บทที่ 62 แรงโน้มถ่วง 4 เท่า
บทที่ 62: แรงโน้มถ่วง 4 เท่า
เฉินรุยมั่นใจได้เลยว่าเมื่อเขาฝ่าฟันสถานะอัลไคด์และบรรลุวิวัฒนาการไประดับ 2 ดาว หมวดหมู่ที่มีให้แลกเปลี่ยนจะเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีระดับ 3 ดาวและ 4 ดาว ...พอเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนเขาฝันเพ้อไปไกลมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ราคาของยา "แท้จริง" ไม่ใช่จะถูก แต่ละขวดมีราคา 10,000 ออร่า ยาสีขาวใช้ออร่า 1,000-2,000 จุดต่อขวด ในขณะที่ยาทั่วไปใช้ 100-300 จุด
ขวดยารักษาขวดสุดท้ายเฉินรุยก็มอบให้เจสซี่ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงลองชื้อขวดยารักษาจากร้านค้าด้วยออร่า 100 จุด ดูเหมือนว่าผลของมันจะแข็งแกร่งิย่งกว่าที่อัลดาซปรุงขึ้นมาเสียอีก ความเร็วในการฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บก็สูงจนน่าเหลือเชื่อ มีเพียงพลังดวงดาวเท่านั้นที่ไม่ฟื้นตัว
เฉินรุยเดาว่ายาทั่วไปหรือยาระดับปรมาจารย์ต่างก็คงถูกสร้างขึ้นมาด้วยระบบจากฝีมือของ 'สุดยอดปรมาจารย์' ดังนั้นประสิทธิภาพของพวกมันย่อมดีกว่าปรมาจารย์ทั่วไป แม้ว่าเขาจะเป็นเพียง 'เด็กฝึกหัด' ของอัลดาซ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก หากใบหน้าของเขาหนาพอ เขาคงจะกินยาของอัลดาซเป็นอาหารแล้ว แต่ยังไงยาที่ศูนย์แลกเปลี่ยนใช้แลกเปลี่ยนเป็นออร่าทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้คงไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาสีดำที่ “แท้จริง” ข้อแรกคือของมันแพง ข้อสองคือตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะเปิดเผยมัน ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็นในอนาคตจะดีกว่า
หลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว เฉินรุยก็เข้าไปที่สนามฝึกซ้อม เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับแรงโน้มถ่วงสองเท่าได้โดยไม่ต้องใช้พลังดวงดาวเลย ตอนนี้เขาต้องการลองแรงโน้มถ่วง 4 เท่าดู สำหรับกฎเวลา เขาก็ใช้เวลา 5 เท่า
จากความคิดของเฉินรุยแล้ว แรงโน้มถ่วง 4 เท่าก็เท่ากับแรงโน้มถ่วง 2 เท่าที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขาจะต้องสามารถคงตัวให้ได้โดยไม่พึ่งพลังดวงดาว หากทำได้สำเร็จ เขาคงสามารถทดสอบแรงโน้มถ่วง 8 เท่าได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่สภาวะของแรงโน้มถ่วง 4 เท่า เขาก็รู้ได้เลยว่ามันไม่เหมือนกับที่เขาคิดเลยสักนิด
ตัวอย่างเช่น หากการจำกัดน้ำหนักของคนๆหนึ่งคือ 200 กิโลกรัม เรายังสามารถเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก 100 กิโลกรัมจากเริ่มต้น 100 กิโลกรัมได้ได้ แต่หากเพิ่มน้ำหนักอีก 100 กิโลกรัมจะไม่สามารถทำได้ มันก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายหลังของอูฐ
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเพิ่มพลัง แต่มันเป็นการท้าทายขีดจำกัด!
