บทที่ 13 เพื่อนสนิท
บทที่ 13 เพื่อนสนิท
หลังเฉินฉีพูดจบเกาเสี่ยวฮุ่ยก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป เธอผุดลุกขึ้นยืนพร้อมตวาดเสียงดังลั่น “พวกคุณรวมหัวกันใส่ร้ายฉัน! ทั้งหมดนั้นก็แค่การคาดเดา อีแค่เสื้อตัวเดียวจะพิสูจน์อะไรได้?! ไม่ว่ายังไงก็เถอะแต่ฉันมีหลักฐานว่าในคืนนั้นฉันกำลังทำอะไรอยู่!”
ว่าแล้วเกาเสี่ยวฮุ่ยก็หยิบใบเสร็จรับเงินจากร้านอาหารส่งให้เฉินฉีอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย “เอกสารชิ้นนี้ใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายไม่ได้หรอก นอกซะจากจะมีอีกฝ่ายเป็นผู้ยืนยัน คุณติดต่อเพื่อนที่ไปกินมื้อนี้กับคุณในวันนั้นให้มาเป็นพยานได้ไหมล่ะ?”
เกาเสี่ยวฮุ่ยรู้สึกกระวนกระวายใจและหมดหนทางจะหาเรื่องมาหักล้างคำพูดของเฉินฉีอีก เธอพยายามกลบเกลื่อนมือของตัวเองที่เริ่มสั่นสะท้าน
“ความจริงหลักฐานไม่ได้มีเท่านี้” เฉินฉีอธิบายให้ความรู้กับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “บางทีคุณอาจไม่รู้ แต่นิสัยโดยแท้ของกู้เหมิงซิงไม่ใช่คนดีเด่อะไรมากมาย แฟนของเธอจึงตั้งเครื่องติดตามไว้กับโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะดูว่าเธอนอกลู่นอกทางหรือเปล่า ประจวบเหมาะกับที่คุณถือโทรศัพท์ของเธอและร่อนไปแถวบริเวณที่เกิดเหตุถึงสองครั้ง ไหนจะภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม และยังมีพยานอีกปากที่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้” เฉินฉีชี้นิ้วเข้าหาปลายจมูกตัวเอง “ซึ่งคนคนนั้นก็คือผมเอง! หลักฐานทั้งสองอย่างนั้นเพียงพอที่จะชี้ชัดได้แล้วว่าผู้ก่อเหตุคือใคร หรือถ้าตรวจสอบข้อมูลจากทางโรงพยาบาลเพิ่มเติมอีกก็จะรู้เพิ่มเติมว่ามีตัวยาอีเธอร์หายไปจากคลังยาโดยไม่ทราบบันทึกที่แน่ชัด เป็นแบบนี้คุณมีอะไรจะแก้ตัวอีกรึ? หมอเกา?”
เกาเสี่ยวฮุ่ยรู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตนอ่อนยวบ เธอทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นสั่นไหว หลินถงซูเตรียมจะคว้ากุญแจมือออกเพื่อจับกุมแต่เฉินฉีส่งสัญญาณห้ามไว้เสียก่อน
เฉินฉีเฝ้ารอต่อไปอย่างเงียบเชียบ ฉับพลันท่าทีของเกาเสี่ยวฮุ่ยก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน เธอขบริมฝีปากครั้งหนึ่งขณะเงยหน้าขึ้น “นังแพศยานั่นสมควรตายแล้ว! มันแย่งแฟนซึ่งควรจะเป็นของฉันไป”
เฉินฉีกระตือรือร้นและให้ความสนใจมากขึ้น เขาขยับเก้าอี้เข้าใกล้หล่อนอีกนิดพร้อมตั้งคำถาม “คุณก็เล่นเกมนั้นด้วยเหรอ?”
“ฉันกับเฉินจุนเจอกันครั้งแรกในเกม เราสองคนคุยกันผ่านแชทมาโดยตลอด จนวันหนึ่งเขาก็เสนอว่าเราสองคนควรมาพบหน้า ตัวฉันไม่เคยมีประสบการณ์นัดเจอใครในโลกอินเทอร์เน็ตมาก่อนเลยพากู้เหมิงซิงไปด้วย เฉินจุนมาตามนัดจริง ฉันและเหมิงซิงแอบดูเขาอยู่ไกล ๆ และรู้สึกถูกตาต้องใจเขามาก แต่แล้วนังสำส่อนนั่นกลับบอกว่าปวดท้องกะทันหันและลากฉันออกไปซะก่อน...”
“ไม่กี่วันต่อมาฉันคุยกับเฉินจุนในเกมอีกครั้งเรื่องการนัดหมายที่ล่มไปเพราะเหตุสุดวิสัย แต่เขาบอกว่าเราสองคนก็ได้เจอกันแล้วนี่นา ถึงขั้นนี้ฉันถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไปพบกู้เหมิงซิงและคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ แน่นอนว่าครั้งแรกมันปฏิเสธ แต่แล้วก็ปิดบังความจริงไว้ไม่ได้เลยสารภาพตามตรงว่ามันน่ะเล็งเฉินจุนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งยังไปพบเขาและบอกว่าตัวเองเป็นฉัน เป็นคนที่เขาคุยด้วยในเกม และสิ่งที่ทำให้ฉันโกรธจนเลือดเดือดพล่านยิ่งกว่าคือเขาสองคนขึ้นเตียงด้วยกันเรียบร้อยแล้ว!”
