บทที่ 14 บุคคลที่นับถือ
บทที่ 14 บุคคลที่นับถือ
หลังกินซุปหม่าล่าริมฝีปากของเฉินฉีก็แดงเถือกเพราะความเผ็ดร้อนที่ได้รับ หลินถงซูมองเขาด้วยสายตารังเกียจแต่กลับถูกเขาล้อเลียน “ผมรู้น่าว่าผมหล่อ แต่คุณไม่ต้องจ้องผมตลอดเวลาก็ได้”
หลินถงซูทุบแขนเขาขณะโต้กลับ “คุณรู้ไหมว่าตอนอยู่ในร้านฉันกลัวแค่ไหน ฉันกังวลมากว่าเธอ...” เธอเหลือบมองเกาเสี่ยวฮุ่ยที่นั่งอยู่บริเวณเบาะหลัง “ฉันกลัวมากว่าผู้ต้องสงสัยจะวิ่งหนี!”
“โอเค! โอเค คราวหน้าผมจะตัดสินใจส่ง ๆ แบบนี้อีก”
บนถนนระหว่างทางกลับไปยังสถานีตำรวจ หลินถงซูได้รับโทรศัพท์ถึงสามสายเพื่อเร่งให้เธอรีบกลับไปโดยเร็ว เพราะหลินชิวผูอดกังวลไม่ได้ว่าระหว่างทางอาจเกิดอันตรายขึ้นกับน้องสาวของเขาจนผิดแผน
ครึ่งชั่วโมงต่อมารถจึงเคลื่อนไปจอดเทียบอยู่บริเวณหน้าสถานีตำรวจ หลินชิวผูและเจ้าหน้าที่อีกหลายคนซึ่งยังไม่มีข้าวมื้อกลางวันตกถึงท้องต่างออกมารอจ่อหน้าประตู ทันใดนั้นหลินถงซูจึงเข้าใจเจตนาของเฉินฉี ‘หมอนี่คงต้องการถ่วงเวลาให้ทุกคนกระวนกระวายนั่งไม่ติดเพื่อจะแก้เผ็ดแน่ ๆ’
รถจอดสนิท หลินถงซูและเฉินฉีเปิดประตูลงจากรถพร้อมกัน หลินชิวผูตรงเข้าไปหาขณะที่ดวงตาจับสังเกตถึงความผิดปกติ จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็นชาเมื่อเห็นคนที่เขาไม่ชอบหน้า “กระแสน้ำเปลี่ยนทิศแต่ภูเขาไม่เคยเปลี่ยนตำแหน่ง* คุณเฉิน จะไม่พูดถึงความรู้สึกเมื่อถูกเชิญมาสถานีเป็นครั้งที่สองหน่อยเหรอ? เข้าไปในห้องสอบสวนและพูดคุยกันสักหน่อยเป็นไง!”
* กระแสน้ำเปลี่ยนทิศแต่ภูเขาไม่เคยเปลี่ยนตำแหน่ง = สำนวนแปลความหมายได้ว่าแม้บางสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่อีกสิ่งกลับเหมือนเดิมทุกประการ
เฉินฉีแสดงท่าทียียวนพร้อมชี้ไปที่รถ “บางทีคุณอาจได้เวลาตัดแว่นแล้วนะผู้กองหลิน ยังมีอีกคนนั่งอยู่ในรถ คุณมองไม่เห็นหรือยังไงกัน?”
หลินชิวผูมองเข้าไปในรถตามที่เขาว่าก่อนจะหันไปมองหลินถงซูด้วยความไม่เข้าใจ หลินถงซูเห็นดังนั้นจึงรีบชี้แจง “ผู้กองหลิน นั่นคือผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรในคดีนี้ตัวจริง เธอสารภาพทุกอย่างหมดเปลือกแล้ว!”
“แต่... ทำไมถึงเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะ? คุณได้บันทึกเสียงขณะทำการสอบสวนเอาไว้ไหม?”
