บทที่ 16: หม้อไฟ
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 16: หม้อไฟ
แม้ว่ามังกรพิษจะถูกผนึกอยู่ แต่อาเธน่าก็ยังไม่สามารถใช้พลังเต็มที่ของนางเผชิญหน้ากับมันได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม นางสามารถกำราบเดงคิด้วยดาบขนาดใหญ่ของนางได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นอาเธน่าก็ได้ตวัดดาบของนางไปอีกครั้ง มันเกิดประกายไฟกับค้อนของเดงคิและก็ได้แยกออกไปสองส่วน เท้าของเขาจมไปที่พื้นลึกกว่าเดิมอีก อาเธน่าได้ควบคุมความแข็งแกร่งของนางอย่างแม่นยำ หลังจากตัดค้อนอันใหญ่โตแล้ว ดาบของนางก็หยุดอยู่เหนือหัวของเซนทอร์
เฉินรุยรีบไปหาอลิซแล้วก็กระซิบ จากนั้นก็ให้ตะกร้ากับโลลิตัวน้อย
“ออกไปให้พ้นทาง เจ้ามารจ้อย เรียกคนขี้ขลาดอลันออกมา!” อาเธน่าไม่ได้โง่ นางเดาได้ทันทีว่าใครอยู่เบื้องหลังการกระทำของเดงคิ จากนั้นนางก็ค่อยๆเก็บดาบเข้าฝัก
เดงคิรู้สึกถึงความรุนแรงที่น่ากลัวจากด้านบนหัวของเขา หัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ แต่เขาก็พอรู้ว่าอาเธน่านั้นเมตตา ไม่อย่างนั้นการโจมตีที่แสนน่าหวาดกลัวนี้จะไม่ได้ตัดแค่ค้อนเท่านั้น เมื่อเขากำลังหวาดกลัวอยู่ ก็ได้มีเสียงตะโกนดังก้องขึ้นมา“หยุด!”
คนที่พูดจริงๆแล้วเป็นเฉินรุย มนุษย์คนนี้ชี้ไปที่เดงคิและพูดเสียงดัง“เดงคิ เจ้ากล้าที่จะทำร้ายอาเธน่าจริงๆงั้นหรอ! แม้แต่ ราชินีและเจ้าหญิงอลิซก็ยังไม่พูดสักคำ นี้เจ้าทำโดยไม่มีคำสั่งนี่ นี้เจ้ายังไว้หน้าเจ้าหญิงและราชวงศ์ลูซิเฟอร์อยู่ไหม?”
“ข้าไม่ได้ทำ!” ในขณะที่เดงคิได้ยินเฉินรุยบอกว่าเขาโจมตีอาเธน่า ซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิดมาก แล้วอาเธน่ายังเป็นคนโจมตีก่อนด้วย ทำไมเขาถึงเป็นคนผิดกันล่ะ
ซึ่งตัวของอลิซที่เงียบอยู่ก็ได้ “กระทืบเท้า” ของอาเธอร์ขณะที่กัดแก้วมังกรหยก จากนั้นนางก็พูดเบาๆว่า “เจ้าทำร้ายอาเธน่างั้นหรอ? เจ้าไม่เห็นแม้แต่พี่สาวของข้าและตัวข้าอยู่ในสายตาของเจ้าเลยงั้นเรอะ!”
“ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่นะ! ข้า ข้า ข้า…” เดงคิรู้สึกตกใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี “เจ้าหญิงน้อย มนุษย์คนนี้กำลังหลอกหลวงอยู่ อย่าเชื่อเขา!”
