บทที่ 47: จงลุกขึ้น! โอตาคุผู้มีหัวใจอันแสนกล้าหาญ
บทที่ 47: จงลุกขึ้น! โอตาคุผู้มีหัวใจอันแสนกล้าหาญ
ซัคคิวบัสรับเหรียญคริสตัลสีดำมาและยิ้มอย่างมืออาชีพ “เนื่องจากหมายเลข 64 เป็นผู้มาใหม่ ข้าก็จะขอประกาศกฏเสียก่อน หากไม่มีเงื่อนไขพิเศษ การต่อสู้จะต้องจบภายในสองชั่วโมง หากไม่มีการตัดสินชัยชนะ เมื่อถึงเวลาอรัคจะตัดสินผลการแข่งขัน ตามกฎแล้ว แลนซ์ผู้ได้ชนะติดต่อกันสามารถตัดสินใจว่าจะต่อสู้มือเปล่าหรือต่อสู้ด้วยอาวุธ”
หลังจากที่เฉินรุยทำการพนันแล้ว ใบหน้าของแลนซ์ก็ดูขุ่นเคืองมากขึ้น เขาเย้ยหยันและพูดไปว่า “ข้าชอบความรู้สึกที่จะทำลายกระดูกของคู่ต่อสู้ด้วยมือ!”
“โอเคค่ะ งั้นรอบนี้เป็นการต่อสู้แบบมือเปล่านะคะ! ไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธ ยกเว้นร่างกายของตัวเองค่ะ!” ซัคคิวบัสเดินถอยหลังไปสองสามก้าวและก็ได้ตะโกนมาว่า “ขอประกาศว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะคะ!”
ในขณะที่ซัคคิวบัสกล่าวคำว่า "เริ่มต้น" แลนซ์ก็ได้พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างดุเดือด เฉินรุยคุ้นเคยกับการจู่โจมจากมังกรพิษในระหว่างการฝึกพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมอย่างดี เขาขยับร่างกายเล็กน้อยและหลบได้อย่างง่ายดาย การโจมตีของแลนซ์นั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม มันมุ่งเป้าไปที่จุดตายเสียบ่อยครั้ง เฉินรุยตอบโต้โดยการต่อยไป และเขาก็รู้ว่าศัตรูแข็งแกร่งกว่าเขามาก ในแง่ความแข็งแกร่งเขายังคงอ่อนแออยู่
แน่นอนว่าแลนซ์คงไม่ได้โชคดีที่ชนะมา 3 เกมติดต่อกันหรอก แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูหยิ่งผยอง แต่ประสบการณ์ของเขาก็ได้แสดงให้เห็นในระหว่างการต่อสู้ หลังจากเริ่มการต่อสู้ด้วยการโจมตีอย่างหนักหน่วง แลนซ์ก็ได้หยุดการต่อสู้และเริ่มควบคุมจังหวะการต่อสู้ เฉินรุยยังคงเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด เขาแทบไม่มีโอกาสได้โต้กลับเลย
เฉินรุยรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อสวมหน้ากาก เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยและเขายังปรับตัวไม่ได้ด้วย แม้ว่าเขาจะระมัดระวังมาก แต่ช่องว่างของเขาก็เผยออกมาอยู่ดี ในขณะที่แลนซ์แกล้งทำเป็นเตะพลาด เขาก็ไดใช้กงเล็บตวัดไปที่หน้าทองของเฉินรุย ทันใดนั้นเลือดก็ได้ไหลออกมาและย้อมเสื้อผ้าให้กลายเป็นสีแดง เฉินรุยเห็นกรงเล็บแหลมของแลนซ์และเข้าใจได้เลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้จึงถูกเรียกว่า "มือเปื้อนเลือด" และทำไมเขาถึงไม่ใช้อาวุธ นั่นเป็นเพราะมือของเขาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด!