“โอ้! เอ่อ... ไม่เลย...” หลินถงซูตอบไม่เต็มเสียงนัก
เฉินฉีรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาและพูดขึ้น “ผมบันทึกเอาไว้หมดแล้ว เดี๋ยวจะส่งให้คุณเอง”
“ว้าว! คุณนี่รอบคอบเรื่องรายละเอียดพวกนี้จริงเชียว!” หลินถงซูชื่นชมเขา
“หมายความว่าไง? คุณสองคนไปไขคดีด้วยกันมาเหรอ?” หลินชิวผูหันไปหาหลินถงซูทันที “ทำไมคุณถึงมาอยู่กับหมอนี่ได้?”
เฉินฉีจงใจเพิกเฉยต่อท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกนอกหน้าว่ามองตัวเองเป็นศัตรู “คดีนี้ไขได้ก็เพราะคุณหลิน ผมมีโอกาสช่วยเหลือเธอแค่นิดหน่อย ผู้กองหลิน ผมคิดว่าคุณมักจะละเลยความสามารถของน้องสาวคุณอยู่เสมอ ความจริงแล้วสัญชาตญาณความกระตือรือร้นของเธอเฉียบคมไม่แพ้ใครเลย ผมบอกไว้ตรงนี้ว่าหลังปิดคดีได้แล้วคุณควรมองน้องสาวของคุณซะใหม่”
ใบหน้าของหลินถงซูเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเมื่อได้รับการชื่นชมที่ดูจะเกินจริงไปสักหน่อย ส่วนหลินชิวผูตกตะลึงไม่น้อยและหันไปหาเธออีกครั้ง “เธอไม่ฟังคำสั่งจากฉันและทำคดีนี้โดยพลการได้ยังไงกัน?”
“ไม่แล้วค่ะ! จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก!” หลินถงซูพูดยิ้ม ๆ
“ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เตรียมรับข้อลงโทษได้เลย!” หลินชิวผูขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ดี งั้นส่วนที่เหลือให้พวกคุณไปจัดการต่อเองก็แล้วกัน รีบควบคุมเธอออกไปจากรถทีเถอะ ผมต้องรีบไปทำงานต่อ” เฉินฉีเปิดประตูรถ “โอ้ จริงสิ ถ้าพวกคุณจะให้เรียกผมมาเป็นพยานรบกวนนัดหมายไว้ล่วงหน้าด้วยนะ เพราะงานผมค่อนข้างยุ่งน่าดูเลยล่ะ”
หลังเฉินฉีจากไปแล้วหลินชิวผูจึงเปิดไฟล์บันทึกเสียงที่อีกฝ่ายส่งให้เพื่อฟังประกอบการพิจารณาคดี ความจริงของสาเหตุทั้งหมดไม่อยู่ในการคาดเดาของเขามาก่อน ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งหนึ่งจึงหันไปถามหลินถงซู “ไหนไอ้หมอนั่นบอกว่าเขาช่วยคุณแค่นิดเดียวไง ทำไมถึงมีแต่เสียงเขาที่เป็นคนสอบสวน? ตกลงใครช่วยใครกันแน่?”
หลินถงซูเองก็นึกกระดากอายจึงไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “ถ้าฉันบอกคุณ คุณต้องเชื่อฉันนะ ที่จริงแล้วคดีนี้เขาเป็นคนไขด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดเลยค่ะ!”
“เขา? คนขับอูเบอร์เนี่ยนะ?!” หลินชิวผูนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
เกาเสี่ยวฮุ่ยให้การรับสารภาพทั้งหมด หลักฐานทุกชิ้นได้ทำการรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนและมีผลพิสูจน์ยืนยันตรงกัน ทำให้หลินชิวผูสามารถส่งมอบคดีและดำเนินการทางกฎหมายต่อไปได้อย่างรวดเร็ว สื่อรายงานข่าวดังกล่าวสู่สาธารณชนโดยใช้พาดหัวที่สะดุดตาอย่าง ‘รักสลายจนกลายเป็นเหตุสังหาร’ ‘เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด’ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้พูดถึงชื่อเฉินฉี แต่ให้เครดิตเขาไว้ในนาม ‘ด้วยการช่วยเหลือจากพลเมืองดีท่านหนึ่ง’ เท่านั้น
หลินถงซูได้รับการยกย่องจากทางสำนักงานตำรวจจากการทำคดีที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่หลินถงซูได้รับรางวัลอันมีเกียรติ แต่เธอก็อดรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่ได้
หลังพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติเสร็จสิ้น หลินชิวผูจึงมาพบเธอเป็นการส่วนตัวโดยที่สีหน้ามืดมนไม่สู้ดีนัก “ตามผมมาที่ห้องส่วนตัวหน่อย”
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัวของหลินชิวผู หลินถงซูเป็นฝ่ายทักทายก่อน “ผู้กองคะ จำเป็นต้องลงโทษฉันทางวินัยด้วยเหรอ? แค่เรื่องสะสางคดีโดยไม่ได้รับอนุญาตเนี่ยนะ?”
