บทที่ 31: ศึกตัดสิน! แผนการร้ายของพวกน่ารังเกียจ
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 31: ศึกตัดสิน! แผนการร้ายของพวกน่ารังเกียจ
"เจ้าไม่รู้งั้นเหรอ?" อาเธน่ามองมาที่เขาอย่างกระวนกระวาย "ข้าเพิ่งกลับมาและข้าก็ได้ยินจากมารทุกตนในเมืองว่าเด็กฝึกหัดของปรมาจารย์อัลดาซที่แสดงฝีมือในการท้าทายครั้งก่อนจะเป็นตัวแทนของเมืองพระจันทร์ดับในการมีส่วนร่วมการประลองเวหาในสนามประลองวันพรุ่งนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ มีเพียงแต่ความตายที่รออยู่!"
เฉินรุยพอได้ยินเขาก็รู้สึกคุ้นๆ เขานึกถึงตอนที่เขาเข้าไปในร้านค้าเวทย์มนต์เมื่อไม่กี่วันก่อน และเขาก็เข้าใจได้ในทันที เขาถูกวางกับดัก! แผนการอันชั่วร้ายนี้ไม่มีทางเป็นของอลันที่แม้จะกล้าหาญแต่ก็โง่ มันจะต้องเป็นพวกหน้าอย่างใจอย่างแบบโจเซฟแน่นอน!
หลังจากฟังคำพูดของเฉินรุยแล้ว อาเธน่าก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “โจเซฟงั้นเหรอ? ไม่ใช่อลันรึ? ทำไมข้าถึงได้ยินว่าเป็นอลันที่เป็นคนแพร่ข่าวกัน”
ในตอนนั้นเอง อลิซก็ได้พูดขึ้น “อาเธน่า ถึงแม้ว่าโจเซฟมักจะสุภาพและอัธยาสัยดี และถึงแม้เขาจะให้ของขวัญเราบ่อยๆก็ตาม แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด อลันเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ถูกใช้งานเท่านั้น”
เฉินรุยเองก็ลอบพยักหน้า แม้ว่าโลลิตัวน้อยนี้ดูเหมือนจะชอบเอารัดเอาเปรียบและหลอกลวงคนอื่น แต่จริงๆแล้วนางเป็นคนที่ตรงไปตรงมาเสียจริง
“แล้วทำไมท่านถึงนำของขวัญเขากลับมาด้วยตลอดกันเล่า?” อาเธน่าจ้องไปที่อลิซ "ตัวข้าไม่ได้ชอบโจเซฟ ดังนั้นแล้วตัวข้าก็ไม่มีวันยอมรับของๆมันหรอก"
แต่ดวงตาของอลิซกลับเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ “อาเธน่า ของขวัญนั้นมันบริสุทธิ์ มันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกนะ”
ทั้งท่าทางของนาง น้ำเสียงและสายตาที่มองมาต่างก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนการแสดงออกของโลลิตัวน้อยดูท่าจะเข้าขั้นเซียนแล้ว จู่ๆเฉินรุยก็ได้คิดถึงอะไรบางอย่างที่มักจะพบในบทของละครโรแมนติกดราม่า: นี้มันพวกหน้าเนื้อในใจเสือชัดๆ [1] แน่นอนว่าอาเธน่าไม่สามารถสู้กับสายตาอันแสนดุร้ายของอลิซได้และก็ได้แต่ยอมแพ้ไป
ซึ่งตัวโลลิตัวน้อยนั้นก็เป็นพวกใจดำจริงๆนั้นแหละ แม้ว่านางจะสาปแช่งคนที่ให้ของขวัญกับนาง แต่นางก็ยังรับมันมาอยู่ดี
เฉินรุยมองไปที่เจ้าหญิงน้อยอย่างชื่นชมและถามว่า “การประลองเวหาคืออะไรงั้นเหรอ”
“มันเป็นการพนันระหว่างโจเซฟกับข้า” อลิซพูดออกมาด้วยความรำคาญ “ทั้งสองฝ่ายจะส่งคนไปขี่สัตว์อสูรร้ายและต่อสู้กันกลางเวหา ใครที่ตกลงมาก่อนก็แพ้ไป เงื่อนไขก็คือ เจ้าจะไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เจ้าทำได้เพียงสั่งการสัตว์อสูรที่ควบคุมอยู่เท่านั้น นั่นจึงทำให้เสี่ยงเป็นอย่างมาก การแข่งขันประเภทนี้มีความอันตรายสูง มันจึงได้ถูกเรียกว่า ศึกตัดสินเวหา”
เฉินรุยขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงต้องไปพนันกับเขาละ?”