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะแย่งคนของฉันไปได้อย่างหน้าด้าน ๆ ไม่สิ... ที่จริงแล้วฉันเองก็พอรู้มาบ้างว่าคนอย่างนางน่ะขาดผู้ชายไม่ได้ และฉันเองก็ไม่ใช่คนที่จะกินของเหลือเดนต่อจากคนอื่น นึกแล้วก็ยังโกรธไม่หาย หลังจากนั้นฉันก็ติดต่อกับนังนั่นน้อยลง แต่กลายเป็นนางที่เอาแต่ติดต่อหาฉันอยู่เรื่อย คล้ายจะยั่วให้ฉันอิจฉาที่นางกับเฉินจุนไปกันได้ดี ส่วนฉันก็นึกอยู่ตลอดว่านางสมควรถูกเขาจับได้และแทงให้ตาย ๆ ไปซะ”
“ฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงจบเพียงเท่านี้ ไม่คิดเลยว่าคนไข้ที่มาพบฉันเมื่อประมาณสามเดือนก่อนจะเป็นเฉินจุน ผลตรวจที่ออกมาคือเขาเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์! ฉันช็อกมาก และสาเหตุก็คงจะเป็นเพราะนังสารเลวคนนั้นแน่ ๆ ฉันเริ่มสืบเรื่องราวและพบว่าลางสังหรณ์ถูกเผง นางยังไม่ทิ้งนิสัยมั่วเซ็กส์กับชายอื่นและนำเชื้อนั่นไปแพร่ให้กับเฉินจุนซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าควรสงสารหรือสมน้ำหน้า แต่เฉินจุนเป็นคนดี สุขภาพที่ดีของเขาไม่ควรถูกพรากไปเพราะนังผู้หญิงร่านคนนั้นที่ไม่รู้เอาซะเลยว่ามีเพชรแท้อยู่ในมือตัวเอง!”
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้เกาเสี่ยวฮุ่ยจึงซบใบหน้าตนเองลงกับฝ่ามือด้วยท่าทีราวรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ขณะที่เฉินฉียังถามต่อไป “เพราะงั้นคุณเลยทุ่มเทเวลาหลังจากนั้นเพื่อวางแผนฆ่ากู้เหมิงซิงซะ?”
“ใช่!” เกาเสี่ยวฮุ่ยตอบรับทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้น “กระบวนการทั้งหมดถูกต้องตามที่คุณบอกมาทุกประการ ฉันคิดว่าฉันวางแผนทุกอย่างมาดีแล้ว ทำไมคุณถึงอ่านออกอย่างละเอียดยิบขนาดนี้กัน?”
“คุณคิดว่าแผนการของคุณเพอร์เฟกต์นักหรือไง? ไม่เลย... มันมีแต่ข้อบกพร่องเต็มไปหมด”
“ฉะ... ฉันจะถูกตัดสินโทษประหารชีวิตไหม? ฉันยังไม่อยากตาย! ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ” เกาเสี่ยวฮุ่ยเริ่มร้องไห้
“เรื่องนั้นผมเองก็ให้คำตอบไม่ได้ แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องชดใช้ในเรื่องที่ตัวเองคิดลงมือฆ่าคน ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผลที่จะตามมาด้วย ผมเห็นใจในสิ่งที่คุณถูกกระทำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนการกระทำของคุณหรอกนะ การฆ่าคนเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดแล้วสำหรับการแก้ไขปัญหา”
เฉินฉีลุกขึ้นยืนพร้อมโบกมือให้หลินถงซูจัดการ
หลินถงซูสูดลมหายใจเข้าลึก เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฆาตกรตัวจริงจะถูกจับกุมภายในวันนี้ และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตการเป็นตำรวจที่เธอได้ใส่กุญแจมือจับกุมฆาตกร ความภาคภูมิที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจมากเสียจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด
ขณะเดียวกันนั้นเอง เกาเสี่ยวฮุ่ยกลับผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหันและออกแรงผลักหลินถงซูไปให้พ้นทาง ก่อนจะคว้าเอาเข็มฉีดยาออกมาจากลิ้นชักหมายจ้วงแทงเข้าที่ต้นขาของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
เฉินฉีตอบสนองอย่างรวดเร็วและรีบเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ทันเวลา เขาจับข้อมือของเธอบิดไปอีกทางจนเข็มฉีดยาร่วงตกพื้น กลิ่นตัวยาขมปร่าจากในหลอดที่หกออกฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอและพยายามพูดปลอบโยน “ฟังนะ จากมูลเหตุจูงใจทั้งหมดบางทีคุณอาจไม่ถึงขั้นต้องโทษประหารชีวิต ดังนั้นถ้าคุณพยายามสู้คดีอย่างเต็มที่ บางทีอาจมีโอกาสที่คุณจะได้กลับมาเห็นท้องฟ้าอีกครั้ง”
เกาเสี่ยวฮุ่ยร้องไห้ขณะคร่ำครวญ “ต่อให้ฉันมีโอกาสออกมาเห็นท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ถึงเวลานั้นฉันคงแก่หง่อมกลายเป็นหญิงชราไปแล้ว! ชีวิตของฉันพังพินาศไปหมด! ฉันยังไม่เคยได้สัมผัสความรักจากใครสักคนแม้แต่ครั้งเดียว...”