“ลงโทษทางวินัยอะไรกัน? ในเมื่อคุณทำความดีความชอบจนท่านผู้บัญชาการถึงกับลงมามองรางวัลให้ด้วยตัวเอง ถ้าผมยังลงโทษคุณอีกคนอื่นจะไม่มองว่าผมใจแคบรึ?”
“ถ้างั้นคุณเรียกฉันมาทำไมล่ะ?”
“ผมยังข้องใจอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่? แค่คนขับรถที่ไม่มีการเรียนรู้วิชาชีพสืบสวนจะไขคดีทั้งหมดแตกฉานได้ยังไง? อีกอย่างเขายัง...” หลินชิวผูเกือบหลุดคำว่าแม้แต่เขาเห็นแล้วยังรู้สึกอับอายแทบอยากลาออกไปซะ แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดจึงได้แต่กลืนคำนั้นกลับลงคอไป
“ความจริงฉันก็คิดว่าเขาคงเป็นนักสืบมืออาชีพ ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการสืบสวนคดีอาญาเข้าขั้นชั้นยอดเลยเชียว คิดด้วยซ้ำว่าเขาอาจเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรือเปล่า...”
“จะบ้าหรือไง?! คุณเคยเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบคนไหนรับจ็อบขับอูเบอร์ไหมล่ะ? แล้วการไปขุดค้นภูมิหลังของเขานี่หมายความว่ายังไงกัน? ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยไม่หาย ไม่ว่าผมจะอยู่ในฐานะหัวหน้าหรือพี่ชายของคุณก็ทนไม่ได้หรอกนะที่จะปล่อยให้คุณไปอยู่ใกล้ไอ้หมอนั่นที่ไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้าน่ะ!”
“ข้อนี้คุณมั่นใจได้เลยค่ะผู้กองหลิน ฉันแค่ตรวจสอบตัวตนของเขาเบื้องต้นเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นแอบแฝง”
หลินชิวผูยังมองเธอด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่เธอทำไม่สนใจและโค้งตัวทำความเคารพ “ฉันจะสืบหาข้อมูลของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ!”
“อีกเรื่อง...” สีหน้าของหลินชิวผูผ่อนคลายลง น้ำเสียงผ่อนลงขณะที่พูดคุยกับอีกฝ่าย “วันอาทิตย์นี้อย่าลืมไปลายเดท* ล่ะ”
*บลายเดท = การไปตามนัดเดทโดยที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
“ห๊ะ?!” ริมฝีปากของหลินถงซูอ้ากว้าง “พี่หมายถึงอะไร? บลายเดท?”
“อย่าทำเป็นไร้เดียงสาน่า ป้าของเธอจัดแจงเลือกคู่ไว้ให้เธอแล้ว พี่จะปฏิเสธได้ยังไงกัน?”
“อย่าบอกนะว่าพี่แอบหักหลังฉัน?”
“พี่จะไปหักหลังอะไรเธอ? เรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคือการแต่งงานนะ เธอไปเจอเขาแล้วก็พูดคุยตามน้ำไปนั่นแหละ”
“ง่ายขนาดนั้นทำไมพี่ไม่ไปเองล่ะ?” หลินถงซูไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัด
“น้องสาว ให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ ไล่พี่ไปบลายเดทคิดว่าชีวิตนี้พี่จะขายไม่ออกรึไง? ผู้ใหญ่เขาคงเป็นห่วงเธอเลยอุตส่าห์มีน้ำใจจัดการเรื่องนี้ให้ ถ้าปฏิเสธไม่ไปซะจะเป็นการเสียมารยาทเอาได้”
“ก็ได้” หลินถงซูถึงไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจตอบตกลง “แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอคะ? ฉันถามได้ไหม?”