“นี่คือ 'มรดก' ที่บิดาผู้ล่วงลับของข้าทิ้งให้ไว้ ภายใต้คำสั่งของอุปราช เจ้าวิญญาณสีแดงจอชต้องส่งคนไปแข่งขันกับเมืองพระจันทร์ดับทุกๆปี เพื่อทำลายศักดิ์ศรีอันแสนน่าสมเพชและน่าสงสารของเจ้าพระอาทิตย์เที่ยงคืน”
จากนั้นอลิซก็พูดด้วยน้ำเสียงอันแสนขี้เกียจ “บิดาของข้าหัวแข็ง เขาต้องการที่จะรักษาฐิติของเขาเอาไว้ ทุกๆครั้งเขานั้นมักที่จะส่งคนไปเข้าร่วมเสมอ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พี่สาวของข้าเข้าควบคุมเมืองพระจันทร์ดับแล้ว มันก็น่าเบื่อเป็นอย่างมาก เพราะพี่สาวของข้าไม่มีกำลังพอมากขนาดที่จะทำตามความปรารถนาสุดท้ายของบิดาได้ ตัวข้าจึงได้รับช่วงต่อการพนันที่ยุ่งยากนั้นมาเอง”
พอได้อธิบายทุกอย่างแล้ว โลลิตัวน้อยก็ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจและมองตรงไปที่เฉินรุย “บอกข้ามา ทำไมคนรุ่นต่อไปต้องทนรับความเอาต่อใจของคนรุ่นก่อนกัน?”
เฉินรุยนั้นไม่สามารถที่จะตอบกลับไปได้เลย อาเธน่าทนไม่ไหวแล้วก็พูดว่า “หยุดแกล้งได้แล้วอลิซ เจ้ามักจะตื่นเต้นเสมอในตอนที่ได้พนัน และข้าก็ยังช่วยเจ้าเอาชนะไปแล้วถึงสองครั้ง ในตอนนี้มาคิดวิธีที่จะช่วยเฉินรุยผ่านปัญหานี้ก่อนเถอะ หากเขาเข้าร่วมในการแข่งขันนี้ ไม่เพียงแต่เขาอาจจะตาย แต่มันจะทำลายขวัญกำลังใจของเมืองพระจันทร์ดับด้วย ตอนนี้ข่าวได้แพร่กระจายไปแล้ เจ้าวิญญาณสีชาดก็ถึงกับส่งหมายเรียกเวทย์มนต์ โดยบอกไว้ว่าจะส่งคนมาหา แม้แต่เจ้าหญิงใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากเฉินรุยหลีกเลี่ยงการเข้าร่วม ตัวเขาจะกลายเป็นตัวตลกในดินแดนพระจันทร์ดับ”
“แล้วมีอะไรที่เราจะทำได้บ้าง? การถูกเรียกว่าคนขี้ขลาดนั้นย่อมดีกว่าการเสียชีวิตใช่ไหม? เพราะยังไงมันก็แค่การเดิมพันอันแสนน่าสมเพศของข้านี้” อลิซพูดต่ออีกว่า “ยังไงก็เถอะ ตัวข้ามีรายได้มากมายจากการเดิมพันท้าทายครั้งก่อน คิดซะว่าเป็นการสูญเสียเงินเพื่อหลีกเลี่ยงโชคร้ายแล้วกัน”
“ทำไมเจ้าถึงต้องการเงินจำนวนมากด้วยเล่า?” เฉินรุยรู้ว่านางมีเงินมากจากการท้าทายครั้งก่อง ดังนั้นเขาจึงถามด้วยความไม่พอใจว่า "ทำไมเจ้าถึงอยากจะเป็นเจ้าหญิงสุดร่ำรวยแห่งเมืองพระจันทร์ดับด้วยล่ะ มันจะไปมีความหมายอะไรกัน?"