พูดไปเธอก็ร้องไห้ไปจนตัวโยน เฉินฉีดึงตัวเธอเข้ามากอดทันทีพร้อมตบไหล่เบา ๆ เป็นการปลอบประโลม
ฉากตรงหน้าทำให้หลินถงซูนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ตระหนักว่าเฉินฉีกำลังส่งสายตาให้เธอยื่นกุญแจมือมาให้เขาจัดการแทน เขารับกุญแจมือมาล็อกข้อมือเกาเสี่ยวฮุ่ย ซึ่งครั้งนี้เธอยินยอมแต่โดยดี เขาสาธยายต่อ “ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของพวกเขา นี่เป็นทางที่คุณเลือก เพราะฉะนั้นอย่าเอาแต่โทษฟ้าโทษดินหรือคนอื่นไปเลย อีกอย่างถ้าคุณอยากฆ่าตัวตายจริงละก็ ยังมีวิธีอีกมากเลยล่ะหลังจากที่คุณเข้าคุกไปแล้ว”
“เฮ้!” หลินถงซูหลุดปากตะโกน ‘ไอ้บ้านี่พูดอะไรที่ขาดความรับผิดชอบแบบนี้ออกมาได้ยังไง?!’
เฉินฉีหยิบเสื้อโค้ตขึ้นคลุมข้อมือของเกาเสี่ยวฮุ่ยไว้เพื่อปกป้องชื่อเสียงในหน้าที่การงานของเธอ หลังจากเธอพอตั้งสติยอมรับได้แล้วจึงหันหน้าไปถามเขา “คุณเป็นใครกัน?”
“ผมเป็นแค่คนขับรถธรรมดาที่รักความยุติธรรม” เฉินฉีตอบพร้อมส่งยิ้มให้
ทั้งสามก้าวขึ้นรถ หลินถงซูรู้สึกตื่นเต้นมากจนเกือบควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีทางขอบคุณเฉินฉีต่อหน้าฆาตกรอย่างเด็ดขาด ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เป็นหลินชิวผูที่โทรมาตามหาเธอ “ถงซู คุณหายไปไหนน่ะ? เมื่อเช้านี้ก็ไม่ได้ตอกบัตรเข้างาน อย่าบอกนะว่าแอบไปทำคดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมอีกแล้ว? เราคุยเรื่องนี้ตั้งกี่ครั้งแล้ว? เอ่อ... ในฐานะตำรวจน่ะ”
“พี่คะ! ฉันจับผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมได้แล้ว!”
ด้านปลายสาย หลินชิวผูตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่หลินถงซูใช้ นี่ใช่หลินถงซูคนเดียวกันกับยัยน้องสาวตัวแสบที่ไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ ในเวลางานสักครั้งหรือเปล่าเนี่ย?!
เขารีบถามกลับ “เธอจับได้อีกแล้วเหรอ?”
“อย่าใช้คำว่าอีกครั้งสิ คราวนี้เป็นฆาตกรตัวจริง! พี่มั่นใจได้เลย หลักฐานอะไรก็มีครบ”
“แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ฉันจะกลับไปที่สถานีเร็ว ๆ นี้ พี่เตรียมตัวสอบสวนพวกเขาได้เลย”
หลินชิวผูไม่ได้วางสายทันทีและไม่วายกำชับเธออีกครั้ง “ครั้งนี้อย่าพลาดอีกล่ะ!”
หลังวางสายเฉินฉีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที หลินถงซูถลึงตาขณะถามกลับ “คุณหัวเราะอะไร?!”
“คิดแล้วก็ตลกขึ้นมาน่ะ ว่าถ้ากลับไปหาพี่ชายของเธอรอบนี้แล้วเขาจะมีปฏิกิริยายังไง”
พูดจบแล้วเขาจึงหันกลับไปถามเกาเสี่ยวฮุ่ยซึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลัง “หมอเกา ก่อนเข้าไปที่สถานีตำรวจคุณมีความปรารถนาสุดท้ายไหม?”
เกาเสี่ยวฮุ่ยเหมือนทำใจยอมรับชะตากรรมของตนได้แล้ว เธอส่งยิ้มอ่อนแรงพร้อมตอบกลับ “ฉันอยากกินซุปหม่าล่าที่ร้านโจววั่ง”
“โอ้! ดีเลย ผมเองก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ไปกันเถอะ!” เฉินฉีสตาร์ทรถและออกตัวทันที
“นี่! อย่าตัดสินใจโดยพลการแบบนี้สิ!” หลินถงซูร้องด้วยความตระหนก