หลินชิวผูหยิบกรอบรูปขึ้นมาปัดฝุ่นและเริ่มทบทวนข้อมูลที่ตัวเองรับรู้มา “พี่ได้ยินมาว่าเขาเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ จบจากนอก มีดีกรีสูงเชียวล่ะ พี่เห็นรูปถ่ายแล้วด้วย... เขาก็ดูดีอยู่นะ”
“เขาหล่อเท่าพี่หรือเปล่าล่ะ?”
หลินชิวผูเพิ่งยิ้มออก “เรียกว่าคนละสไตล์ดีกว่า”
หลินถงซูยิ้มออกเช่นกัน สายตาเหลือบมองกรอบรูปในมือของพี่ชายแล้วจึงตั้งคำถาม “อ๊ะ จริงสิ ฉันนึกอยากถามเรื่องนี้แต่ก็ลืมตลอดเลย ทำไมพี่ต้องวางรูปผู้ชายคนนี้ไว้บนโต๊ะทำงานตลอดด้วยล่ะคะ? อย่าบอกนะว่าพี่...”
หลินชิวผูเบ้ปาก “เหลวไหล! นี่คือไอดอลของพี่ต่างหาก เขาเป็นตำรวจ”
“เหรอคะ?” หลินถงซูจ้องภาพนั้นอีกครั้ง ผู้ชายในรูปควรอายุประมาณยี่สิบไม่เกินสามสิบปี แต่งกายด้วยเสื้อแจ็กเกตกันลม สองมือยกขึ้นเท้าเอว รอยยิ้มที่ส่งให้กล้องเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ “เขาคือใครคะ?”
“เขาชื่อซ่งหลาง เป็นรุ่นพี่ของพี่อีกทีหนึ่ง ตอนที่พี่เริ่มทำงานเป็นตำรวจเธอยังเรียนชั้นมัธยมต้นอยู่เลยมั้ง เลยไม่รู้ว่าเขาคนนี้มีชื่อเสียงฉกาจฉกรรจ์ในวงการแค่ไหน ไม่ว่าคดีใดที่ผ่านมือไม่เคยมีแม้แต่คดีเดียวที่เขาไม่สามารถไขได้ หลายคนเรียกขานว่าเขาเป็นอัจฉริยะยอดนักสืบแห่งเมืองหลงอัน ในบรรดาพวกที่เป็นตำรวจมาตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปไม่มีใครไม่รู้จักเขา มหาวิทยาลัยหลายที่ต้องการจ้างเขามาเป็นวิทยากรพิเศษ แต่เขาค่อนข้างถ่อมตัวจึงปฏิเสธไปทุกราย”
“ตอนฉันอยู่ที่หลงอันทำไมถึงไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยล่ะ? เขาถูกย้ายไปประจำการที่อื่นใช่ไหมคะ?” หลินถงซูคาดเดา
หลินชิวผูส่ายหน้า “เปล่า เขาหายตัวไป”
“มีบางคนพยายามตามล่าเขาเหรอ?”
“เรื่องนั้นพูดยาก ใครบางคนบอกว่าเขาฆ่าเพื่อนร่วมงาน ตอนที่บุกเข้าไปจับกุมเขาไปพี่ก็ไปด้วย แต่พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ที่พี่วางรูปเขาไว้บนโต๊ะก็เพื่อเตือนใจตัวเอง หวังว่าสักวันพี่จะเก่งกาจให้ได้แบบเขา” หลินชิวผูไล้นิ้วมือไปตามกรอบรูปด้วยความอาวรณ์ ร่องรอยความเศร้าปรากฏชัดในแววตา
หลินถงซูจับจ้องไปยังรอยยิ้มของชายในภาพที่เธอไม่รู้จัก จู่ ๆ ก็เกิดความคิดประหลาดขึ้น ทำไมเธอถึงคุ้นตากับท่าทางแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยนะ?