาก่อน มันไม่คิดเลยว่ามันจะถูกการโจมตีของมันโจมตีใส่ตัวมันเอง และมันก็เกือลจะพ่ายแพ้ไปเพราะการโจมตีของมันด้วย นอกจากนี้แล้ว เฉินรุยก็เริ่มคุ้นชิน 'มิชาร์' มากขึ้นแล้ว อีกทั้งด้วยข้อได้เปรียบด้านความเร็วของเขา มันยิ่งทำให้เขาโจมตีได้อย่างอิสระมากขึ้นไปอีก
จากนั้นเฉินรุยก็ได้ใช้พลังดวงดาวควบคุมลมหายใจอันยุ่งเหยิงของตน แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็คงเร่งพลังแบบนี้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง หลังจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาคงลดลงเล็กน้อย ทั้งการโจมตีตลอดมานี้เขาได้ใช้พลังงานไปมาก ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะใช้ 'ดาบออร่า' เพื่อโจมตีมิคาสในตอนที่ไม่ทันตั้งตัว
มิคาสในตอนนี้ก็ได้เทเลพอร์ตไปไกลแล้ว พลังของมันเองก็ถูกเผาผลาญไปเยอะพอสมควร มันหอบเป็นอย่างมากและก็ได้เช็ดเลือดที่อยู่ขอบปากออกไป ความโกรธและความอัปยศอดสูในใจของมันอยู่ในขั้นสุดขีด ไอ้มดตนนี้ที่มันสามารถบดขยี้ได้ตั้งแต่ต้นกลับสามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้ถึงขนาดนี้! ถ้ามันไม่ได้ฆ่าไอ้บ้านี้ ตัวมันก็ไม่รู้แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
ทันใดนั้นเอง อาวุธของมิคาสก็ได้โผล่มาจากกลางอากาศ อาวุธของมันคือ โซ่สีดำ ทั้งสองส่วนที่ด้านปลายเป็นปลายแหลมที่มีแท่งยาวสั้นๆติดไว้ ไฟมารของมิคาสได้ลุกโชนและแสงสีแดงได้ปรากฏอยู่บนโซ่ มันหมุนโซ่ไปมาอย่างรวดเร็ว จนอาวุธได้เกิดลมแผดเผาอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ทำให้ดินและก้อนหินลอยอยู่บนอากาศ ในตอนนั้น มันราวกับว่าพระจันทร์สองดวงบนท้องฟ้าได้เลือนหายไป
"ตายซะ! เอกิล!"