819-820
Ep.819
“ข้าตกลง!”
ฉีมู่เฟิงกล่าวเสียงเล็ดลอดผ่านไรฟัน
ในหัวใจซูเฉินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แทบอดใจรอไม่ไหว รีบพูดว่า “งั้นพวกเราออกไปข้างนอกก่อน แล้วค่อยประมือกัน”
ในเมืองเยว่กวงไม่อนุญาตให้ต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนขั้นสูง และซูเฉินไม่ต้องการแหกกฏของที่นี่
“ช้าก่อน ข้ายังมีอีกสองคำขอ” ฉีมู่เฟิงตัดบท
สองคำขอ?
ท่าทีของซูเฉิน แสดงออกชัดว่าไม่พอใจ แต่ยังคงอดทนแล้วเอ่ยถามว่า “ลองพูดมา”
ฉีมู่เฟิงกระแอม กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้อแรก ถ้าข้าชนะ เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบหินพลังงานให้ข้า ขอแค่ยอมคืนหุ่นเชิดระดับเทวะและของเหลวแก่นชีวิตมาก็พอ”
“ข้อสอง หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้ายินดียอมบอกที่ตั้งของสองเขตแดนลับ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องพาข้าไปด้วย”
“ได้สิ”
ซูเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีทางอยู่แล้วที่ฉีมู่เฟิงจะเอาชนะเขา หรือก็คือสุดท้ายเป็นเขาที่กำไรอยู่ดี
ส่วนเรื่องขอร่วมเดินทางไปเขตแดนลับ มันเป็นเรื่องดีสำหรับซูเฉินเช่นกัน เพราะอย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขตแดนลับทั้งสองแห่งนี้มีอยู่จริง
ได้ยินน้ำเสียงและท่าทีในการตอบคำถามที่ดูไม่กังวลใดๆของซูเฉิน ฉีมู่อวี้อดกังวลขึ้นมาไม่ได้
ชื่อเสียงของผู้คน ก็เฉกเช่นเดียวกับร่มเงาของต้นไม้ มีข่าวลือว่าชนชั้นระดับเทวะเคยเข้ามาในทวีปเผ่ามนุษย์ และร่วมมือกันกำราบซูเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
นี่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของซูเฉิน เอาจริงๆเธอถึงขั้นคิดด้วยซ้ำ ว่าในทวีปแผ่นดินใหญ่ ซูเฉินคือการดำรงอยู่อันคงกระพัน ไม่มีใครเป็นคู่มือเขาได้อีกแล้ว
หากคิดกำจัดซูเฉิน เกรงว่าคงต้องเผชิญหน้ากันในมิติภายนอกเท่านั้นจึงจะทำได้ ซึ่งเวลานี้ฉีมู่เฟิงยืนกรานจะประมือกับซูเฉินในทวีปมนุษย์ เธอคิดว่ามีแนวโน้มสูงที่เขาจะตกหลุมพรางซูเฉิน
แต่เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่สามารถหยุดมันได้อีก ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ
ต่อมา กลุ่มของซูเฉิน พากันออกจากเมืองเยว่กวง ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ก็ค้นพบสถานที่ที่ไร้ผู้คนและหยุดเดิน
เนื่องจากกำลังจะเกิดการดวลกันระหว่างผู้แข็งแกร่งขั้น 10 ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องยากจะจินตนาการ ระดับฐานฝึกตนของตันหลินและคนอื่นๆอ่อนแอเกินไป ซูเฉินกังวลว่าทุกคนอาจได้รับผลกระทบ เลยรวบทั้งหมดเข้าไปใน [มิติสันโดษ]
“ซูเฉิน กระบี่ไร้ตา เจ้าอาจบาดเจ็บได้ทุกเมื่อ จงระมัดระวังตัวด้วย”
ก่อนเริ่มลงมือ ฉีมู่เฟิงเตือน
