บทที่ 43: แก๊งค์ผ้าคลุม! คนแคระทมิฬข่มขู่ท่านอาจารย์อันเลื่องลือ
บทที่ 43: แก๊งค์ผ้าคลุม! คนแคระทมิฬข่มขู่ท่านอาจารย์อันเลื่องลือ
คนแคระทมิฬมองไปที่ “เลขางี่เง่า” ที่กำลังกำคอของมันอยู่ มันไม่รู้เลยว่าทำไมมนุษย์ที่อ่อนแอขนาดนี้จึงมีพลังมหาศาล อย่างไรก็ตามพลังการต่อสู้ของคนแคระทมิฬอ่อนแอที่สุดยิ่งกว่าอิมป์อยู่แล้ว ความเชี่ยวชาญของพวกมันมีเพียงแค่เรื่องงานฝีมือและเทคนิคเล็กน้อยเท่านั้น นอกเหนือจากคนแคระที่มีความสามารถแล้ว พวกมันก็เป็นเพียงข้ารับใช้ที่มีประดับไว้เฉยๆ
ด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริงในปัจจุบันของเฉินรุย เขาสามารถทำลายคอของคนแคระทมิฬได้ทันที ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาเลือกที่จะโยนคนแคระออกไปไกลๆแทน
คนแคระทมิฬตกลงมากับพื้นและร้องอักออกมาดังมาก เขามองมาที่มนุษย์ที่ตนเคยเยาะเย้ยอย่างหวาดกลัว
“คิดจะเล่นกลอุบายต่อหน้าข้าเหรอ? ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของใคร?” เพื่อปกปิดการมีอยู่ของระบบสุดยอดนั้น เฉินรุยก็ใช้สหายของเขาอย่างอัลดาซเป็นแพะรับบาป อย่างน้อยมันก็ช่วยเสริมสร้างพลังอำนาจให้กับอัลดาซขึ้นไปอีก
จากนั้นคนแคระทมิฬก็เริ่มตระหนักได้ เขาถูกครอบงำด้วยความโลภ จนดันไปใช้แป้งกับศิษย์ของปรมาจารย์ยาพิษ! นอกจากนี้ปรมาจารย์ผู้นี้ยังสามารถใช้พิษที่ทำด้วยแก๊สบางอย่างให้มังกรตายได้เลยด้วยซ้ำ!
“ไหนดูสิว่าข้าจะทำยังไงกับเจ้าดี? ข้าควรเอายาพิษในกองขี้เถ้าหรือบ่อน้ำให้เจ้าดีนะ?”
คนแคระทมิฬจู่ๆก็เริ่มนึกถึงข่าวลือที่ศิษย์ของปรมาจารยอย่างไอ้หมอนี้ได้ทำมารตนหนึ่งร้อยไห้ทั้งวันทั้งคืน จากนั้นมันก็เริ่มหนาวไปทั่วร่างกายยันกระดูกและเริ่มสั่นกลัว
สิ่งที่ทำให้เฉินรุยประหลาดใจก็คือ คนแคระทมิฬมักจะรู้จักกันดีว่าเป็นพวกขี้ขลาด แต่คนแคระคนนี้กลับ“เจ้า…อย่าทำมากกว่านี้นะ! ข้าน่ะเป็นสมาชิกแก๊งค์ผ้าคลุม ถ้าเจ้ากล้าวางยาข้า หัวหน้าเราจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
แก๊งค์ผ้าคลุม? มีแก๊งค์ในเมืองพระจันทร์ดับด้วยเหรอ? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงใส่ผ้าคลุมเล็กๆและทำตัวลึกลับ
เฉินรุยพึมพำกับตัวเองซักพักแล้วถามไปว่า“งั้นใครคือผู้นำของเจ้า?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนแคระทมิฬก็ได้ตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า“หัวหน้าของข้าเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา เขาก็สามารถทลายหัวหน้ากลุ่มนักเลงในเมืองพระจันทร์ดับได้ เดงคิ! เมื่อวานนี้ เดงคิยังได้รับบาดเจ็บจากค้อนของท่านผู้นำของข้า”
เดงคิ? ค้อน? เฉินรุยเริ่มคิดว่าเรื่องมันค่อนข้างคุ้นๆดี คนแคระทมิฬใช้ประโยชน์จากความสามารถของผู้นำคนนี้และพูดอย่างภูมิใจไปอีกว่า "หัวหน้าแก๊งค์เสื้อคลุมของเราคือเอกิล!"
