บทที่ 52: สัญญาของเชีย
บทที่ 52: สัญญาของเชีย
"ยังไงคนแคระนั้นก็ไปแล้ว เจ้าพูดความจริงออกมาเถอะ" เชียรู้ว่าตัวเองเกือบจะลืมเรื่องหลักไปและวกกลับมาคุยในเรื่องนี้ทันที "นั่นเป็นผงเวทมนตร์ที่เป็นมรดกจากท่านปรมาจารย์ใช่ไหม? มันเกิดจากการตื่นขึ้นของมรดกของปรมาจารย์สินะ?”
ซึ่งเกาส์ก็ได้แค่เดา เพราะเห็นได้ชัดว่าผงเวทมนตร์นี้ไม่ได้มาจากอาจารย์อัลดาซ หากเป็นเช่นนั้น ปัญหาอาหารของเมืองพระจันทร์ดับก็จะได้รับการแก้ไข
และเฉินรุยก็ตอบไปว่า “ใช่แล้ว มันเกี่ยวข้องกับมรดกของปรมาจารย์ ตราบใดที่ท่านให้วัตถุดิบแก่ข้า ข้าก็สามารถผลิตผงวิเศษในปริมาณมากขึ้นมาได้”
ซึ่งวัตถดิบพวกนั้นก็เป็นวัสดุใช้เพิ่มค่าออร่านั้นแหละ ส่วนผงพวกนั้น…มันก็เหมือนการรีไซเคิลขยะ แต่บทบาทของ "ขยะ" นี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเมืองพระจันทร์ดับในปัจจุบัน
เฉินรุยพูดต่อไปอีกว่า “หากสามารถยืนยันได้ว่าผงพวกนี้ปรับปรุงคุณภาพดินและเพิ่มผลผลิตของพืชผลทั้งหมด ปัญหาอาหารที่ยุ่งยากที่สุดก็จะหายไปพร้อมกับการเลี้ยงปศุสัตว์ของตระกูลไซฟู จากการทดลองของกาก้า ความน่าจะเป็นก็ดูจะสูงพอสมควร อย่างไรก็ตาม การทดสอบการปลูกและการเก็บเกี่ยวพืชจะต้องดำเนินการในที่ลับ นอกจากนี้ เราต้องแกล้งทำต่อไปว่าเราต้องพึ่งพาเสบียงจากจ้าววิญญาณสีชาด ตอนนี้องค์หญิงก็ทำเรื่องทุกอย่างให้เงียบเสียก่อน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็จะระเบิดโจเซฟและจ้าววิญญาณสีชาดในคราเดียว ในเวลานั้น เราก็จะสามารถสร้างปัญหาภายในและภายนอกให้กับออบซิเดียนได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นเมืองพระจันทร์ดับก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม หากเราทำเช่นนั้น แสดงว่าเราจะต้องพร้อมต่อสู้กับออบซิเดียนตลอดเวลา ดังนั้น หนึ่งในบรรดา 'ตัวหมาก' เป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่เมืองพระจันทร์ดับต้องมี ทั้งความแข็งแกร่งของตัวบุคคลและความสามารถในด้านการต่อสู้ หากไม่เป็นไปดั่งนี้ ข้าคิดว่าเจ้าหญิงควรที่จะไม่รีบเปิดศึกไปเร็วนัก”
พลังของตัวบุคคลมีความสําคัญอย่างยิ่งในสงครามบนโลกใบนี้ มันอาจเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้เลยด้วยซ้ำ ในสงครามระหว่างมนุษย์และมารก่อนหน้านี้ มารได้พ่ายแพ้ไปก็เพราะพวกเขาเสียบุคคลที่แข็งแกร่งอย่าง เจ้าอาทิตย์เที่ยงคืน
จริงๆแล้วปากรีโลก็สอดคล้องกับความต้องการที่เฉินรุยต้องการ แน่นอนว่าคงต้องรอให้ตราประทับหายก่อนและต้องดูด้วยว่ามังกรพิษผู้นี้เต็มใจหรือเปล่า
"พูดได้ดีเลยนี้!" ตาของเชียเปล่งประกายและนางก็บอกกับเฒ่าเกาส์ไปว่า "งานปลูกและการทดลองจะผ่านท่าน และต้องทำอย่างลับๆด้วย"