เศรษฐกิจของเมืองพระจันทร์ดับตอนนี้ตกต่ำมาก มีสถานที่เพียงเล็กน้อยที่สามารถใช้เงินจับจ่ายได้ แค่เพียงในหมู่บ้านชนบทเล็กๆนั้น มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะใช้เงินชื้อสิ่งของ
"ข้าไม่ได้ร่ำรวย" อลิซพูดอย่างหดหู่ “ทุกครั้งที่ข้ามีเงินนิดหน่อย พี่สาวของข้าก็จำนำมันไปโดยบอกว่าข้าจะเอาเงินไปใช้เล่น”
เฉินรุยนั้นก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของอลิซแล้ว นี้ควรเรียกว่ากรรมย่อมตามทันคนชั่วเสมอ
“ยังไงก็เถอะ วิธีการดำเนินธุรกิจที่เจ้าสอนข้าครั้งก่อนดูเหมือนจะมีประโยชน์มาก” อลิซกะพริบตาพร้อมกับยิ้ม “ดูเหมือนว่าความคิดของพี่ชายมนุษย์ผู้นี้จะดีกว่าข้ามาก การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความมั่งคั่งของข้าเท่านั้น มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของเมืองพระจันทร์ดับเช่นเดียวกัน พี่ชายมนุษย์ได้โปรดคิดวิธีเอาตัวเองให้รอดและรักษาชื่อเสียงของเมืองพระจันทร์ดับในการแข่งขันครั้งนี้…และช่วยข้าหาเงินเพิ่มอีกได้ไหม?”
เสียงของนางที่เอ่ยว่า "พี่ชายมนุษย์" ได้ทำให้เฉินรุยได้แต่เกาหัวด้วยความอาย แต่เขาค่อยๆเรียงลำดับบางอย่างในใจของเขา ดูเหมือนว่าชัยชนะในการท้าทายครั้งก่อนจะทำให้จิตวิญญาณของทั้งกองทัพและผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองพระจันทร์ดับฮึกเหิมขึ้น ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้มีโอกาสที่จะใช้ในการทำลายขวัญกำลังใจ มันอาจเป็นคำสั่งของเจ้าวิญญาณสีชาดหรือแม้แต่อุปราชออบซิเดียน
และคงเพราะเหตุนี้ โจเซฟจึงสั่งให้คนกระจายข่าวและเอ่ยถึงความสามารถของเฉินรุยในการท้าทายครั้งก่อน โดยยกย่องยกยอเฉิดชูเฉินรุยและทำให้เขาร่วงหล่นลงมาในคราเดียว ในแง่หนึ่ง เฉินรุยก็คงเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับโจเซฟในการทำให้เมืองพระจันทร์ดับเสียเกียรติ สำหรับอลันที่ปล่อยข่าวแล้ว ก็เหมือนกับที่อลิซว่า เขาเป็นเพียงคนโง่ที่ถูกใช้งาน!
