บทที่ 48: สัญญาศึก! การท้าทายที่เหนือความคาดหมาย
บทที่ 48: สัญญาศึก! การท้าทายที่เหนือความคาดหมาย
ถ้าเฉินรุยเข้าสู่แถบสถานะของระบบสุดยอดในตอนนี้ เขาจะเห็นว่าร่างกายมนุษย์โปร่งแสงกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่ตอนนี้เขากำลังมุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่แลนซ์
แลนซ์ที่ 'บ้าคลั่ง' อยู่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่ในใจของเขากลับหวาดกลัว การโจมตีของเขาถูกหลบหรือถูกขัดจังหวะโดยหมายเลข 64 ตลอด ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถโจมตีเขาได้อย่างแม่นยำ แลนซ์รู้สึกหมดหนทางในทันที แม้ว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังจากที่ใช้ 'บ้าคลั่ง' แต่ผลก็ไม่เป็นไปดั่งหวัง เขายังตกอยู่ในการควบคุมของศัตรูของเขา หมายเลข 64 ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสเลย จังหวะการต่อสู้หรืออะไรก็ตาม เขาไม่สามารถเทียบได้เลย ดูเหมือนว่าเขาคงได้แต่รอช่องว่างเท่านั้น เมื่อเฉินรุยเปิดช่องว่าง เขาก็จะโจมตีอย่างรุนแรงไปในทันที
สิ่งที่ทำให้แลนซ์กลัวที่สุดก็คือ 'บ้าคลั่ง' ของเขาอยู่ไม่นานนัก ตอนนี้มันแทบจะหมดแล้ว และศัตรูของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่
“ตู๊ม” เฉินรุยป้องกันการโจมตีครั้งถัดไปได้ เขารู้สึกว่ากำลังของคู่ต่อสู้ของเขาลดลงอย่างรวดเร็วและเขาก็สังเกตเห็นว่ามวลกล้ามเนื้อที่พองตัวของแลนซ์ได้ลดลงไปอย่างมาก ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้เลย เขารวบรวมพลังทั้งหมดและก็ชกออกไปอย่างรุนแรง
ผู้ชมรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าแลนซ์ใช้ความสามารถพิเศษอย่าง 'บ้าคลั่ง' แต่มันกลับไม่สามารถที่จะทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้เลย เมื่อแลนซ์กำลังเสียเปรียบอย่างมาก เขาก็ถูกถาโถมจนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก หลังจากหมัดของเฉินรุยหมัดสุดท้าย เสียงเชียร์ของเหล่าผู้ที่เดิมพันกับหมายเลข 52 ก็ได้ดังกึกก้องขึ้นมา
หลังจากเฉินรุยเอาชนะแลนซ์ได้ เขาก็ได้แต่หอบหายใจอย่างหนัก แม้ว่าความสามารถของ 'ร่างดวงดาว' จะสามารถเร่งการฟื้นตัวของพลังงานได้ แต่การใช้พลังงานของเขาก็มากจนฟื้นฟูได้ช้า โชคดีที่บาดแผลพวกนั้นได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม บาดแผลที่ร้ายแรงที่สุดที่ซี่โครงยังคงต้องใช้เวลาในการรักษาอยู่
แลนซ์ได้ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง มันรู้สึกว่าร่างกายของตนเองรู้สึกเจ็บปวดและไร้พลังมาก มันพยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ มันยอมเสี่ยงทุกอย่างแม้กระทั่งกำารใช้ 'บ้าคลั่ง' เพราะว่ามันถูกศัตรูของมันกดดันทุกจนมันไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งหมายเลข 64 ก็เหนือความคาดหมายของทุกคนมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้ 'บ้าคลั่ง' ท้ายที่สุดมันก็คงต้องพ่ายแพ้อยู่ดี
เดิมทีแลนซ์ต้องการจะระเบิดหมายเลข 64 ด้วยพลังของ 'บ้าคลั่ง' มันไม่คิดเลยว่าศัตรูของมันจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยสักนิดเดียว มันไม่สามารถต่อต้านศัตรูของมันได้เลย
เมื่อเห็นหมายเลข 64 ที่เริ่มก้าวเข้ามาเรื่อยๆ เซนทอร์ที่ได้ถูกขนานนามว่า 'มือเปื้อนเลือด' ก็รู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันตัวสั่นและได้ตะโกนออกมาว่า “อย่าฆ่าข้าเลย! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
ในความเป็นจริง กฎของอารีน่าตัดสินภายใน 2 ชั่วโมง เว้นเสียว่าอรัคจะยอมรับความพ่ายแพ้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การแข่งขันจึงจะยุติลง แลนซ์เองก็รู้ว่าหมายเลข 64 เพิ่งลงแข่งครั้งแรก มันจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้อะไรหรอก