หลังจากแลนซ์ประสบความสำเร็จในการโจมตีครั้งแรก การโจมตีของเขาก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รอยเลือดบนร่างของเฉินรุยก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน “ตู๊ม!” หมัดได้โดนหลังของเขาและความเจ็บปวดมันก็ฝังรากลึกเข้าไปข้างใน แลนซ์จะไม่เหมือนปากรีโลที่รอให้เฉินรุยพักและก็สู้กันต่อ เขาใช้ประโยชน์จากความไม่มั่นคงของเฉินรุยและเริ่มโจมตีหนักขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงของแลนซ์ เฉินรุยก็ราวกับถูกบดแน่นและก็รู้สึกว่าการป้องกันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ในที่สุด ในใจของเขาก็เริ่มเกิดความลังเลขึ้นมา: ตัวเราทะเยอทะยานเกินไปหรือเปล่านะ? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวในการต่อสู้ครั้งแรก เขาก็ไม่สามารถต่อสู้ได้และยังไม่สามารถใช้ 'ยิงแสงสว่าง' ได้อีก!
นี่ไม่ใช่การฝึกอบรมที่สามารถลองอีกครั้งหลังจากล้มเหลวได้นะ! นี่ไม่ใช่เกมที่สามารถเติมเลือดได้นะ! นี่คือการต่อสู้ความเป็นความตาย พลาดก็คือจบ!
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเป็นแค่โอตาคุ แต่ไม่ใช่พวกฝึกฝนกำลังภายในหรือผู้มีพลังวิเศษหรอก เวลาที่ใช้ในการฝึกฝนพิเศษกับปากรีโลอาจสั้นเกินไปและเขาไม่ควรทะเยอทะยานจนคิดจะมาต่อสู้ถึงตายแบบนี้สิ
ความลังเลทางจิตใจของเขาได้เผยออกมาให้เห็นผ่านการเคลื่อนไหว แลนซ์สังเกตเห็นถึงความขลาดเขลาของคู่ต่อสู้ได้ทันที ดังนั้นมันจึงคว้าโอกาสนี้ไว้ มันใช้เล็บฟันไปที่ต้นขาของเฉินรุยและเพิ่มบาดแผลขึ้นมาอีก เมื่อเฉินรุยลดการป้องกันลง มันก็เตะเฉินรุยไปที่หน้าอกอย่างรุนแรง เฉินรุยปลิวไปอย่างแรงในระยะสิบเมตร จุดที่มันเพิ่งตีมาโดนเขาช่างเจ็บปวดจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาคงจะกระดูกหักสองซี่และเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้
แลนซ์ก้าวเข้ามาในขณะที่ใช้คำพูดของเขาเพื่อทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ต่อไป ซึ่งมันก็เป็นเทคนิคปกติของเขา
“ข้าบอกว่าข้าต้องการทำลายแขนขาของเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ก่อนที่เจ้าจะตาย ข้าต้องการบดขยี้ทุกกระดูกของเจ้าซะ!”
ใจของเฉินรุยเริ่มสั่นและหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น ทันใดนั้น เขาก็หวนนึกถึงสิ่งที่ปากรีโลคอยบ่นเสมอมา
"ยิ่งเจ้ากลัวเท่าใด เจ้าก็ยิ่งตายไวมากเท่านั้น!”
“เอาความกล้าออกมา ไม่งั้นเจ้าก็จะไม่มีวันที่จะแข็งแกร่งจริงๆหรอก!”
ในช่วงความเป็นความตาย เฉินรุยก็ได้ตระหนักในทันที
ทำไมเขาถึงต้องฝึกพิเศษงั้นเหรอ?
ทำไมเขาถึงต้องมาต่อสู้จริงๆ?
ทำไมไม่ซ่อนตัวในห้องทดลองแทนล่ะ?
ทำไมไม่หลบภัยภายใต้การคุ้มครองของเชียหรืออัลดาซ?
ทำไมเขาถึงไม่ถอยตอนที่ยังไม่มีพลัง แต่ตอนนี้ทำไมเข้าถึงไม่กล้าก้าวออกไปกันนะ?