เฉินรุยเริ่มชั่งน้ำหนักทั้งข้อดีข้อเสียของการแข่งขันครั้งนี้ โจเซฟได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน ข่าวการแข่งขันครั้งนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองและแม้แต่ผู้คนของเจ้าวิญญาณสีชาดก็จะมาด้วย อาณาจักรมมารนั้นรังเกัยจคนอ่อนแอเป็นที่สุด ถ้าเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ ในอนาคตไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็จะลำบากมากแน่ แล้วนั้นจะยิ่งทำให้ได้รับออร่ายากมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ การทำตัวให้ไม่ถูกสนใจนั้นแตกต่างจากพวกขี้ขลาด การอยู่เฉยๆมีแต่จะทำให้คนอื่นเข้ามาใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะโจเซฟต้องการใช้ชีวิตของเขาเพื่อโจมตีเชียและเมืองพระจันทร์ดับ งั้นเขาจะทำให้แผนการอันแสนแยบยลของมันทลายลงเอง
เฉินรุยคิดอย่างรวดเร็วและถามว่า “เจ้าหญิงน้อย การแข่งขันของเจ้ากับโจเซฟเป็นการแข่งขันแบบครั้งเดียวใช่มั้ย?”
ในตอนแรกอลิซก็ยังหยอกล้อเขาอยู่ แต่ในตอนนี้นางไม่ต้องการให้เขาไปฆ่าตัวตายจริงๆ ซึ่งหลังจากนางได้เห็นหน้าตาของเฉินรุยที่ดูเหมือนว่าจะคิดวิธีการได้แล้ว นางก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ไม่มันเป็นการแข่งขัน 3 รอบ ทักษะการฝึกฝนสัตว์ของอาเธน่านั้นดีที่สุดในเมืองพระจันทร์ดับ นางช่วยข้าให้ชนะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ปีที่แล้ว แม้แต่โจเซฟเองก็พ่ายแพ้แก่นาง”
จากนั้นเฉินรุยก็ได้คิดในใจของเขา เหตุผลที่อาเธน่ายังชนะอยู่ก็เพราะพ่อของนางเป็นนายพลคนแรกของอาณาจักร ประการที่สองคือความสำคัญของการแข่งขันก่อนหน้านี้ไม่ได้สำคัญเท่ากับการแข่งขันในตอนนี้ เหตุผลที่สามและที่สำคัญที่สุดคือความน่ารังเกียจที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของพวกมันที่คิดจะใช้แผนการนี้ตลบหลังเมืองพระจันทร์ดับ
เฉินรุยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็วางแผนคร่าวๆ จากนั้นเขาก็ได้ถามขึ้นมาว่า “เจ้าหญิงน้อยข้าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าข้าจะชนะหรอกนะ บางทีอาจจะเสมอก็ได้ แต่หากเราโชคดี เราก็จะชนะ แต่ข้าไม่รู้ว่าตัวท่านกล้าเพียงใด?”
"ถ้าข้าไม่กล้า ข้าจะเสียเงินอย่างงั้นเหรอ? ถ้าอย่างงั้น…ข้าจะได้เงินจากการชนะใช่ไหม?”
อลิซนั้นตอบสนองเป็นพิเศษกับคำว่า "เงิน" เมื่อเห็นเฉินรุยพยักหน้า นางก็ยืดตัวแล้วทำทีเป็นมองจากด้านบน “ไม่มีความกลัว” ในพจนานุกรมของตระกูลลูซิเฟอร์ ข้า อลิซ ลูซิเฟอร์ไม่มีวันกลัว!”
รัศมีอันทรงพลังของโลลิน้อยทำให้เฉินรุยสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้บอกแผนคร่าวๆของเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากฟังแผนของเฉินรุยแล้ว อาเธน่าขมวดคิ้วและดูกังวลเล็กน้อย อลิซเองก็คิดว่าความคิดนี้ไม่เลว นางกระโดดเข้ามาและตบไหล่ของเฉินรุย “ข้าคิดแล้วว่าข้าเลือกคนไม่ผิด เจ้านั้นน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าเกาส์ที่อยู่ข้างกายพี่สาวข้า จากนี้ไป เจ้าจงเป็นผู้ติดตามข้าและพยายามให้สุดความสามารถเถิด!”