แน่นอนว่าหมายเลข 64 ก็ได้หยุดลงโดยไม่ทำอะไร เมื่อเห็นอย่างนั้น แลนซ์ก็ได้ขอความเมตตา ส่วนเหล่าผู้ชมต่างตะโกนว่า“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
“นายท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” แลนซ์ไม่อายเลยสักนิดเดียว มันยืนขึ้นช้าๆและหมอบลงต่อหน้าศัตรูของมัน หมายเลข 64 ลังเลอยู่ชั่วครู่และหันหลังไปอย่างช้าๆ ในขณะที่แลนซ์กำลังขอความเมตตา ภายในดวงตาของมันก็เผยสายตาที่ต้องการจะเข่นฆ่า ทันใดนั้น มันก็กระโดดขึ้นและตวัดกงเล็บโดยเล็งไปที่สมองของเฉินรุย ก่อนที่มันจะได้ทำเสร็จดั่งหวัง คอของมันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ตัวมันนั้นราวกับถูกท่าฟันสับของคาราเต้ไป
แลนซ์ได้แต่จ้องมองอย่างตะลึงและลำคอของมันก็ได้เกิดเสียง “ฉึก” จากนั้นร่างของมันก็ล้มลงกับพื้นและไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยออกมาอีก
เฉินรุยแม้จะไม่ทราบกฏของสนามประลองแน่ชัด แต่เขาจำคำพูดของมังกรพิษที่ย้ำแล้วย้ำอีกได้ “ในการต่อสู้จริง ศัตรูจักไม่แสดงความเมตตาให้เจ้า วิธีเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้คือการฆ่าคู่ต่อสู้ของเจ้าซะ”
การโจมตีของแลนซ์นั้นเหมือนกับการฆ่าตัวตาย และมันก็ได้กลายเป็นศัตรูคนแรกที่ตายด้วยมือของเฉินรุย
ผู้ชมต่างมองชายสวมหน้ากากที่กำลังดึงเสื้อคลุมบนพื้นขึ้นมาแล้วว่างไว้บนศพ เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อสื่อว่าตนชนะแล้ว บรรยากาศในสนามประลองก็ได้กลับมาอีกครั้ง ผู้คนจํานวนมากต่างตะโกนว่า "หมายเลข 64! หมายเลข 64"
ทุกคนคิดว่าหมายเลข 64 จงใจให้แลนซ์ลอบโจมตี จากนั้นเขาก็จะได้จบชีวิตแลนซ์ลงด้วยการโจมตีครั้งสุดท้าย
ภายใต้เสียงเชียร์อันแสนกระหึ่ม เฉินรุยนั้นไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด ตรงกันข้ามกันเลย ตัวเขาได้แต่ยืนนิ่งเงียบ อดทนต่อความขยะแขยงและความรู้สึกไม่สบายใจกับการมือเปื้อนเลือดครั้งแรก เขาได้แต่เตือนตัวเองในจิตใจ หากตัวเขาขี้ขลาดหรือประมาทในอนาคต ร่างที่จะกองอยู่บนพื้นคงเป็นเขาเอง!
ในขณะที่เขายกมือทั้งสองขึ้น เฉินรุยก็ราวกับได้กลายเป็นตัวตนของเอกิลจริงๆ ตัวเขาในตอนนี้ซึมซับทุกสิ่งในโลกมารไปแล้ว ความแข็งแกร่งและพลังคือทุกสิ่ง เพื่อความอยู่รอดและเพื่อทำให้ชะตากรรมเป็นของเขาเอง ใจที่แสนกล้าหาญของเขาจักต้องไม่ถูกเผาไหม้ จนกว่าชีวิตของจะมลายไป
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เพียงพอสำหรับเฉินรุยที่จะบุกทะลวงขึ้นไปสู่สถานะ “อัลไคด์” ได้ในทันที แต่มันเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสู่สถานะ“มิซาร์” ในอนาคต
ชัยชนะของเฉินรุย พอหักรวมกับค่าธรรมเนียมแล้ว เขาได้รับเหรียญคริสตัลดำคืนกลับมาถึง 100 เหรียญ เขาไม่สนใจการขยิบตาให้ของซัคคิวบัสเลยสักนิด เขาเก็บเงินในกระเป๋าแล้วก็จากไป
เหรียญคริสตัลดํา 1 เหรียญได้กลายเป็นเหรียญคริสตัลมากกว่า 120 เหรียญ มันเป็นการสร้างรายได้ที่ดีอย่างมาก หลังจากการท้าทายปรมาจารย์รอบก่อน เชียก็ได้ให้รางวัลเป็นเหรียญคริสตัลดํา 5 เหรียญเท่านั้น ในขณะที่เหรียญคริสตัลสีม่วงที่ได้จากปรมาจารย์เคมก็มากจนเรียกว่าแสนจะ "ใจกว้าง" เหลือเกิน
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอารูปปั้นที่ทําจากหินเรืองแสงมา ทุกอย่างก็เรียบร้อย
เฉินรุยมาที่บ้านที่เขาลงทะเบียนและเห็นว่าอรัคนั่งอยู่บนโซฟา โดยถือแก้วไวน์อย่างผ่อนคลาย ในขณะที่ลิชคีธานก็ยืนอยู่ข้างๆ
"ท่านอรัค ข้าได้ฆ่าแลนซ์ตามที่สัญญาไว้แล้ว โปรดยึดมั่นในสัตย์ของท่านด้วย"
อรัคมองไปที่รูปปั้นและกล่าวอย่างเย็นชา "ข้าไม่ชอบใจนักกับการตกลงกับคนลึกลับเยี่ยงเจ้า ถอดหน้ากากออกมาซะ!"