เฉินรุยรู้สึกว่ามันอึดอัดกว่าเดิมถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เขาเข้าสู่แรงโน้มถ่วงสองเท่า น้ำหนักตอนแรกของเขาที่มีอยู่ 65 กิโลกรัมเหมือนกับเพิ่มไป 260 กิโลกรัม ไม่ว่าจะเป็นการหายใจหรือการเคลื่อนไหว อวัยวะภายในทุกส่วนของเขาน้ำหนักต่างก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะนอนอยู่กับพื้น แต่ตัวเขาก็รู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก
เขาใจร้อนเกินไปหรือเปล่าที่เลือก 5 เท่า? เขาจะต้องอยู่อย่างนี้อีก 5 วันงั้นเหรอ? แต่ว่าเขาไม่มีทางทำให้ 9000 จุดเสียเปล่าหรอกนะ!
เฉินรุยนอนบนพื้นพร้อมกับใบหน้าและดวงตาของเขาที่แดงก่ำ เขาพยายามขยับนิ้วไปมา ถ้าหากเขาใช้พลังดวงดาว เขาคงผ่านไปง่ายๆและไม่ยากอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผ่านประสบการณ์กับแรงโน้มถ่วง 2 เท่า เขาก็รู้ว่าการใช้มันจะทำให้ร่างกายด้อยประสิทธิภาพ
หากเขาไม่สามารถหยุดใช้พลังดวงดาว เขาจะคุ้นเคยกับมันและใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา จนทำให้การฝึกลดทอนผลของมันลงไปมาก ดังนั้น เขาจึงได้ใช้กำลังกายของเขาในการต้านทานแรงโน้มถ่วงที่น่ากลัวโดยไม่ใช้พลังใดๆทั้งสิ้น หากเขาต้องการฝ่าฟันถึงขีดจำกัด เขาจะต้องทำให้ตัวเองตกอยู่ในความตายเสียก่อน หากเขาทรมานตัวเองตอนนี้ เขาจะสามารถทนทรมานศัตรูในระหว่างการต่อสู้ได้
มีอยู่สองสามครั้งที่เฉินรุยรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงต้องทนกัดฟันเพื่อให้มันผ่านไปให้ได้ พอขยับนิ้วช้าๆ เขาก็เริ่มขยับร่างกาย......พยายามนั่งลง ยืนขึ้นและล้มลง จากนั้นก็ยืนขึ้นอีกครั้ง...มันเหมือนกับว่ามีค้อนที่กระทบตัวเขาตลอดเวลา มันช่างเป็นการท้าทายที่ต่อต้านพลังมุ่งมั่นของเขาเหลือเกิน
การบรรลุความแข็งแกร่งไม่สามารถทำได้เพียงแค่ตะโกนจริงๆ ไม่มีทางลัดใดบนเส้นทางที่มุ่งไปสู่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง อัจฉริยะที่ขี้เกียจก็เหมือนกับคนโง่ และคนๆนั้นย่อมไม่ใช่อัจฉริยะอย่างแน่นอน
ดินแดนวิญญาณสีชาด
เสียงอันสั่นเครือและเสียงกัดฟันได้ดังไปทั่วห้อง จากนั้นมันก็หยุดลงเป็นเวลานาน
เสียงนั้นเป็นของโจเซฟ ผู้ที่กำลังหอบและกำหมัดแน่น ห้องตอนนี้มีของกระจัดกระจายเต็มไปหมด โต๊ะไม้ถูกทำลาย เครื่องแก้วแตกกระจายเป็นชิ้นๆ นอกจากนี้ยังมีซากศพที่เต็มไปด้วยเลือดของซัคคิวบัสที่สวมใส่ชุดสาวใช้บนพื้น
นอกจากโจเซฟ ก็มีมารตนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ มันเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนมนุษย์ มันน่าจะเป็นมารระดับสูงที่มีสายเลือดกลายพันธุ์