“ชายผู้นี้เป็นจอมหลอกลวงจริงๆ” อลิซพยักหน้า ขณะที่เดงคิกำลังรู้สึกดีใจ โลลิน้อยก็ได้ชี้นิ้วที่กำลังกินแก้วมังกรหยกไปที่เฉินรุยและน้ำเสียงของนางก็ได้เปลี่ยนไป “แต่เขามีเหตุผลมากกว่าเจ้า”
ตกลงว่าคำพูดของเขามีเหตุผลน้อยกว่าแก้วมังกรหยกอย่างงั้นเหรอนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าเฉินรุยกำลังคิดถึงแนวทางของหน่วยงานราชการที่ทุจริตกันอยู่ แล้วมันก็เป็นทางเลือกที่ดูฉลาดที่สุดด้วยที่เอาแก้วมังกรหยกให้กับอลิซ
“เฉินรุย พอมองความจริงที่เจ้าไม่ลืมที่จะหยิบผลไม้ให้เจ้าหญิงผู้นี้ขณะรวบรวมสมุนไพร ข้าจะยกโทษให้เจ้าในครั้งนี้” อลิซมองไปที่เดงคิที่กังวลและกำลังเหงื่อออก “เจ้าตัวใหญ่ อย่างี่เง่านักสิ บอกอลันว่า ถ้าเขาต้องการฆ่าคนด้วยมือของข้า เขาจะต้องมีเหตุผลมากกว่าคนอื่น”
“มีเหตุผล” มากกว่านี้งั้นเหรอ? เห็นได้ชัดเลยว่านั่นมันสินบน! ดูเหมือนว่าโลลิตัวน้อยนี้จะเข้าใจทุกอย่างดี นางตั้งใจทำตัวไร้เหตุผล เดงคิพอสังเกตุเห็นว่าอลิซไม่ได้ไล่ต้อนตัวเขา เขาจึงรีบถอนกำลังทหารไป ราวกับว่าได้รับการยกโทษแล้ว เฉินรุยมีความสุขที่อาณาจักรมารยังอยู่ง่าย ถ้ามันเป็นยุคโบราณในโลกก่อนหน้าของเขา คนต่างๆนั้นสามารถถูกตัดสินโทษได้อย่างง่าย ซึ่งเดงคิและครอบครัวของเขาคงถูกประหารแล้ว
“ไปกันเถอะ อาเธน่า” อลิซชูแขนของอาเธน่าอย่างใกล้ชิดราวกับว่านางไม่เคยโกรธเลยตะกี้
“ไม่ใช่ว่าท่านราชินีจะลงโทษข้าที่พาออกไปข้างนอกอย่างงั้นหรือ?” อาเธน่าก็สะบัดมือของอลิซออกไปโดยเจตนา ใบหน้าของนางดูไม่มีความสุขเลยสักนิด พอเห็นแบบนั้นแล้ว เคียก็ปิดปากของนางและยิ้มอยู่ข้างๆ
อลิซนั้นเป็นพวกจิตใจต่ำทรามลึกไปถึงข้างใน นางกระซิบอาเธน่าครู่หนึ่งพร้อมยิ้ม จากนั้นนางก็เล่าเรื่องตลกอีกครั้ง แล้วพอทั้งคู่มาถึงหน้าปราสาทพระราชวัง ทั้งคู่ก็เหมือนกลับกลายมาเป็นพี่สาวน้องสาวอีกครั้ง เมื่ออลิซได้ยินอาเธน่าบอกว่า นางนำเหยื่อกลับมาด้วย นางจึงนึกภาพที่ไปปิกนิคตอนก่อนหน้านี้และนางก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหลพร้อมกับมองไปที่เฉินรุยด้วย
เฉินรุยพอเห็นแบบนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะเห็นเขากลายเป็นคนย่างบาร์บีคิวไปแล้ว เขาจึงพูดอย่างรวดเร็วว่า“งั้นคราวนี้ข้ามีวิธีย่างแบบอื่นด้วย เมื่อเทียบกับบาร์บีคิวแล้ว มันมีรสชาติที่แตกต่างออกไป แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหญิงน้อยจะสามารถกินเผ็ดได้หรือเปล่า?”
“อร่อยเหมือนบาร์บีคิวจริงๆใช่ไหม?” โลลิน้อยพูดเบาๆและถามขึ้นมา หลังจากมนุษย์ผู้นี้ยืนยันหนักแน่นด้วยการตบหน้าอกเหมือนกับอาเธน่า เสียงของนางก็ได้ดังขึ้น“ไม่มีคำว่าหวาดกลัวในพจนานุกรมของราชวงศ์ลูซิเฟรอ์ ข้า อลิซ ลูซิเฟอร์ ผู้นี้ไม่มีทางกลัว!”
เมื่อมองดูที่ความมั่นใจของเจ้าหญิงน้อย ทหารองครักษ์ก็มองนางด้วยความชื่นชมและทุกคนต่างยืนตัวตรง พวกเขาภูมิใจที่ได้เป็นนักรบของตระกูลลูซิเฟอร์ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดของนางนั่น ก็เพียงเพื่อต้องการอาหารเท่านั้นเอง
อลิซมีความสุขที่ทุกคนชื่นชมนางและก็ได้เดินไปที่ห้องทดลองของอัลดาซอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
เมื่อพวกเขามาถึงห้องแล็บ แซลลี่ก็ได้ทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็วเมื่อมันเห็นพวกเขา เฉินรุยได้รู้จากปากของแซลลี่ว่าในตอนนี้อาจารย์อัลดาซมีเหตุฉุกเฉินและไปที่พระราชวังเพื่อพูดคุยกับเจ้าหญิงเชีย
ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าปีศาจตัวน้อย เฉินรุยจึงไม่ต้องคอยมากังวลเรื่องของเคียและอาเธน่าเองก็ช่วยด้วยเช่นกัน แต่เพราะอาเธน่านั้นไม่มีฝีมือ จึงทำให้เหมือนกับนางเป็นอุปสรรคมากกว่า ส่วนอลิซที่เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายก็ได้หยิบหมุดไพ่เดี่ยวที่อัลดาซวางไว้บนโต๊ะมาเล่น เฉินรุยเองก็คิดว่าหมากรุกชุดใหม่ที่แสนสวยงามก็คงหนีไม่พ้นมือนางและเขาก็คงจะไม่สามารถช่วยเหลืออาจารย์ของตนเองได้แน่
หลังจากเวลาผ่านไป เฉินรุยก็ทำมันเสร็จเสียที
อลิซที่ได้กลิ่นหอมก็เบิกตาของนางกว้างขึ้นขณะที่เห็นนางมองหม้อไฟขนาดใหญ่บนโต๊ะที่มีไฟลุกอยู่เบื้องหน้า นางก็ได้ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย“กลิ่นหอมมากเลย! นี่คืออะไรกัน?”