เฒ่าเกาส์พยักหน้าและมองเฉินรุยด้วยความเคารพ จากนั้นมนุษย์ผู้นี้ก็ได้พูดอีกครั้ง "ข้ายังมีสิ่งที่สําคัญมากที่จะรายงานต่อเจ้าหญิงผู้เดียว ท่านเกาส์ โปรดให้อภัยต่อความหยาบคายของข้าด้วย"
เฒ่าเกาส์ส่ายหัว เพื่อสื่อไปว่าไม่เป็นอะไร เขายังต้องวางแผนการเตรียมการเฉพาะสําหรับการปลูกและทดลองอยู่ ดังนั้นเขาจึงขอตัวไปทันที
ตอนนี้เหลือแต่รอยยิ้มเจื่อนๆแล้ว แม้ว่านี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวนางเองอยู่กับเฉินรุยคนเดียว แต่ความไม่สบายใจแปลกๆนี้มาได้ยังไงกันนะ เพื่อที่จะเอาความรู้สึกไม่สบายใจพวกนั้นออกไป นางจึงได้เป็นคนเปิดประเด็นถามขึ้นมาว่า "เฉินรุย เจ้ามีเรื่องสำคัญขนาดไหนกันถึงกับต้องซ่อนจากเกาส์ด้วย?"
"เจ้าหญิง ข้าจะต้องการเวลา 2 เดือน"เฉินรุยหายใจ "มรดกที่ยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ถึงจุดคอขวดแล้วและมันต้องเป็นเรื่องกระชั้นชิดพอสมควร ภายในสองเดือนนี้ ข้าอาจจะต้องออกไปข้างนอกช่วงค่ำคืนบ่อยๆ นอกจากนี้ ข้าจะไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมในช่วงระหว่างวันได้ ข้าหวังว่าเจ้าหญิงจะไม่ทรงถามรายละเอียด มรดกนี้ไม่เหมือนกับมรดกก่อนๆ มันเป็นอะไรที่ยากมากๆ ถ้า...ข้าไม่ผ่านการทดสอบของมัน ข้าก็จะตาย"
"การทดสอบมรดกที่ถึงตายงั้นรึ?" เชียตกใจและกล่าวอย่างใจเย็นไปว่า "ข้าสามารถให้ความช่วยเหลืออะไรเจ้าได้หรือไม่?"
"จากนี้ไปเพียงแค่ให้เวลาข้า 2 เดือนและเก็บเป็นความลับก็เพียงพอแล้ว" เฉินรุยยกคิ้วของเขาและพูดไปอีกว่า "ยังไงก็ตาม เรื่องการปรับปรุงดินก็เป็นเรื่องสำคัญ ผงเวทมนตร์จำเป็นที่จะต้องใช้วัสดุเวทมนตร์ในการสร้าง และมันก็ยังช่วยข้าในการทดสอบได้ด้วย ขอข้าเขียนรายชื่อพวกมันครู่หนึ่ง ข้าหวังว่าเจ้าหญิงจะทรงหาวัสดุพวกนี้มาให้ข้ามากเท่าที่จะทำได้ ไว้ข้าจะทำผงพวกนี้ก่อนที่ข้าจะทำการทดสอบ"
เชียนั้นรู้เลยว่าแม้เฉินรุยจะทำตัวสบายๆ แต่ในใจของเขาต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน นางขมวดคิ้วและพูดไปว่า "ข้ารู้ว่าข้าอาจจะพูดอะไรไม่เหมาะสมไป แต่แม้ว่าจะไม่มีมรดกของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ สติปัญญาและความสามารถของเจ้าก็เพียงพอแล้วสำหรับอาณาจักรมาร"
เฉินรุยผงะและก็ส่ายหัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและมันก็ทำให้เชียรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ข้านั้นเป็นผู้วิริยะ หากข้าตั้งใจจะทำอะไร ข้าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด แม้ว่าจะมีอุปสรรคนับล้านคอยขวางกั้น ตัวข้าก็จักผ่านการทดสอบนั้นมาให้ได้!”