เมื่อได้ยินชื่อนั้น เฉินรุยก็ได้แข็งค้างเป็นหินทันที
เฉินรุยจำได้ว่าตอนที่เขาวิวัฒนาการได้ครั้งแรก เขาก็ได้ไปช่วยพ่อลูกคู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก
คิดยังไงถึงใช้ประโยชน์จากเรื่องของเขากันนะ? สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด!
เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้แล้ว การที่เขาใช้ประโยชน์จากชื่อของอัลดาซดูจะไม่สลักสำคัญเลย
คนแคระทมิซที่เห็นใบหน้าตกใจของเฉินรุยก็คิดว่ามนุษย์ผู้นี้กำลังกลัวอยู่ จากนั้นเขาก็ได้บอกข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆมาอีก “ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังอีกนะ ข้าคือกาก้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภรรยาของผู้นำ และซาซ่าก็เป็นภรรยาที่รักของผู้นำด้วย!”
เฉินรุยตกใจมากราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า ซาซ่าผู้แสนสวยได้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา และเขาก็เริ่มสั่นกลัว รูปร่างลักษณะแบบนั้น…มาโผล่ในหัวของข้าทำไมเล่าโว้ย!
เขาต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่เขามาที่อาณาจักรมาร เขามีความปรารถนาเรื่องสาวงามเหมือนคนทั่วไป: เจ้าหญิงภูเขาน้ำแข็งและเคียผู้เป็นไซเรน ต่างก็เป็นตัวตนที่แสนอันตราย อาเธน่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนซาซ่า ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนที่สวยที่สุดในหมู่คนแคระแล้ว หรือบางทีเดงคิอาจจะชอบก็ได้ แต่เฉินรุยไม่ชอบโว้ยย!
ไม่ว่าจะในอดีต! ไม่ว่าจะตอนนี้! อนาคตก็ด้วย!
อย่างไรก็ตามหญิงสาวแคระคนนี้บอกว่าตัวนางเป็นภรรยาของเขางั้นเหรอ? ให้เขาแช่งว่า "ไปตายซะเถอะที่รัก ไปลงนรกซะเถอะทีรัก" เลยไหมเห้ย!
เขาเองก็เคเยห็นการชื้อการขายมากมาย แต่ไม่เคยเห็นใครยัดเยียดให้ตัวเองเป็นภรรยาของคนอื่นเลยนะ! ชื่อเสียงระดับตำนานของเขากำลังแตกสลายไปโดยไม่รู้ตัว!
คนแคระทมิฬต้องการที่จะข่มขู่ต่อ จากนั้นเขาก็เห็นเลขามนุษย์รีบจับมือของเขาอย่างรวดเร็ว “พาข้าไปที่แก๊งค์เสื้อคลุมเดี๋ยวนี้!”
กาก้าจ้องมองไปที่กระเป๋าที่อยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็เห็นมนุษย์ขมวดคิ้วและโบกมือ ทันใดนั้นกระเป๋าก็ได้หายไป ไม่ว่ากาก้าจะดูยังไงก็ไม่มีทางเลยที่เฉินรุยจะมีช่องเก็บของมิติอยู่ หรือมันจะเป็นเวทมนตร์มิติระดับตำนานกัน? ไม่ใช่ว่ามีข่าวลือว่ามนุษย์ผู้นี้ไร้พลังงั้นรึ? หรือว่าเขามีความสามารถจริงๆกัน!
"เร็วกว่านี้!" เฉินรุยชักจะหมดความอดทน หากเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข เขาคงจะได้บาดแผลทางจิตใจจากผู้หญิงคนนั้นแน่!