"ท่านคิดจะกลับคำพูดงั้นเหรอ?"
"แล้วถ้าข้าจะกลับคำพูดมันจะทำไม? อีกอย่าง ข้าไม่ได้เอ่ยถึงรูปปั้น แต่เป็นหน้ากาก! หรือเจ้าอยากให้ข้าเป็นคนเปิดมันออกมาเอง" น้ำเสียงของอรัคดูหนักแน่นมาก
เฉินรุยก็ได้แต่พยายามระวังทุกสิ่งอย่าง เขาคิดอย่างรวดเร็วในใจและก็ได้ตัดสินใจไปว่า "ท่านอรัค ข้าไม่ต้องการรูปปั้นนั้นแล้ว แต่ว่าเรื่องหน้ากาก...ขออภัยด้วย ตอนนี้ข้าไม่สามารถถอดมันออกได้ "
แต่อรัคไม่สนใจเลย ดวงตาของมันค่อยๆมองมาทางเขาตรงๆ "คำมั่นก็คือคำมั่น มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอยู่แล้ว แต่ข้าขอสั่งให้เจ้าถอดหน้ากากเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้น ข้าจะถอดหน้ากากจากศพของเจ้าเสีย"
อรัคนั้นไม่ได้สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเฉินรุยหรอก เขาแค่อยากให้คนลึกลับผู้นี้ถอดหน้ากากเท่านั้น แม้ว่าสนามประลองจะมีกฏของมันเอง แต่ที่นี่คือดินแดนเหล่ามาร ผู้แข็งแกร่งคือทุกอย่าง เหตุผลหรืออะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์
หัวใจของเฉินรุยแทบตกลงไปยังตาตุ่ม แลนซ์ไม่สามารถเทียบกับอรัคได้เลย เขามีทั้งความแข็งแกร่งและทรงพลัง การหลบหนีก็ดูจะเป็นปัญหา ถ้าเขาพยายามก็คงไม่รอดอยู่ดี แล้วเขาควรทำยังไงดี? ทุกๆอย่างจะถูกเปิดเผยแบบนี้เหรอ? ด้วยความไม่พอใจระหว่างโจเซฟกับตัวเขา บางทีหากถอดหน้ากากไปผลสุดท้ายเขาคงต้องตกตายอยู่ดี
เมื่อลิชคีธานกำลังมองอรัคพูดข่มขู่อยู่ มันก็สังเกตเห็นว่าหมายเลข 64 กำลังหัวเราะโดยไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลย จากนั้นมันก็ได้ตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วว่า “คนโง่เขลา เจ้ากล้าดูถูกท่านอรัคเช่นนั้นรึ!”
เฉินรุยเองก็เพิ่งจำหนึ่งสิ่งเกี่ยวกับข้อมูลของอรัคขึ้นมาได้ เขาตัดสินใจที่จะลองเดิมพันดูและก็ได้หยุดหัวเราะลง “อรัค หากเจ้าพูดเช่นนั้น ก็แสดงว่าเจ้าเป็นศัตรูของข้า! ตอนนี้ข้าก็ขอท้าทายเจ้าอย่างเป็นทางการ!”
อรัคยกคิ้วขึ้นในทันที คีธานที่ยืนอยู่ข้างๆก็คิดว่าเขาได้ยินผิดไปเหมือนกัน มารระดับกลางแสนลึกลับผู้นี้คิดจะท้าทายมารระดับสูงอย่างงั้นเหรอ?