ซูเฉินรู้สึกได้ ว่าประโยคนี้ไม่ได้เอ่ยเพราะความจองหอง แต่มันเกิดจากความปรารถนาดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม้รับฟัง แต่ก็ไม่คิดทำตามอยู่ดี เพราะในทวีปแผ่นดินใหญ่ ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ เห็นได้ชัดว่าฉีมู่เฟิงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นซูเฉินจึงคิดมอบบทเรียนให้อีกฝ่าย
“ทันทีที่ฉันลงมือ ให้ออมมือคงยาก ถ้าแกรู้สึกว่าทนไม่ไหว ก็ขอให้ยอมแพ้ก่อน อย่าฝืนทำเป็นเก่ง จะได้รักษาชีวิตน้อยๆเอาไว้” ซูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง
‘อื้อหือ เจ้าหมอนี่วาจาเชือดเฉือนจริงๆ’
ฉีมู่เฟิงถึงกับอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับซูเฉินอีก
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่บรรยากาศในสนามประลองกำลังตึงเครียด อู๋หยาจื่อและคนอื่นๆมารวมตัวกัน ตั้งวงพูดคุย
“ข้าพนันว่าซูเฉินจะสามารถเอาชนะฉีมู่เฟิงได้ภายในเวลาเพียงสองนาที!” หยูจิงหยางกล่าวหนักแน่น
“ถึงอย่างไรฉีมู่เฟิงก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทวะ ข้าพนันได้เลยว่าเขาสามารถทนอยู่ได้สามนาทีเป็นอย่างต่ำ” ฉางไช่หลี่กล่าวอย่างสงบ
“แต่ข้าว่าสองนาที” หลีกุยหยางลดเวลาลง
“นั่นอาจสั้นไป ข้าพนันสองนาทียี่สิบวินาที” น่านหลีชวนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
หลังจากที่ทั้งสี่คนพูดจบ ทั้งหมดก็หันมามองอู๋หยาจื่อเป็นสายตาเดียว
“พวกเจ้าประเมินซูเฉินต่ำไป เราผู้เฒ่าขอเดิมพัน ว่าซูเฉินจะสามารถเอาชนะฉีมู่เฟิงได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งนาที” อู๋หยาจื่อกล่าวอย่างมั่นใจ
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เก็บซ่อนเสียง ดังนั้นทุกประโยคจึงส่งไปถึงหูของสองพี่น้องตระกูลฉี
“เจ้าพวกนี้จะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!” ฉีมู่เสวี่ยแสดงสีหน้าไม่พอใจ สาปแช่งด่าทอข้างในใจ
สามารถโค่นระดับเทวะได้ภายในหนึ่งนาที?
ความคิดของอู๋หยาจื่อและคนอื่นๆ–
–ช่างน่าขันสิ้นดี!
Ep.820
สีหน้าของฉีมู่เฟิงมืดมนลง ใบหน้าดูน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด
ถูกดูหมิ่นซึ่งหน้า ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
“พวกเขาเนี่ยน้า ให้ตายเถอะ” ซูเฉินถอนหายใจ หันไปพูดกับฉีมู่เฟิงว่า “พวกเขาแค่พูดความจริง ขออย่าได้ถือสา”
“...”
การแสดงออกของฉีมู่เฟิงแข็งค้างไป
พูดความจริง?
ขออย่าได้ถือสา?
นี่เจ้ากล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?
ฉีมู่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองถูกจู่โจมต่อเนื่องจนมึนเมา มิอาจฟื้นคืนสติได้เป็นเวลานาน
“เอาล่ะๆ รีบๆเริ่มซักทีเถอะ” ซูเฉินเตือน
ฉีมู่เฟิงสูดหายใจลึก ปลุกจิตต่อสู้ของตัวเอง “ได้สิ เริ่มกันเถอะ”
ขืนคุยกับซูเฉินต่อไป เกรงว่าคงโกรธตายก่อนจะได้ลงมือ
สิ้นเสียง เขาทะยานเข้าหาซูเฉิน ลอบสาบานว่าต้องโค่นซูเฉินให้เร็วที่สุดเพื่อพิสูจน์ตนเอง!