ด้วยความกลัวพลังลึกลับของเฉินรุย กาก้าจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาพาเฉินรุยเดินตรงไปยังตรอกด้านหน้า
เฉินรุยโมโหและใช้ออร่า 500 แต้มในการเปิดใช้งานการคลังเก็บของทันที เพียงแค่คิด วัสดุเวทมนตร์ทั้งหมดก็ได้ถูกเก็บไปอย่างง่ายดาย ถ้าเขาจะไม่ไปตรงไปก่อปัญหาแก๊งค์เสื้อคลุม เขาคงไม่คิดจะลองระบบที่เก็บของเลยสักนิด
กาก้าพาเดินเป็นเวลานานแล้ว จากนั้นพวกเขาก็มาอยู่ในลานเล็กๆ แถวๆนี้ก็มีคนที่สวมเสื้อคลุมคล้ายๆกันหลายคน จากรูปร่างและการเคลื่อนไหว ดูยังไงพวกนี้ก็เป็นอิมป์หรือไม่ก็คนแคระ
ชายเสื้อคลุมตัวสั้นได้หัวเราะออกมาสนั่น “กาก้า เจ้านำอะไรกลับมางั้นรึ? ม....มนุษย์?”
กาก้าส่ายหัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องมองมา มารที่สวมเสื้อคลุมหลายตนก็จำได้ว่านี่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในเมืองพระจันทร์ดับและยังเป็นเลขาคนใหม่ด้วย พอคิดเรื่องที่มนุษย์ผู้นี้มียาพิษในตัว เหล่าผู้สวมเสื้อคลุมต่างก็หวาดกลัวในทันใด แต่ยังก่อน สิ่งที่พวกมันต่างสงสัยคือมนุษย์ผู้นี้มาทำอะไรที่พื้นที่ของแก๊งค์เสื้อคลุม หรือว่าอยากเข้าร่วมแก๊งค์งั้นเหรอ?
จากนั้นทั้งสองก็ได้เดินเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง ด้านหน้าของเฉินรุยมีเก้าอี้ที่ถูกจับจองโดยคนแคระคนหนึ่ง ดิดิผู้เคลมว่าตนเองเป็น "พ่อตาของเขา" ข้างๆดิดิมีซาซ่าผู้มีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าคนแคระ
กาก้ากระซิบอะไรบางอย่างข้างๆใบหูของดิดิ ซึ่งคนแคระเฒ่าก็ได้ตื่นตกใจและยืนขึ้นทันที
คนแคระเฒ่าขมวดคิ้วและมองมาที่เฉินรุย เขารู้ว่าอัลดาซและเจ้าหญิงต่างเป็นผู้สนับสนุนมนุษย์คนนี้ ดังนั้นเขาไม่สามารถที่จะหาเรื่องมนุษย์คนนี้ได้ลย ดังนั้นเขาจึงกล่าวไปว่า "ท่านเลขา กาก้าเพียงสิ้นคิดไปนิดหน่อย ข้าผู้อยู่ในแก๊งค์เสื้อคลุมใคร่ครวญขอให้ท่านโปรดจงอภัย ได้โปรดอย่าถือสาเลย อย่างน้อยก็เห็นแก่หัวหน้าของพวกเราที่...."
ช่างหัวหัวหน้าแกสิโว้ย! เฉินรุยไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว เขาจึงขัดจังหวะและพูดไปว่า "งั้นเอางี้เป็นไง เจ้าให้คนพวกนี้ออกไปและข้าจะพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าเพียงลำพัง
คนแคระเฒ่าขมวดคิ้ว เขาจ้องมองไปที่ลูกสาวของเขาและกล่าวไปว่า "ทุกอย่างเป็นเพียงอุบัติเหตุครับท่าน แต่ยังไงก็เถอะ นางผู้นี้เป็นบุตรสาวของข้า ซาซ่า และยังเป็นภรรยาของท่านผู้นำด้วย ดังนั้นควรเป็นนางมากกว่าที่จะเป็นผู้รับฟัง..."
พอได้ยินแบบนั้น เฉินรุยก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก อยากจะตะบั้นหน้าใส่ไอ้คนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อตาของเขาซะเหลือเกิน เขากัดฟันและก็พูดไปว่า "เลิกไร้สาระได้แล้ว! ความอดทนของข้ามีจำกัด!"
คนแคระชราอดคิดถึงข่าวลือเรื่องพิษของมนุษย์ผู้นี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่สั่นเทาด้วยความกลัว เขาส่งสัญญาณให้กับซาซ่าและกาก้าผ่านสายตา จากนั้นทั้งสอบก็รีบออกไปในทันที
“ท่านเฉินรุย” จู่ๆการแสดงออกของคนแคระผู้นี้ก็ได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านต้องการให้เราทำอะไร? แก๊งค์เสื้อคลุมของเราเพิ่งจะก่อตั้งไม่นานมานี้ ผู้นำของเราเองก็มักจะไม่อยู่…”
“ยังจะพูดถึงเรื่องนั้นอีกเหรอ?” เฉินรุยชี้ไปที่คนแคระเฒ่าด้วยความเกรี้ยวกราด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็พูดอะไรออกมาไม่ได้เลย จากนั้นเขาก็ได้กัดฟันและพูดออกไปว่า “เจ้าได้ทำให้เอกิลเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งหมดเลยรู้ไหม!”