พอได้คำชมเช่นนี้มันก็ทำให้เฉินรุยเริ่มรู้สึกผิดซะแล้ว ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาและบอกไปว่า “ข้ามีขนมอร่อยๆด้วยแหละ นายเหนือหัว ได้โปรดเชิญลิ้มรสมันด้วย”
"ข้าเป็นเจ้าหญิง!" อลิซได้แก้ไขคำพูดของเขาพร้อมกับหยิบเม็ดน้ำตาลออกมากินและวิพากษ์วิจารณ์เม็ดน้ำตาลว่ามันมีรสชาติธรรมดาเกินกว่าที่คิด
แต่ดวงตาของอาเธน่ากลับเบิกกว้างขึ้นและเข้าใจว่าสิ่งที่อลิซเพิ่งกินไปคือ "ยาแก้พิษ" นางยกย่องความเฉลียวฉลาดของเฉินรุยในใจและพูดว่า “ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว เฉินรุยนั้นไม่เคยขี่สัตว์มารมาก่อน เขาจำเป็นต้องฝึกฝนเทคนิคการขี่เบื้องต้นในทันที”
“ก็ได้ งั้นข้าจะไปดูแลร้านค้าแล้วกัน ธุรกิจเองก็ดีขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ มันไม่มีทางจะเป็นแบบนี้ได้หรอกหากไม่มีเจ้าหญิงผู้นี้คอยดูแล” อลิซพูดพร้อมกับยิ้มแปลกๆ “อาเธน่า ข้าจะส่งเฉินรุยไปกับเจ้า นี้เป็นครั้งแรกของเขา จงจำช่วงเวลานี้ไว้ให้ดี…แล้วก็ทำให้อ่อนโยนเล็กน้อยนะ”
“แน่นอน เพราะนี้เป็นครั้งแรกของเขา ข้าจะจัดการฝึกพิเศษให้เขาเอง” จากนั้นอาเธน่าก็พูดออกมาอย่างงงๆว่า “แล้วให้อ่อนโยนเล็กน้อยคืออะไรกัน? เราจะได้รับบาดเจ็บจากอะไรงั้นเหรอ?”
เฉินรุยในตอนนี้รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลออกมา เขากลัวว่าอลิซจะมีความคิดเห็นแปลกๆมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงดึงอาเธน่าไปอย่างรวดเร็วและพูดว่า “เวลาของเรากระชันกระชิดแล้ว รีบไปกันเถอะ!”
หลังจากหนีจากเอื้อมมือของโลลิน้อยแล้ว อาเธน่าก็ได้ขี่กริฟฟินแล้วพาเขาไปยังดินแดนที่ว่างเปล่านอกเมือง
กริฟฟินนั้นเป็นสัตว์อสูรที่บินได้ทั่วไป มันมีหัวเป็นนกอินทรี มีขนเต็มตามร่างกายและปีกขนาดใหญ่
กริฟฟินนั้นก้าวร้าวและรุนแรง แต่ความแข็งแกร่งของมันนั้นค่อนข้างไปทางแย่ โดยทั่วไปแล้ว สามารถใช้มันเป็นหน่วยจู่โจมในการรบได้ ส่วนไพ่ลับในการต่อสู้กลางอากาศคือไวเวิร์น มันทรงพลังและมีพิษ สามารถใช้ได้ทั้งบนอากาศและดิ่งลงได้ มันเหมือนกับเฮลิคอปเตอร์เลยทีเดียวเชียว ส่วนคนที่จะขี่มันได้ก็จะได้ชื่อว่าอัศวินมังกร มีไวเวิร์นเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถทำให้เชื่องได้ ดังนั้นในจักวรรดิจึงมีอัศวินมังกรเพียง 1-2 คนเท่านั้น
สำหรับมังกรนั้น เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งอากาศจริงๆ มังกรในอาณาจักรมารหายากยิ่งกว่ามังกรในพื้นโลกเสียอีก แต่พวกมันดุร้ายกว่าและทรงพลังยิ่งกว่า ขอให้ขี่งั้นเหรอ แค่ไปเจอหน้ายังไม่มีใครกล้าเลย
“สัตว์อสูรที่เชื่องพวกนี้ไม่ยากที่จะควบคุม วิธีที่ดีที่สุดคือต้องผูกพันกับมัน แต่เนื่องจากไม่มีเวลาอีกแล้ว เจ้าเพียงแค่ให้มันเข้าใจเจ้าก็พอ” อาเธน่าตบหัวกริฟฟินเบาๆและเสียงต่ำๆก็ได้ออกมาจากปากของนาง ในตอนแรกมันตื่นตระหนกมาก จากนั้นมันก็ล้มลงกับพื้นอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นเฉินรุยก็ได้ถามแปลกๆว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้อานม้าหรือบังเหียนกันละ?”