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่สนามกีฬาในวันนี้ เขาก็คงจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้อยู่ดี หากเขาหลีกเลี่ยง เขาคงจะได้เพียงแต่พึ่งพาความฉลาดและเป็นได้เพียงนักฉกฉกวย
“ข้าจะทำยังไงดีหากข้าทำอะไรไม่ได้?” เฉินรุยพูดกับตัวเองอย่างดัง ในทันใดนั้นเอง“ก็หากทนไม่ไหวก็ต้องฝืนตัวเองต่อไปไงล่ะโว้ย!”
แลนซ์ยืนนิ่งเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ศัตรูกำลังพูด เพราะตอนนี้เฉินรุยกำลังพูดภาษาจีนอยู่
นั่นเป็นเวทมนตร์บางอย่างงั้นรึ? มันผู้นี้รู้จักเวทมนตร์ด้วยเหรอ?
แลนซ์ผู้นี้มีประสบการณ์มาก เขารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังคงแข็งแกร่งอยู่ บ่อยครั้งที่การต่อสู้มักจะตัดสินได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นมันจึงได้ชะลอการจบการต่อสู้อย่างระมัดระวัง
“จำคำพูดที่วางไว้บนหัวเตียงไม่ได้หรือไง?” เฉินรุยยกกำปั้นของเขาขึ้นมาและก็พูดต่อไปอีกว่า “ที่ทำไปทั้งหมดก็เพียงเพราะตนเชื่ออย่างนั้น!”
“มีเพียงผู้ไม่กลัวเท่านั้นที่จะยังก้าวเดินไปในทางข้างหน้า!”
เขากัดฟันของเขา ทนความเจ็บปวดจากกระดูกที่หักและพยายามพยุงร่างกายของตนด้วยมือทั้งสอง
“เฉินรุย บอกตัวเองมาทีสิว่าคำพูดที่เขียนไว้บนนั้นมันคืออะไร?” เฉินรุยพูดราวกับว่าเขากำลังบอกตัวเองและมันก็เหมือนกับการประกาศไปยังเวทีทั้งหมดและอาณาจักรมารทั้งหมด “จงกุมชะตากรรมของตัวเองไว้ และจงทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตนเองต้องการ!”
หลังจากที่เขาตะโกนออกมา เฉินรุยที่ล้มลงกับพื้นก็ได้กระโดดขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเขาได้ยืนขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากความพ่ายแพ้มากมายที่เขาเคยผ่านมาในชีวิตก่อน
ไม่ว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ความเป็นความตายครั้งนี้ผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ตัวเขาตอนนี้ก็ได้ก้าวข้ามผ่านก้าวสำคัญและเอาชนะตนเองได้แล้ว
แม้ว่าแลนซ์จะตกใจกับเวทมนตร์แปลกๆของสัตรู แต่ก็ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้จะไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิม จิตใจของเขาสงบลงและเขาก็ได้เร่งฝีเท้าขึ้น ดวงตาของเขาก็ได้ผสานเข้ากับดวงตาของชายสวมหน้ากาก ทันใดนั้น แลนซ์พบว่าไม่มีความกลัวในดวงตาของเฉินรุยอีกต่อไปและร่างกายของเขาก็กำลังเปล่งแสงที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ออกมา
แลนซ์ไม่กล้าที่จะประมาทเลยสักนิดเดียว เขาพยายามต่อยเพื่อทดสอบและเฉินรุยก็หลบไปด้านข้าง จากนั้นแลนซ์ก็ยกกำปั้นและขูดหน้าอกของเฉินรุย จนเลือดกระเด็นไปทั่ว เฉินรุยไม่กลัวเลยสักนิดเดียว เขาหันกลับมาแล้วกวาดขาของเขา กระแทกกับหัวเข่าของแลนซ์และทำให้เขาล้มลงกับพื้น
เมื่อแลนซ์กระโดดขึ้น เฉินรุยก็ไม่เลือกที่จะปกป้องตัวเองอีกต่อไป เขาเลือกที่จะพุ่งเข้าใส่แทน เขาบิดร่างของเขาเพื่อหลบกรงเล็บและปรากฏตัวที่ด้านข้างของแลนซ์ จากนั้นเขาก็ได้จับเอวของแลนซ์และใช้พลังทั้งหมดทะลวงเข้าใส่!