ชายผู้นั้นรอให้โจเซฟระบายอารมณ์จนใจเย็น จากนั้นมันก็เปิดปากและพูดไปว่า “คานิตาจงใจคว้าโอกาสที่ท่านจะแพ้การแข่งขันเพื่อกล่าวหาว่าท่านไม่ได้ทำตามคำสั่งของอุปราช เวลลอนผู้เข้าร่วมการแข่งขันในนามของจ้าววิญญาณสีชาดก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการเอ่ยแก่ท่านจ้าวบอกว่าตัวท่านได้สร้างความอับอายให้ดินแดนวิญญาณสีชาด และยังสูญเสียของมีค่าอย่างไวเวิร์นให้กับเมืองพระจันทร์ดับด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ท่านจ้าวโมโหมาก เห็นได้ชัดว่าเวลลอนและตาเฒ่าหลายคนเริ่มเข้าหาคานิตาแล้ว ฝ่ายเราคงต้องเตรียมตัว นายท่าน สิ่งที่ท่านต้องทำในตอนนี้มากที่สุดคือสงบสติอารมณ์เถิด”
โจเซฟหายใจลึกๆและก็ได้สงบลง “ลีโด เจ้าพูดถูก ความล้มเหลวก็กลายเป็นจริงแล้ว โกรธเกรี้ยวไปมีแต่จะไร้ความหมาย ไอ้สารเลวคานิตามันก็เก่งแค่หาโอกาสที่ข้าร่วงหล่นเท่านั้น มันพูดแค่สองสามครั้งต่อหน้าบิดาของข้า มันก็สามารถแทนที่ข้าในเมืองพระจันทร์ดับได้แล้ว! ยิ่งกว่านั้น บิดาของข้ากลับไม่ได้คัดค้านอะไรเลย!”
“ถึงท่านผู้นั้นไม่คัดค้าน แต่ท่านก็ใช่ว่าจะเห็นด้วย! ที่จริงแล้วนายท่านและคานิตาก็เป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดรุ่นแรกเท่านั้น มันยังไม่ใช่เส้นทางสู่ตำแหน่งทายาทที่แท้จริง ตัวท่านจ้าวเองก็ยังไม่ถึงวัยชราและอ่อนแอ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมท่านผู้นั้นถึงได้ทำให้ทุกสิ่งอย่างสมดุล” ลีโดพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ถึงอย่างไรความล้มเหลวในสนามประลองนี้ก็มิสามารถหวนย้อนคืนได้ คิดเสียว่านายท่านใจกว้างให้กับมันแล้วกัน ทั้งนี้มันยังช่วยแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คานิตาว่อนไว้ได้ด้วย ขั้นตอนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่นายท่านจะตอบโต้ไปอย่างไรเท่านั้นเอง”
โจเซฟได้ยินก็พูดด้วยเสียงต่ำกลับไป “รอยซ์ได้กลับมาพร้อมกับข่าวสำคัญเมื่อไม่นานมานี้ อัลดาซแห่งเมืองพระจันทร์ดับดูเหมือนกำลังจะพยายามปรุงยาระดับปรมาจารย์”
“ยาระดับปรมาจารย์งั้นเหรอขอรับ!” ลีโดได้แต่ตะลึงงัน ใช่อัลดาซที่เป็นดาร์คเอลฟ์ผู้ที่สามารถสังหารมือใหม่อัจฉริยะอันดับ 1 จากเมืองหลวงใช่ไหมขอรับ? พันปีมานี้แทบไม่มีปรมาจารย์นักปรุงยาเลยในอาณาจักรมาร แม้จะมีคนที่สามารถก้าวถึงระดับปรมาจารย์ได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยประสบความสำเร็จในการไปถึงระดับนั้นจริงๆ แต่อัลดาซผู้นั้นจะสำเร็จได้เช่นนั้นหรือ?”