หากเขาไม่มีระบบสุดยอด เขาก็คงได้แต่เลือกที่จะใช้เส้นทางของผู้มีปัญญาเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขาได้ก้าวไปบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งด้วยความช่วยเหลือของระบบสุดยอดได้ เขาจะไม่หันหลังกลับโดยเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขายังอยู่ในอาณาจักรมารที่เห็นความแข็งแกร่งเป็นใหญ่
“ผู้วิริยะ…” เชียดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ นางถอนหายใจเบาๆและก็ได้นิ่งเงียบไป
เฉินรุยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า จริงๆเขาก็ขอแค่ "วัสดุ" ทางอ้อมเท่านั้นเองนะ…
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ!” เชียพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่านางเป็นคนสร้างแบบทดสอบขึ้นมาเอง “ตราบใดที่เจ้าสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ ข้าจะ…”
จะพลีกายให้เหรอ? ไม่เอาเฟ้ย! ดวงตาของเฉินรุยก็เบิกกว้าง เพราะคิดแบบนั้นไปแล้ว เชียปิดตาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ข้าจะให้เคียกับเจ้าก่อน”
ให้ซัคคิวบัสกับเขาที่ได้แต่มอง ไม่สามารถแตะต้องได้งั้นเหรอ?
“นั่นรางวัลหรือบทลงโทษงั้นเหรอ เจ้าหญิง?” เฉินรุยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะพูดไปอย่างนั้น แต่เขาก็สังเกตอะไรบางอย่างในใจของเจ้าหญิง
แค่พูดเล่นใช่ไหม? หรือว่าเจ้าหญิงหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ? หรือว่า...
ทั้งสองคนต่างก็พูดไม่ออก ในขณะัน้นเอง ก็ได้มีคนเดินเข้ามา "พี่สาว!"
อลิซเดินเข้ามาพร้อมกับอาเธน่า
"เฉินรุย ดีเหลือเกินที่เจ้าอยู่ที่นี่ด้วย" อลิซดูมีความสุขเป็นอย่างมาก นางหันไปหาเชียและกล่าวว่า "พี่สาว ข้ามาเชิญท่านเข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นในวันพรุ่งนี้"
"พิธีตัดริบบิ้น?" เชียไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย นางจึงดูสับสนเป็นอย่างมาก
เฉินรุยก็เลยอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับความหมายของพิธีตัดริบบิ้น พิธีตัดริบบิ้นของร้านขายปลีกของเจ้าหญิงได้เพิ่มอะไรหลายอย่างมามาก แต่สิ่งสำคัญคือการเอาคนมีชื่อเสียงมาโปรโมทร้านยังคงเหมือนเดิม
เชียได้รู้มาจากเฉินรุยเกี่ยวกับเรื่องหุ้นส่วนแล้ว ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและกล่าวไปว่า 'นั่นก็เป็นวิธีที่ดี เมืองพระจันทร์ดับก็จะได้รู้จักร้านค้าปลีกของเจ้าหญิง มันคือความคิดของเฉินรุยสินะ"
"อือ" โลลิน้อยพูดออกมาพร้อมกับเผยอปาก “เขาน่ะน่ารังเกียจมากเลยนะ เขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลย แต่ยังจะขอแบ่งรายได้จากข้าตั้งครึงหนึ่ง”
เชียเองก็เห็นด้วยอย่างเงียบๆ เฉินรุยไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาถามไปว่า “การเตรียมสินค้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าเองก็ยุ่งอยู่กับเรื่องนี้ตั้งหลายวัน มันควรจะใช้ได้อยู่” อลิซพยักหน้าอย่างจริงจังและให้รายชื่อ รวมถึงประเภทของสินค้าที่ชัดเจนและเรียบร้อยให้กับเฉินรุย