คนแคระเฒ่าที่กำลังโค้งคำนับอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “ดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักกับหัวห…นายท่านของข้า”
“ชีวิตของนายท่านของเจ้าก็เหมือนของข้า ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้หรอก!” นั่นเป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะตัวตนทั้งสองคนเป็นคนเดียวกันไงเล่า
คนแคระเฒ่าดูสงสัยมาก ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เอกิลนั้นทรงพลังมากจนเขาสามารถเอาชนะเดงคิได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยเขาก็คงเป็นมารระดับกลาง ทำไมเขาถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจผู้นี้กันนะ?
เฉินรุยสังเกตเห็นความสงสัยของดิดิและเขาก็ได้พูดอย่างเย็นชาไปว่า“คืนนั้น หลังจากเอกิลช่วยเจ้า เขาก็ได้ให้เหรียญคริสตัลม่วงไป หลังจากนั้น เจ้าก็ยืนยันที่จะเป็นข้ารับใช้ของเขาและเขาก็ได้ให้เจ้าอีก 2 เหรียญ ข้าพูดถูกใช่ไหม?”
เหตุการณ์นั้นเป็นที่รู้กันโดยพ่อของคนแคระ ลูกสาวคนแคระและก็เอกิล ดังนั้นคนแคระเฒ่าจึงไม่สงสัยอีกแล้ว เขาจึงพูดอย่างรวดเร็วไปว่า “ท่านเฉินรุย ดิดิผู้นี้ช่างหยาบคายยิ่งนัก ท่านช่วยบอกได้ไหมว่านายท่านของข้าอยู่ที่ใด?”
“เขากำลังฝึกฝนเพื่อพลังที่แข็งแกร่งกว่าอยู่” เฉินรุยไม่คิดที่จะพูดคุยดีๆกับคนแคระเฒ่าหรอกนะ “เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าไม่ใช่ข้ารับใช้ที่เขายอมรับ! อันที่จริง เหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรียญที่เขาให้เจ้าในวันนั้นก็มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบเจ้า ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะให้ลูกสาวของเจ้าแกล้งทำเป็นภรรยาของเขาและสร้างแก๊งค์เสื้อคลุมขึ้นมาเพื่อปล้นและโกงคนอื่น! หากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะฆ่าเจ้าแน่นอน!”
“งั้นนายท่านคงจะทดสอบข้าอยู่สินะ!” เหงื่อคนแคระเฒ่าไหลไปทั่วร่าง ตอนแรกเขาแอบดีใจมากที่ได้รับเหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรียญ “ท่านเฉินรุย โปรดบอกนายท่านเอกิลทีว่าดิดิมีชีวิตได้ก็เพราะบททดสอบของนายท่าน ดิดิเองก็ช่วยนายท่านสร้างแก๊งค์เสื้อคลุมขึ้นมาแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!”
ในขณะที่พูดอย่างนั้น คนแคระเฒ่าก็ได้หยิบเหรียญคริสตัลสีม่วงหนึ่งกำมือแล้วยื่นมือทั้งสองไปที่เฉินรุย “ข้าได้รับเหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรียญที่อาจารย์มอบให้ข้ามาในวันแรก โปรดมอบสิ่งเหล่านี้แก่นายท่านด้วย เพื่อเป็นการเอ่ยถือความในใจอันลึกซึ้งของตัวข้า”
คนแคระเฒ่าไม่เพียงแต่จะสร้างแก๊งค์เพื่อปล้นขโมย ยังจะภูมิใจกับเรื่องแบบนี้อีก เขาเชื่อว่าเขากำลังสร้างอาชีพให้กับนายท่านของเขา
เฉินรุยรู้ว่าอาณาจักรมารมีกฎของตนเอง ดังนั้นเขาจึงพูดไม่ออกมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาประหลาดใจกับวิธีการของคนแคระเฒ่า ด้วยความพยายามเพียงไม่กี่วัน เหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรีญแรกเริ่มกลายเป็นมากกว่า 10 เหรียญงั้นเหรอ? โดยอาศัยเพียงคนสวมผ้าคลุมเล็กพวกเนี่ยอะนะ?