อาเธน่าส่ายหัวแล้วถามว่า“ถ้าเจ้าใช้สิ่งนั้น มันจะยังคงถูกเรียกว่าศึกชิงเวหาอีกงั้นเหรอ? นอกจากนี้แล้ว การแข่งขันเวหาจะต้องอยู่สูงจากพื้น 100 เมตร”
สูงถึง 100 เมตร! และไม่มีอุปกรณ์อะไรคอยกัน! เฉินรุยตกใจมาก เครื่องบินไม่ใช่แรดที่มีเขาเหมือนรถบัสนะเห้ย ถ้าหากเขาไม่ระวังตัว เขาก็จะตกลงมา แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติ "ดวงดาว" แต่ตัวเขาคงไม่สามารถรับอาการบาดเจ็บที่หนักหนาขนาดนั้นได้
คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะเรียนรู้วิธีการรบกลางอากาศของอาณาจักรมาร
“อย่ากลัวในเวาหาเลย ยิ่งเจ้ากลัวมากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้รับอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ในความเป็นจริง ตราบใดที่เจ้าควบคุมจังหวะและความรู้สึกได้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย”
ในขณะที่อาเธน่ากำลังพูดอยู่ นางก็ได้นั่งบนหลังของกริฟฟินพร้อมกับตบคอของมัน จากนั้น กริฟฟินก็ได้วิ่งไปข้างหน้าสะบัดปีกแล้วบินขึ้นไป
เฉินรุยดูอาเธน่าอย่างอิจฉาที่บินอยู่บนท้องฟ้ากับกริฟฟินตัวยักษ์ ในโลกก่อนของเขา มนุษย์ใฝ่ฝันจะบินบนท้องฟ้าจนสร้างเครื่องบินขึ้นมา เมื่อเขาเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมการแข่งขัน ตัวเขาก็จะมีสิทธิ์ได้นั่งบนเครื่องบินด้วย ความรู้สึกที่ได้ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆและมองโลกจากเบื้องบนนั้นช่างยอดเยี่ยม ในขณะที่การบินกับอาเธน่าดูจะน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า
อาเธน่านั้นสามารถควบคุมกริฟฟินในระดับความสูงที่แน่นอน อีกทั้งนางยังยืนขึ้นบนหลังอันแสนแคบของตัวกริฟฟิน ทุกการกระทำของนางนั้นอยู่ภายใต้ความเร็วในการบินระดับสูง การเคลื่อนไหวที่ยากลำบากเช่นนั้นดูน่ากลัวมากเลยทีเดียว
อาเธน่าดูสงบและทำเหมือนกับว่าง่าย ผมสีม่วงของนางถูกลมพัดสั่นไหวไปมา เสื้อคลุมสั้นของนางเองก็พัดไปมาเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นเท้าของนางกลับยืนอย่างมั่นคงบนหลังกริฟฟินจนถึงตอนที่มันบินลงมาถึงพื้น
[1] มีหน้าตาแสดงความเมตตา แต่ใจเหี้ยมโหด