ฉีมู่เฟิงเป็นถึงระดับเทวะ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน ยามทะยานมาถึงเบื้องหน้าของซูเฉิน เจ้าตัวง้างแขนและชกออกไป
เห็นแค่เพียงกำปั้นที่สว่างไสวไปด้วยแสงดาว แฝงไปด้วยอำนาจตัดมิติ
“น่าสนใจดีนี่” ซูเฉินเฝ้ามอง ขณะเดียวกันคอยวิจารย์ จากนั้นแผ่พลังจิตเข้าสกัดกั้น
ซี่ ซี่ ซี่ …
ท่ามกลางเสียงเสียดสีรุนแรง พลังแห่งจิตวิญญาณถูกแสงดาราเฉิดฉายฉีกกระชากอย่างไม่ใยดี มีผลแค่สามารถขัดขวางเป็นระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
แต่สำหรับซูเฉิน เวลาแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขณะที่กำปั้นของฉีมู่เฟิงกำลังชกเข้ามา ฝ่ามือเขาเปล่งประกายแสงสีทองจางๆ จากนั้นสะบัดคว้าออกไป
ได้ยินเพียงเสียงปัง!ดังก้อง กำปั้นของฉีมู่เฟิงถูกกุมเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้
“พละกำลังของเจ้า …” ก่อนที่ฉีมู่เฟิงจะทันได้เอ่ยจนจบประโยค ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือกจู่โจมเข้ามา กระทั่งแสงดาราจรัสบนกำปั้น ภายใต้การโจมตีด้วยความเย็นนี้ สีของมันเริ่มหมองลง คล้ายกำลังถูกแช่แข็ง
“ไม่ดีแล้ว!” ฉีมู่เฟิงตกใจ คาถาน้ำแข็งของซูเฉินรุนแรงเกินไป หากปล่อยให้เข้าถึงตัว คงพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮึดสู้เข้าไว้สิ!”
ฉีมู่เฟิงกัดฟัน แสงดาราบนกำปั้นระเบิดขึ้นอีกครั้ง กวาดทำลายคาถาน้ำแข็งที่โถมกลืนเข้ามา แล้วดีดตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“กระทั่งพี่สองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรือนี่?” เห็นฉีมู่เฟิงประมือคราเดียว ก็เสียเปรียบซะแล้ว สีหน้าของฉีมู่เสวี่ยกลายเป็นมืดมน
ฉีมู่อวี้ลอบส่ายหัว เธอรู้อยู่แล้วว่าฉีมู่เฟิงไม่ใช่คู่มือของซูเฉิน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าช่องว่างจะกว้างถึงขนาดนี้
วิชาตัดแสงดาวที่ฉีมู่เฟิงใช้ คือพลังพิเศษที่ถูกปลุกขึ้นจากในมิติท้ารบ ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูเฉิน มันกลับไม่อาจก่อแม้คลื่นลมใดๆ
แล้วอีกอย่าง มองไปยังท่าทีสงบของซูเฉิน คล้ายไม่ได้เปลืองแรงใดๆเลย
“เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก!” ฉีมู่เฟิงเว้นระยะห่างจากซูเฉิน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองได้เร็วพอ บางทีเมื่อครู่อาจพ่ายแพ้ไปแล้ว ขนาดตอนนี้ยังมีอาการใจสั่นอยู่เลย
“เมื่อเทียบกับด้วงเขมือบทองคำระดับเทวะตนนั้น แกยังห่างชั้นกับมันอยู่มาก บอกตรงๆว่าฉันค่อนข้างผิดหวัง”
ซูเฉินกวาดสายตามองฉีมู่เฟิง ส่ายศีรษะถอนหายใจ
เดิมที เขาคิดว่าที่ฉีมู่เฟิงกล้าท้าประลองเขา อย่างน้อยต้องมีกำลังรบเทียบเท่ากับด้วงเขมือบทองคำระดับเทวะ แต่ใครจะคิดว่าเพียงประมือ ฉีมู่เฟิงก็เกือบทนไม่ไหวแล้ว เอาจริงๆ อีกฝ่ายแกร่งกว่าเฝิงเหอเซียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ถ้าแกมีพลังแค่เท่านี้ สู้ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองขายขี้หน้า รีบยอมแพ้เถอะ” ซูเฉินกล่าวเสียงต่ำ
ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของฉีมู่เฟิงเปลี่ยนเป็นสีเขียว แดง และขาวตามลำดับ ร้องคำรามด้วยความโกรธ “ยังไม่จบ! ข้ายังมีกระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดอีกหนึ่งท่า หากเจ้าสามารถหยุดมันได้ ก็ถือว่าเจ้าชนะไปเลย!”
“งั้นก็ลงมือเถอะ”
ซูเฉินเบ้ปาก กล่าวชัดถ้อยชัดคำ