แลนซ์สามารถรู้สึกได้เลยว่าจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายของเขาเปลี่ยนไปจากหัวลงมาด้านล่างทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ดีแล้ว ก่อนที่เขาจะสามารถปกป้องศีรษะของเขาได้ เขาก็ถูกท่ามวยปล้ำซูเพล็กที่เฉินรุยเรียนรู้มาจากอาเธน่า ที่พื้นเกิดเป็นรอยแตกขนาดใหญ่
ในตอนนี้พลังวิญญาณของเฉินรุยแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ความกลัวและความกังวลทั้งหมดหายไปหมด เขาไม่พึ่งโชคอีกต่อไปแล้ว เขาไม่กลัวอีกต่อไป เขาจะไม่ลังเลอีกต่อไป เขาอุทิศตนเพื่อการต่อสู้เท่านั้น!
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่เขาก็มีหัวใจที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
แลนซ์รู้สึกเจ็บปวดที่หัวและคอของเขามาก โชคดีที่ร่างกายของเซนทอร์แข็งแกร่ง เขาเซนิดหน่อยและก็ได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เฉินรุยตามเขาดั่งเงาและก็โจมตีในทันที มือขาและหัวของเขาเป็นดั่งอาวุธมรณะ มันเป็นสไตล์การโจมตีที่รวดเร็วที่เขาเรียนรู้มาจากปากรีโล
ผู้ชมที่มั่นใจว่าแลนซ์จะเอาชนะได้ ในตอนนี้ก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดการพลิกกลับแบบนี้และพวกมันก็ได้แต่เชียร์แลนซ์อย่างสุดเสียง ส่วนเหล่าคนที่เคยลงพนันข้างหมายเลข 52 ต่างก็เริ่มตะโกนชื่อของหมายเลข 64
แลนซ์ถูกโจมตีเพียงสองสามครั้ง แต่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเขามากนัก เพราะเขาก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาตะโกนออกมาและชกเข้าใส่บาดแผลเดิมของเฉินรุย เขาพยายามสร้างระยะห่างให้ไกลที่สุด เพื่อที่จะไม่โดนการโจมตีอันแสนหนักหน่วง
การที่แลนซ์สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ก็เพราะความแข็งแกร่งขั้นต่อของมารระดับกลางและความสามารถเสริมแกร่งของเขาที่มีเพียงชั่วคราว ประการที่สองคือ การใช้วิธีการที่โหดร้ายในการข่มขู่คู่ต่อสู้ ทว่าตอนนี้ หมายเลข 64 กลับไม่ได้รับผลกระทบจากมันเลย ในตอนนี้กลับเป็นความน่าหวาดกลัวของหมายเลข 64 ที่ครอบงำเขาแทน แม้ว่าบาดแผลของเฉินรุยจะเจ็บปวดพอสมควร แต่เขากลับสงบนิ่งมาก พลังดวงดาวที่เหลืออยู่ของเขานั้นค่อยๆไหลเวียนและปรับเข้ากับร่างกายของเขาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสลัว เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่อที่ดิ้นรนอยู่
รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ได้ทำให้ "มือเปื้อนเลือด" หนาวไปถึงกระดูกสันหลัง
“คนๆนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!” อรัคที่ที่นั่งบนที่นั่งวีไอพีกล่าวออกมาในทันที
ดวงตาของมารระดับสูงร้ายกาจขนาดไหนย่อมรู้กันดี อรัคสังเกตเห็นว่าความคิดของแลนซ์ได้ถูกครอบงำโดยความยิ่งใหญ่ของคู่ต่อสู้ของเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของแลนซ์จะสูงมากกว่านี้ เขาก็ยังคงจะชนะอย่างยากลำบากอยู่ดี
คนสนิทอย่างคีธานก็เป็นคนช่างสังเกตเหมือนกัน เขาก็ได้ถามไปว่า “ท่านพูดถึงหมายเลข 64 ใช่ไหมขอรับ?”