“อืมไม่เลว เจ้าพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ” เฉินรุยชมเชยอลิซ โลลิตัวน้อยรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากและเริ่มอวดอะไรหลายๆอย่าง เมื่อมองไปที่รอยยิ้มที่กำลังโอ้อวดของน้องสาวตัวเองแล้ว น้ำแข็งที่ผนึกอยู่ในสายตาของเชียก็ราวกัลมลายหายไปและดูอ่อนโยนยิ่งกว่าเมื่อตอนที่นางมองดูเฉินรุยเสียอีก
อลิซยืดแขนของตัวเองแล้วก็พูดว่า "เฉินรุย วันนี้ข้าเหนื่อยมากๆเลย ไว้ข้าจะฝากเรื่องอื่นๆให้เจ้าทีหลังแล้วกัน"
“ไม่ได้ ข้าให้ภารกิจที่สำคัญกับเฉินรุยทำอยู่” เชียยังกล่าวอีกว่า“อลิซ เจ้าจะไม่สามารถไปรบกวนเขาได้อย่างน้อยสองเดือน”
“นานถึง 2 เดือนเลยเหรอ?” อลิซต้องการที่จะต่อรองด้วยควาไมม่พอใจ แต่เมื่อนางเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าของพี่สาว ก็ได้หยุดสิ่งที่จะทำในทันที
“ภารกิจสำคัญเช่นนั้นหรือ?” อาเธน่าถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหญิง ได้โปรดให้ข้าได้สนับสนุนเฉินรุยด้วย”
“ไม่ได้อาเธน่า” เชียส่ายหัว “ภารกิจนี้มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ นอกจากนี้เจ้าเองก็เพิ่งกลายเป็นมารระดับสูง จงอย่าให้เพลิงของมารระดับสูงแผดเผาตัวเจ้า ข้าจะจัดสถานที่ให้เจ้าเอง เพื่อที่เจ้าจะได้ฝึกปรือและควบคุมพลังเปลวเพลิงมารระดับสูงได้อย่างเต็มที่”
เมื่ออาเธน่าได้ยินดังนั้น นางก็หยุดที่จะยืนกรานในทันที นางได้แต่มองเฉินรุย “เจ้า…ต้องระวังตัวด้วย”
แม้ว่าอาเธน่าจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เฉินรุยสามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นไปถึงหัวใจ เขายิ้มและพูดไปว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังเอง”
“ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งคู่คงไม่ว่างสินะ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว” โลลิตัวน้อยรำพึงรำพันในใจและยิ้มให้กับเฉินรุยอย่างชั่วร้าย “พี่สาวเองก็ยังมิเคยได้ลิ้มรสชาติจากเจ้าหมอนี้เลย ข้าขอเสนอให้เราได้กินหม้อไฟที่เฉินรุยทำในตอนเที่ยงวันนี้กันดีกว่า เพื่อฉลองล่วงหน้า!”
ภายใต้สายตาอันแปลประหลาดของเชีย เฉินรุยก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนเที่ยง อัลดาซ เฒ่าเกาส์ เคียและแซลลี่ ทุกๆคนต่างพร้อมหน้ามาฉลองที่พระราชวัง โดยเห็นชัดว่าพ่อครัวคงเป็นเฉินรุย เสียงหัวเราะได้ดังประสานที่โต๊ะรับประทานอาหารและมันก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังจากเกิดใหม่ในอาณาจักรมารมานานแสนนาน นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสุขใจแบบนี้ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เขาคิดหรือเปล่า แต่เขาแน่ใจเลยว่า หากมีผู้คนเหล่านี้อยู่ด้วยเผชิญหน้ากับปากรีโลที่ทะเลสาบสีฟ้าในตอนที่มาบนโลกนี้ครั้งแรก เขาย่อมต้องไม่หวาดกลัวแน่นอน
สองเดือน! เขาจะต้องผ่านบททดสอบนี้ให้ได้!