“แม้ว่ามันจะมีโอกาส 99% ที่จะล้มเหลว แต่เราก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อโอกาส 1% ที่จะความสำเร็จได้” ดวงตาของโจเซฟเผยให้เห็นความจริงจังที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้ง “อัลดาซได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหญิงเชีย ดังนั้นมันจึงสามารถเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์ได้ แต่กระนั้นหลายปีมานี้ การวิจัยด้านยาของมันดูเหมือนจะเข้าขั้นวิกฤตและมันก็ต้องการซ่อนไว้ หากไม่ใช่เพราะแซนโดรได้ตายคามือมัน คงไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมัน ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างมองว่ามันเป็นเจ้านักปรุงยาที่เก่งที่สุดในจักวรรดิ แม้ว่ามันจะไม่สามารถบรรลุระดับสุดยอดปรมาจารย์ได้ แต่พลังอันแข็งแกร่งของมันก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง หากว่ามันสำเร็จจริงๆ ข้าเกรงว่าแม้แต่ท่านอุปราช เจ้าชายออบซิเดียนก็คงต้องพิจารณาการเดินหมากอีกครั้ง…”
ลีโดฟังและพยักหน้าพร้อมกับพูดไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ แม้ว่าอัลดาซจะไม่สามารถเป็นสุดยอดปรมาจารย์ได้ แต่ตราบใดที่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงสนับสนุนของเรา ด้วยชื่อเสียงและความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมัน ท่านจ้าวจักไร้ซึ่งข้อแคลงใจต่อตัวท่านอย่างแน่นอน”
“อัลดาซขาดวัสดุบางยามผสมยา ครั้งหนึ่งมันเคยปล่อยให้ลูกศิษย์ของมันมาขอตัวอย่างจากร้านเวทมนตร์ไปทดสอบฟรีๆ รอยซ์เองก็จัดการกับมันได้ดี พร้อมยังมอบของขวัญให้กับมันอย่างละชิ้น สิ่งนี้จะต้องทำให้อัลดาซประทับใจแน่แท้”
ดวงตาของลีโดก็ได้สว่างวาบขึ้น “ดูเหมือนว่าตราบใดที่เราสามารถหาวัสดุจำนวนมากมาให้ได้ มันก็จะ...”
“ไม่หรอก ความภักดีของอัลดาซต่อเจ้าหญิงเชียเป็นที่รู้กันดี มันไม่สนใจคำเชิญที่มาจากเมืองหลวงหรอก”รอยยิ้มอันน่าขยะแขยงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจเซฟ " อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ในช่วงก่อนหน้านี้ในการท้าทายระดับปรมาจารย์ แซนโดรเคยขู่เรื่องน้องสาวที่หายตัวไปของอัลดาซ มันไม่ลังเลเลยที่จะแสดงความแข็งแกร่งของมันและใช้พิษทำให้แซนโดรหายไปด้วยยาเพียงขวดเดียว ดังนั้นแล้ว การที่จะควบคุมอัลดาซได้ น้องสาวของมันคือกุญแจสำคัญ ลีโด เจ้าจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ เจ้าต้องไปหาเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรไปก็ตาม”
“ขอรับนายท่าน”
ลีโดโค้งตัวลงและเดินออกจากห้องไป จากนั้นโจเซฟก็ได้โบกมือให้สาวใช้ที่กลัวๆอยู่ด้านนอกให้เข้ามาทำความสะอาด
ในอารามเทพช้างเผือก ณ ลานฝึกซ้อม
ในที่สุด เฉินรุยก็สามารถทนแรงโน้มถ่วง 4 เท่าในห้าวันได้ แต่เขาก็จำเป็นต้องออกไปนอนข้างนอกและก็กลับมาฝึกต่อเรื่อยๆ คราวนี้มันเขาได้ใช้กฏแรงโน้มถ่วง 4 เท่าและเวลา 10 วัน