“นี้เรียกว่าหม้อไฟ มาลองดูสิ” เฉินรุยพูด เขาบอกให้แซลลี่นำช้อนส้อมออกมามอบให้กับทุกคน จากนั้นเขาก็ได้ใส่เนื้อหั่นบางๆและเครื่องเคียงลงในหม้อ หลังจากได้ทำบาร์บีคิวมาก่อนหน้านี้ เขาก็รู้จักเครื่องปรุงทั่วไปในอาณาจักรปีศาจเหมือนหลังมือของเขาเลย นั่นเป็นเพราะมีคนตะกละอย่างอลิซผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปทุกอย่าง แม้ว่าส่วนผสมและเครื่องปรุงรสที่นี่ไม่ได้มีมากมายเหมือนกับในชีวิตก่อนหน้าของเฉินรุย แต่ก็พอมีเครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์หลายอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากโลกก่อนเช่นเดียวกัน
อลิซสังเกตเฉินรุยและพยายามเรียนรู้ นางต้องการที่จะใช้ตะเกียบคีบเนื้อสัตว์ แต่นางก็ไม่สามารถเข้าใจการใช้งานตะเกียบโฮมเมดของเฉินรุยได้ ดังนั้นนางจึงใช้ช้อนตักซุปออกมาแล้วใส่เข้าไปในปากของนาง
"ว้าวมันร้อนมาก! เผ็ดมากด้วย!” อลิซนั้นร้องอุทานออกมาวะเกินจริง แต่มือของนางก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก ทั้งนาง อาเธน่าและเคียต่างก็ตกหลุมรักหม้อไฟนี้
“อย่ารีบนักสิ นางสามารถเพิ่มส่วนผสมระหว่างทานได้ด้วยนะ” เฉินรุยส่งผักกาดหอมไปให้อลิซ ทันใดนั้นเขาก็เห็นแซลลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างน้ำลายไหล แต่เขาก็ไม่เข้ามากินด้วยและก็ทำท่าแสดงความเคารพอยู่อย่างนั้น เฉินรุยจึงพูดขึ้นมาว่า "เจ้ากำลังรออะไรอยู่ มากินด้วยกันสิ!"
“แซลลี่ผู้นี้สามารถกินได้ด้วยงั้นเหรอ?” แซลลี่นึกว่าเขาจะฟังผิดไป เขาใช้เวลานานมากกว่าจะตอบกลับไป พอลองคิดถึงภาพที่เขาถูกรังแกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดวงตาของเขาก็เริ่มมีน้ำไหลออกมา โอ้ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่และแสนใจดี เขาคงเป็นของขวัญจากพระเจ้าแห่งมาร! แม้จะไม่มีสัญญา แต่แซลลี่ผู้นี้จะไม่หักหลังผู้เป็นเจ้า! เว้นแต่ ... จะมีเหรียญคริสตัลสีดำร้อยเหรียญอยู่ตรงหน้าข้า! ไม่สิต้องสองร้อย!
เฉินรุยไม่ได้มีทักษะ“<การอ่านใจ> ของอลิซ” ดังนั้นเขาจะไม่รู้ว่าในใจของแซลลี่กำลังคิดอะไรอยู่ เขาได้เพิ่มส่วนอาหารให้คนรับใช้ของเขาเล็กน้อย ซึ่งนั้นทำให้ในใจของแซลลี่ได้ต่อรองเพิ่มราคาตัวเองไปเป็นสี่ร้อย
ด้วยแนวคิดที่หยั่งรากลึกในจิตใจของเขา ทำให้แซลลี่ไม่กล้าที่จะกินบนโต๊ะเดียวกันกับราชวงศ์อย่างอลิซ เขาหยิบชามมานั่งที่มุมห้องแล้วเริ่มกิน เขารู้สึกว่านี้เป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมาทั้งชีวิตเลย
หลังจากกลืนทุกอย่างไปแล้ว อลิซก็ได้สัมผัสท้องกลมของนางอย่างพึงพอใจและมองไปที่เฉินรุยพร้อมกับชมเชย “เฉินรุย เจ้าไม่เลวจริงๆ ข้าตัดสินใจแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นมือขวาของข้า!”