จากนั้นเขาก็ได้ยินหมายเลข 64 กล่าวอย่างเยือกเย็นไปว่า“ข้าได้สูญเสียศักดิ์ศรีของตระกูลและนามของตระกูลไปแล้ว ครั้งหนึ่ง ข้าเคยปฏิญาณต่อพระเจ้ามารว่าข้าจะไม่ถอดหน้ากากนี้ออก จนกว่าจะนำความรุ่งเรืองของข้าหวนคืนกลับมา ทุกคนที่ดูหมิ่นคำสาบานนี้จักเป็นศัตรูของข้า!”
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมารคือการสืบทอดชื่อเสียงของตระกูล มารที่ถูกถอดนามของตระกูลไปนับว่าโหดร้ายยิ่งกว่าโทษตาย เหตุผลของเฉินรุยค่อนข้างที่จะสมจริงราวกับเป็นมารโดยแท้ โดยทั่วไปแล้ว หากเป็นคนอื่นคงจะไม่สนใจมัน
“สูญเสียนามและเกียรติ…” จู่ๆประกายตาของอรัคก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่าง จากนั้นมันก็ได้มองไปที่เฉินรุยอย่างเหยียดหยาม “เจ้าต้องการท้าทายข้างั้นเหรอ? น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าน้อยนิดเสียจนน่าสงสาร แค่ข้าใช้นิ้วเดียว เจ้าก็ถูกกำจัดไปแล้ว เจ้าไม่คู่ควร!”
สมองของเฉินรุยก็ได้ประมวลผลเรื่องต่างๆอย่างรวดเร็ว เมื่อเขานึกถึงมังกพิษที่ถูกผนึก เขาก็ได้คิดคำหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัว “ข้านั้นถูกผนึกพลังไว้ พลังและความสามารถของข้าจะถูกปลุกขึ้นมาระหว่างการต่อสู้ที่ต้องแลกชีวิต นั่นคือเหตุผลหลักที่ข้ามายังสนามประลองแห่งนี้! แม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่สามารถสู้กับเจ้าได้ แต่ข้าจักทำให้รอยยิ้มดูหมิ่นของเจ้าเลือนหายไปจากใบหน้าภายในสองเดือนได้อย่างแน่นอน! หากเจ้าไม่กล้ายอมรับคำท้าทายของข้า เจ้าจะฆ่าข้าและเอาหน้ากากออกจากศพของข้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันน่าสมเพชของเจ้าเลยก็ได้!”
คำพูดที่ยั่วยุนี้ยิ่งทำให้อรัคเลิกคิ้วขึ้นไปอีก จากนั้นมันก็ได้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับปล่อยรังสีสังหารข่มขู่ คีธานตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่ข้างๆ เฉินรุยสังเกตว่าแผนของเขาใช้ได้และเขาก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น เขาเคยประสบกับการทดลองของเชียเรื่อง “จิตสังหาร” หลายครั้งและมันน่ากลัวกว่านี้หลายรอยเท่า นอกจากนี้ เขายังได้รับการฝึกฝนพิเศษของมังกรพิษ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับรังสีสังหารของอรัค ดวงตาของเขามองมาที่อรัคอย่างไม่เกรงกลัว
"ยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ดวงตาของเจ้ายอดเยี่ยมอย่างมาก! ข้ายอมรับการท้าทายของเจ้า!“ทันใดนั้นอรัคก็ได้ยิ้มและแยกเขี้ยวสีขาวของเขาออกมา เสียงหัวเราะของเขายังคงดังกึกก้อง ราวกับทองคำและเหล็กกระทบกัน จากนั้นมันก็ได้พยักหน้า”ช่างน่าสนใจ ข้าจะมอบเวลาให้เจ้าสองเดือน!”
ในขณะที่พูด รูม่านตาของอรัคก็ราวกับมีแสงเจิดจ้าและมีไฟลุกโชนขึ้น ม้วนกระดาษที่มีเปลวไฟปกคลุมปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินรุยและมีคำสีทองปรากฏอยู่บนนั้นช้าๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือบางทีเจ้าคงจะเป็นมารระดับสูงที่มีสายเลือดกลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจ้าจะใช้ร่างต่อสู้มาแสดงให้ข้าเห็น มันก็ไม่คุ้มค่าสำหรับข้าที่จะชายตามอง ถึงข้าไม่ได้มีสองร่างเหมือนมารตนอื่น แต่ข้ามีความสามารถพิเศษ มันคือสัญญาศึก จงเซ็นสัญญาเสียตอนนี้ หากเจ้าไม่ยอมรับการท้าทายภายในสองเดือน ข้าจะไปหาเจ้าได้ทุกที่!”
เฉินรุยเป็นคนฉลาดหลักแหลม เมื่อต้องเผชิญกับเหตุฉุกเฉินแบบนี้ เขาก็คิดแผนที่จะถ่วงเวลาขึ้นมาได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าอรัคจะมีความสามารถพิเศษแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวเขาก็ถอยไม่ได้แล้ว