มารระดับสูงผู้นี้มองดูเฉินรุยและพูดอย่างแผ่วเบาไปว่า“ก่อนหน้านี้ข้าตัดสินผิด หมายเลข 64 มีโอกาสที่จะได้รูปปั้นนั้นได้”
คีธานก็ถามไปอย่างสงสัยว่า “แต่พวกเขาทั้งคู่หาใช่คู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมไม่ใช่หรือขอรับ นอกจากนี้แลนซ์ยังไม่ใช้ความสามารถพิเศษ 'บ้าคลั่ง' ผลของการต่อสู้ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงมิใช่หรือขอรับ?”
อรัคหัวเราะออกมาและก็ไม่ได้ตอบอะไร คีธานมีไหวพริบและก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
แลนซ์เองก็เริ่มกลัวมากขึ้น หมายเลข 64 นี้ควรเป็นมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์สิ เขาควรชนะง่ายๆไม่ใช่หรือไง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทักษะการต่อสู้ของเขาเริ่มมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นและความบกพร่องในการต่อสู้เริ่มที่จะหายไป ดูเหมือนว่าการเปิดช่องว่างจะเป็นกับดักจริงๆ ความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัวของเขานั้นน่ากลัวมาก!
สิ่งที่น่ากลัวก็คือ คู่แข่งที่ตอนแรกบาดเจ็บสาหัสกลับมีความแข็งแกร่งด้านจิตใจค่อนข้างมากและยังสามารถหวนคืนกลับสู่สังเวียนได้ ความแข็งแกร่งทางกายภาพและความสามารถในการรุกและการป้องกันของเขานั้นไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับเป็นตัวแลนซ์เองที่เริ่มมีอาการมากขึ้น จากทั้งอาการบาดเจ็บและสภาพจิตใจ
“อู๊กกกกก!” แลนซ์รู้ว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้ตะโกนอะไรสักอย่างออกมา กล้ามเนื้อของเขาได้บวมเป็นสองเท่าของขนาดเดิมและความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
“นั่นมัน 'บ้าคลั่ง'! แลนซ์ใช้ 'บ้าคลั่ง' !”
“มันเป็นพรสวรรค์กลายพันธุ์ของเซนทอร์!”
“รีบฆ่าชายสวมหน้ากากเร็วสิ!”
ผู้ชมที่สนับสนุนแลนซ์ต่างก็เห็นความหวังและรีบให้กำลังใจ
เฉินรุยรู้สึกถึงแรงกดดันในทันที แต่เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทักษะของแลนซ์คงจะอยู่ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงรีบใช้ไปแล้ว เฉินรุยเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการโจมตีแบบกองโจรทันที เขาควบคุมจังหวะของเขาและค่อยๆรีดพลังการต่อสู้ของศัตรูให้หมดไป
“จุดศูนย์ถ่วงของเจ้าจะต้องมั่นคง!”
“อย่าใช้ดวงตาตัดสิน! จงใช้ความรู้สึก!”
“…”
จิตใจของเฉินรุยที่ได้ทำการซักซ้อมกับมังกรพิษผู้นั้น ก็เริ่มมีประโยคหลายอย่างที่มิตรสหายของเขาเคยกล่าวขึ้นมาประดั่งเข้ามาในจิตใจของเขา ภายใต้สภาวะที่มีความกดดันสูง ดูเหมือนว่าการฝึกพิเศษจะคอยช่วยแก้ไขปัญหาของเขาทีละอย่าง การตัดสินใจและการคำนวณของเขาแม่นยำยิ่งขึ้น การควบคุมพลังดวงดาวที่อยู่ในตัวเขาก็เริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเป็นเหมือนมีดทื่อที่กำลังถูกแลนซ์ลับคมเรื่อยๆ จนคมของเขาเฉือนได้ทุกสิ่งอย่าง