เสียงนี้ดังก้องกังวานไปทั่วห้องทดลองและกระทั่งทำให้ข้ารับใช้ด้านนอกรู้สึกตกใจด้วย
โชคยังดีที่นางไม่ได้บอกว่าเขาเป็นของเล่นของนาง ความหมายมันแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน
ต้องบอกเลยว่า หากเขาได้เป็นของเล่นของอลิซจริงๆ เขาคิดว่าตัวเองคงจะได้เลื่อนตำแหน่งจากเจ้าหญิงให้กลายเป็นขันทีอย่างแน่นวล
“นี้เป็นเกียรติอย่างสูงเลยนะ” อลิซนับนิ้วของนางแล้วพูดขึ้นมา "มือขวาของข้าจะอยู่กับข้าตลอดเวลา ทุกๆวันเจ้าจะต้องเล่าเรื่องและทำอาหารให้ข้า ซึ่งเจ้าจะต้องส่งเหรียญคริสตัลครึ่งหนึ่งของเจ้ามาให้ข้า ถ้าข้ากินอะไรไป เจ้าก็จะต้องจ่ายด้วย"
นั่นมันแย่กว่าการเป็นทาสเลยไม่ใช่หรือไง? เหงื่อเย็นๆของเขาได้ไหลออกมาและเขาก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว“ข้าเป็นคนที่มีเกียรติเสมอและไม่เคยประจบประแจงใคร สมควรที่จะเป็นผู้อื่นที่ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้”
อาเธน่าเองก็มาพูดช่วยกับเฉินรุยพร้อมกับใส่ “ยาแก้พิษ” ลงในหม้อไฟแล้วบอกว่าเป็นเครื่องเทศ อลิซไม่ได้สงสัยอะไรเลยและนางก็กินไปเยอะมาก รวมถึงเคียด้วย ในที่สุด อาเธน่าก็รู้โล่งใจและนางก็ชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเพื่อนมนุษย์ของนางคนนี้ นางจึงพูดขึ้นมาว่า“อลิซ เลิกเล่นกันได้แล้ว เราจะกินหม้อไฟและรีบกลับกันไปดีกว่า”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนกับเจ้ามักจะอยู่ข้างเขาเสมอเลยนะ” อลิซมองไปที่อาเธน่าอย่างใคร่สงสัยและจ้องมองไปที่เฉินรุย“ใช่แล้ว ที่ประตูเมืองเจ้าบอกว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นเพื่อนของเจ้างั้นหรือ?”
ใบหน้าของอาเธน่าร้อนขึ้นเล็กน้อยและนางก็ยอมรับอย่างเปิดเผย“ใช่ แม้ว่าข้าจะไม่ได้รู้จักเขานานนัก แต่ข้าคิดว่าเฉินรุยสมควรเป็นเพื่อนของข้ามากกว่าคนขี้กลัวอลัน!”
“อืม เฉินรุยเองก็เล่าเรื่องที่แสนสนุกและทำอาหารได้อร่อยอีก” อลิซนึกขึ้นแล้วเอียงศรีษะพร้อมกับพยักหน้า“เพราะเขาเป็นเพื่อนของอาเธน่า ดังนั้นเขาเองก็ถือว่าเป็นเพื่อนของข้าเช่นกัน”
เฉินรุยไม่ได้พูดอะไรเลยกับหลักการของอลิซ จากนั้นอลิซก็ได้เดินมาและตบไหล่ของเฉินรุยเหมือนกับรุ่นพี่ในสโมสรกีฬา "จากนี้ไป ถ้าใครมารังแกเจ้าก็ให้เอ่ยชื่อของข้าให้พวกเขาฟังซะ แล้วก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าเลย ยกเว้นว่าข้าจะเป็นคนรังแกเจ้าเอง ... ”
ในขณะนั้นเอง อัลดาซก็ได้โผล่มาที่ทางเข้าห้องทดลอง
"อาจารย์!" เฉินรุยก้าวไปข้างหน้า“มาลองนี้ดูสิครับ”
ดาร์คเอลฟ์ไม่ได้ส่ายหัวและไม่พูดอะไรเลย จากนั้นเอง เฉินรุยก็สังเกตุว่าอารมณ์ของอัลดาซตอนนี้ทั้งเศร้าหมองและดูจริงจังมาก