หลังจากที่ทำความเข้าใจสักพัก เฉินรุยก็ตระหนักได้ว่า 90% ของเงินนี้ได้มาจากคนแคระเฒ่า คนแคระเฒ่ามีความคิดที่เฉียบแหลม เขารู้จักร้านค้าและแผงลอยในเมืองพระจันทร์ดับเหมือนหลังมือของเขา ตัวอย่างเช่น หนังสัตว์ที่อยู่ทางเหนือของเมืองนั้นถูกที่สุด ขายในราคาคริสตัลขาว 10 เหรียญ หากใครขายมันทางตอนใต้ของเมือง ใครๆก็สามารถขายเป็นเหรียญคริสตัลสีขาวอย่างน้อยได้ถึง 13 เหรียญ คนแคระเฒ่าพึ่งพาการซื้อและขายนี้ในเรื่องความแตกต่างของราคา ในอดีต เขาทำธุรกิจเล็กๆอย่างขายอาหาร แต่ชีวิตของเขาก็ยุ่งยากมากเพราะการรังแกของเดงคิ
หลังจากที่เฉินรุยสั่งสอนเดงคิในคืนวันนั้น คนแคระเฒ่าก็ได้พบกับน้องชายของเดงคิ ก็อบ เมื่อเขาได้นึกถึงบุคคลที่แข็งแก่งมากในคืนนั้น ตัวก็อบเองก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ความกล้าหาญของคนแคระเฒ่าจู่ๆก็ได้แพร่กระจายในทันที เขาเริ่มใช้เหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรียญเป็นทุนในการขยายธุรกิจของเขาในการซื้อและขายของต่อ นอกจากนี้ เขายังใช้ชื่อเสียงของเอกิลเอาชนะเดงคิ เพื่อรับสมัครกลุ่มคนเข้ามาและสร้างแก๊งค์เสื้อคลุม บางครั้ง เขาก็ต้องใช้ประโยชน์จากความสามารถของเอกิล เพื่อทำให้คนอื่นเข้ามาตีสนิทและบังคับให้พวกเขาชื้อ รวมถึงขายของให้ และมันก็ไม่ถูกเปิดเผยจนกระทั่งวันนี้
เฉินรุยตะลึงมาก เขาในตอนนี้กำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ คนแคระเฒ่าสามารถมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพื่อสร้างความแตกต่างและจัดตั้งองค์กรในช่วงเวลาสั้นๆได้ ความสามารถของเขานั้นยอดเยี่ยมจริงๆ แม้ว่าแก๊งค์เสื้อคลุมจะเป็นเหมือนตัวตลก แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องหาเงินและวัสดุเพื่อออร่า หากเขาสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้ คนแคระเฒ่าหัวนักธุรกิจก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยได้
“เจ้าเก็บเงินนี้และมอบให้เอกิลด้วยตัวเองเถอะ!” เฉินรุยคิดในใจอย่างรวดเร็วและตัดสินใจได้ในทันที
คนแคระเฒ่าตอนแรกส่งเงินให้มนุษย์ เพราะคิดที่จะติดสินบน เขาคิดว่าเมื่อเหรียญคริสตัลสีม่วงอยู่ในมือของท่านเอกิล มันคงจะเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกปฏิเสธ เขามีความมั่นใจมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านเอกิลและเลขามนุษย์ผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเลย ดังนั้น เขาจึงเริ่มเคารพมนุษย์ผู้นี้มากขึ้นและเขาก็ได้ถามไปว่า “ท่านเฉินรุย แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่านายท่านจะว่างตอนไหน? แถมเดงคิเองก็มาที่นี่เมื่อวานนี้ เพื่อที่จะมาเอาค้อนที่เขาลืมไว้และก็ยังร้องขอจะพบนายท่านให้ได้”
"อะไรนะ? เขายังต้องการแก้แค้นใช่ไหม?” เฉินรุยไม่สนหรอกที่จะมาเสียเวลากับคนอย่างเดงคิน่ะ
x