มันเป็นการทรมานตัวเองที่แสนจะน่าเบื่อมาก มีเพียงการคิดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นที่จะช่วยเขาคลายเบื่อ พอคิดถึงทิศทางในอนาคต เขาก็ได้คิดเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองพระจันทร์ดับ คิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับศัตรูของเมืองพระจันทร์ดับ…ไม่ใช่แค่นั้น แต่เขายังคิดเรื่องของคนที่เขาเกี่ยวข้องด้วย
คู่หูของเขาที่เป็นมังกร ทำไมถึงปากแข็งเหมือนนกเป็ดจังนะ
เจ้าหญิงผู้พี่ที่แสนเย็นชาทำไมถึงชอบแผ่รังสีฆาตกรจังนะ แถมเหมือนกับมันโผล่มาที่ด้านหลังตลอดเวลาเลย
ส่วนแม่สาวที่ดุดันก็กระตือรือร้นเหลือเกิน เขาน่ะต้องทำเป็นสุภาพบุรุษทุกครั้งเลยนะยามที่นางตบหน้าอกตัวเอง
โลลิตัวน้อยก็สะสมแต่หนังสือสุดแสนจะเลวร้าย ใจดำ แก่แดดและยังมาลอบโจมตีเขาอีก
อาจารย์ของเขาในตอนนี้ก็มีฉายาว่า "ราชาแห่งการผายลม" แต่เขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้แหละนะ
ส่วนซัคคิวบัสสาวก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจเป็นสาวรับใช้ของเขา แต่เขาก็ไม่กล้าหรอก เพราะตัวเขาเองก็กลัวที่จะโดนดูดพลังชีวิตเหมือนกัน
……
ในระหว่างพยายามคิดไปเรื่อยๆพร้อมกับฝืนพลังกายตัวเอง ก็ดูเหมือนว่าเส้นใยของ 'อัลไคน์' กำลังจะถูกเรียงเส้นให้เป็นระเบียบึ้นมา
ณ ร้านค้าปลีกของเจ้าหญิง
แม้ว่าธุรกิจจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆและเจ้าหญิงน้อยอลิซก็ยิ้มแย้มตลอดทั้งวัน แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่คอยสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างเคียจะรู้สึกแปลกๆ เพราะนางสังเกตเห็นว่าอลิชดูเหมือนจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งก็เหมือนนางพูดอยู่คนเดียว
“ฮึ่ม ข้าจะไม่แพ้อาเธน่าหรอกนะ!”
“ทำไมวิธีการขยายขนาดทรวงอกจากหนังสือถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้กัน?”
“เจ้าบ้าเฉินรุยเอ้ย เขาไม่คิดจะมาหาข้าอีกเลยหรือไง จริงๆแล้วเขาชอบผู้หญิงที่หน้าอกใหญ่สินะ…”
ณ ห้องที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองพระจันทร์ดับ
อาเธน่ากำลังนั่งไขว่ห้างและหลับตา เปลวไฟสีแดงรอบๆร่างกายของนางกำลังกระพริบไปมาพร้อมกับลมหายใจอันสงบ
นางหายใจเข้าลึกๆและเปลวไฟพวกนั้นก็ได้ดับลง นางปิดตาของตัวเองและเปิดตาขึ้นมาพร้อมดวงตาสีแดงที่ดูร้อนแรงเป็นอย่างมาก
หลังจากลุกขึ้นและยืดกายบริหาร นางก็สัมผัสใบหน้าที่นุ่มนวลราวกับว่ารู้สึกถึงความร้อนจากอะไรบางอย่างในความทรงจำ
“หมอนั่น…จะเป็นอะไรไหมนะ?”
ณ สวนในลานด้านในของพระราชวัง
ที่แห่งนี้มีมารตนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆเงียบๆข้างสระน้ำ ราวกับรูปแกะสลักจากน้ำแข็ง สายลมได้พัดผ่านไปเบาๆ เผยให้เห็นผมสีบลอนด์ยาวและกระโปรงสีขาวพลิ้วไปมา
ดวงตาสีม่วงเข้มได้แต่จ้องมองภาพสะท้อนบนผิวน้ำ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆและมองดูดวงจันทร์คู่ที่สวยงามด้วยความอ้างว้าง
สิ่งที่แตกต่างระหว่างดวงจันทร์กับข้าคือมันไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว
แล้วตัวเจ้าล่ะ?