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน เชียก็ได้ส่งคนจํานวนมากหาวัสดุเวทมนตร์ที่ใช้ "ทํา" ผงเวทมนตร์ โชคร้ายที่ไม่มีอะไรที่เหนือกว่าหยกน้ำแข็งและคริสตัลโลหิต แม้แต่ศิลาเรืองแสงก็มีแค่ตัวคุณภาพต่ำไม่กี่ชิ้น แต่หากมีปริมาณมากก็อาจจะได้ ซึ่งเชียก็เอาทุกๆอย่างมาจากคลังสินค้า
หากเป็นคนร่ำรวยทุกสิ่งก็ง่าย หากยากจนก็คงจะยากกว่านี้ ซึ่งการที่เชียจะทำอย่างนี้มันก็ไม่ง่ายเลย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาดินแดนครั้งก่อนๆ นางได้ขายของหลายอย่างในพระราชวังไป เฉินรุยแอบคิดในใจว่า หากเขารอดจากบททดสอบแห่งความเป็นความตาย 2 เดือน เขาจะต้องทำงานชดใช้นางอย่างหนักแน่นอน
จากนั้นเฉินรุยก็แปลงวัสดุเวทมนตร์ทั้งหมด มันเปรียบไม่ได้กับประติมากรรมศิลาเรืองแสงเมื่อคืนเลย แต่มันก็ยังมีมากกว่า 13,000 จุด จํานวนออร่าทั้งหมดของเขาตอนนี้เกิน 35,000 คะแนน สําหรับบรรดา "ผงเวทมนตร์" เขาก็ได้เอาให้เฒ่าเกาส์
หลังจากแก้ปัญหาทุกอย่างแล้ว เฉินรุยก็ได้สงบสติและเข้าไปยังอาราม ตอนนี้เขามีออร่า 35,000 จุด หลังจากไตร่ตรองสักครู่หนึ่ง เขาก็ได้เลือกกฏสองอย่าง เวลา 2 เท่าและแรงโน้มถ่วง 2 เท่าเป็นเวลา 1 วัน มันเท่ากับว่าเฉินรุยใช้เวลา 2 วันในการฝึกแรงโน้มถ่วงสองเท่า แต่รวมเป็น 24 ชั่วโมงในความเป็นจริง
เฉินรุยยังไม่เคยคิดเลยว่าอารามเทพช้างเผือกจะสามารถกลายเป็นแบบนี้มาได้ พูดตามตรง หากว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในโลกทางจิตวิญญาณของเขา มันก็คงสามารถสะท้อนไปยังสมองและร่างกายของเขาได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเขาดันรู้ตัวว่าตายในโลกวิญญาณ สมองและเส้นประสาททุกส่วนจะหยุดทำงาน ซึ่งทำให้เกิดการตายแบบจริงๆ ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างไรก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของส่วนจัดเก็บของตัวระบบมันเอง ซึ่งเจ้าระบบสุดยอดดูเหมือนจะมีที่แยกต่างหาก
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้แล้ว กฎสองกฏและแรงโน้มถ่วงสองเท่าคือ 2000 ออร่าต่อวัน ตอนนี้เขาใช้ไป 4000 จุดแล้ว เฉินรุยมองที่ออร่าที่มันเหลือเพียง 30,000 ก็รู้สึกปวดใจมาก ดูเหมือนว่าการใช้จ่ายสิ่งที่ได้รับมาอย่างง่ายดายจะเป็นกันทุกโลก
หลังจากกฎถูกเปิดใช้งานแล้ว ทางเข้าของสนามฝึกก็ได้หายไปโดยอัตโนมัติและการฝึกอบรมที่ลำบากแสนเข็ญก็กำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้