บทที่ 468 ไร้ประโยชน์ (ตอนฟรี)
บทที่ 468 ไร้ประโยชน์
จี้ช่าวเหลยเบ้ปากอย่างดูถูก เขารู้สึกดูแคลนจริงๆ เป็นแค่นักเลงอาศัยมีดไม่กี่เล่มในมือเพื่อต่อสู้บนเส้นทาง แม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งในเส้นทางบนดินแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นแค่นักเลงข้างถนนในสายตาของจี้ช่าวเหลยอยู่ดี
กับบุคคลประเภทนี้ สำหรับจี้ช่าวเหลยแล้ว ต่อให้เป็นหลี่เว่ยตงที่มีระดับต่ำกว่า ก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ดังนั้นโจวอี้คุนจึงไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในสายตาของจี้ช่าวเหลยแน่นอน จะมีนักเลงคนไหนกล้าขัดขืนประเทศชาติ? นั่นมันไม่เท่ากับว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?!
(เปรียบเทียบคนที่หากินทางสายมืดอย่างโจวอี้คุน ไม่กล้าหือกับ หลี่เว่ยตงหรือจี้ช่าวเหลยที่เป็นตระกูลของข้าราชการ *ข้าราชการหรือทางการในประเทศจีนมีการรับช่วงต่อกันทางลูกหลานภายในตระกูลด้วย)
ในฐานะคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเจียงโจว ไหนเลยจะสนใจเหลือบไรตัวเล็กตัวน้อยแบบนี้... นักเลงอย่างโจวอี้คุน แม้ว่าจะร่วมมือกับใครบางคน และในเจียงโจวก็ถือได้ว่ามีอิทธิพลสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ก็แค่บางกลุ่มเท่านั้น เพราะถ้าจี้ช่าวเหลยคิดจะกำจัดเขา จี้ช่าวเหลยสามารถหาเหตุผลมาได้นับไม่ถ้วน และต่อให้มีคนอยากปกป้องโจวอี้คุน ไม่อยากให้เขาตกไปอยู่ในมือของตำรวจ ก็ไม่มีทางหยุดจี้ช่าวเหลยได้
ต้องรู้ว่าหากทำให้เลขาธิการสภาเมืองไม่พอใจ อย่าว่าแต่โจวอี้คุนเลย ต่อให้เป็นกองกำลังที่สนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องมีร้อนๆหนาวๆสะดุ้งตกใจกันบ้าง แล้วจะกล้ากระโดดโลดเต้นไม่ดูตาม้าตาเรือได้อย่างไร?
ลองนึกภาพว่าในสถานการณ์ที่มีความได้เปรียบทุกทางและแน่นอน จี้ช่าวเหลยจะเห็นคนอย่างโจวอี้คุนอยู่ในสายตาได้อย่างไร?
“หัวหน้ามาเฟีย?” จี้เฟิงฟังแล้วรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ตกลงว่าเขาเป็นประธานบริษัทหรือหัวหน้ามาเฟียกันแน่? แล้วเป็นหัวหน้าใหญ่ทั้งสองอย่างแบบนี้ยังไม่น่ากลัวสำหรับพี่รองอีกเหรอ?”
จี้ช่าวเหลยเบ้ปากแล้วพูดเสียงต่ำว่า “หยุนเฟยหยางเองก็มีบริษัทใหญ่เหมือนกัน นายเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือเปล่าล่ะ? แม้ว่าโจวอี้คุนจะพอมีความสามารถถึงได้ไต่เต้ามาจนทุกวันนี้ได้ แต่เมื่อเทียบกันหยุนเฟยหยางแล้วเขาก็ไม่นับเป็นอะไรได้เลย แล้วแบบนี้ทำไมฉันถึงต้องเห็นเขาอยู่ในสายตา?”
“อ้อ.. เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมก็คิดว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตอะไรในเจียงโจว....” จี้เฟิงเข้าใจทันทีและหัวเราะอย่างโง่งม
“คุณ พวกคุณ...”
จี้ช่าวเหลยกับจี้เฟิงพูดคุยและหัวเราะกันโดยไม่ใส่ใจคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโจวที่ยืนตรงหน้าของพวกเขาเลย โจวอี้เซี่ยยกมือขึ้นชี้หน้าจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงด้วยความโกรธ เธอโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “พวกคุณลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกรอบสิ!”
“จะให้พูดกี่ครั้งฉันก็พูดเหมือนเดิม!” สีหน้าของจี้ช่าวเหลยมืดครึ้มลง เขาตวาดเสียงต่ำ “คิดว่าตัวเองใหญ่โตคับฟ้าจริงๆน่ะหรือ? เป็นแค่มาเฟียตัวเล็กๆ แต่กล้ายกหางตัวเองว่าเป็นตระกูลโจวแห่งเจียงโจว! ไร้สาระสิ้นดี! ไอ้ตระกูลโจวอะไรของเธอน่ะ... ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ารอฉันกลับไปที่เจียงโจวเมื่อไหร่ ฉันจะดูแลตระกูลโจวของเธอให้สาสมใจเลย!”
“คุณว่าอะไรนะ?!” โจวอี้เซี่ยเบิกตากว้าง เขารู้สึกว่าจี้ช่าวเหลยคนนี้ช่างพูดอะไรน่าขัน “คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมาดูแลตระกูลโจวของเรา? ฮ่าๆ! ไปเอาความกล้าขนาดนั้นมาจากไหน? คุณคิดหรือว่าตอนนี้อยู่ในเมืองหยุนเฉิงแล้วตระกูลโจวของเราจะไม่มีอำนาจพอที่จะจัดการคุณในเมืองนี้ได้ ถึงได้กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้?!”
“เฮ้อ... จะไปไหนก็ไปป่ะ!” จี้ช่าวเหลยโบกมืออย่างรำคาญก่อนจะหันไปถามจี้เฟิง “น้องสาม ทำไมถึงได้ไปมีเรื่องกับผู้หญิงบ้าๆที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้? หน้าตาก็ดีแต่พูดไม่รู้เรื่องเลย สงสัยจะโง่!” (ผู้แปล : คนตระกูลจี้มันปากจัดกันทุกคนเลยหรือยังไง...)
จี้เฟิงเลิกคิ้วและชี้ไปยังโจวย่าหลิงที่นอนเป็นลมอยู่บนพื้น “ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นนั่นไง!”
พอจี้ช่าวเหลยเห็นโจวย่าหลิงที่นอนอยู่บนพื้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้นี่จริงๆเลย ให้ตายสิ... ช่างมันเถอะ! ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แค่ยกหัวข้อขึ้นมาก็หงุดหงิดแล้ว... พวกคุณน่ะ รีบกลับไปทำหน้าที่ของพวกคุณซะ อย่ารอให้ผมโมโห แล้วก็อย่าลืมพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วย ไม่อย่างนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ผมไม่รับผิดชอบ!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนถึงกับสะดุ้ง พวกเขามีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพยายามพูดเกลี้ยกล่อมโจวอี้เซี่ยให้กลับไป
“ได้! ตอนนี้ฉันจะกลับไปก่อน แต่จำไว้นะว่าอย่าได้กลับไปที่เจียงโจวเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้พวกคุณต้องชดใช้อย่างสาสม!” โจวอี้เซี่ยกัดฟันพูดและจ้องจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงอย่างเคียดแค้น
“ไสหัวไป!” จี้ช่าวเหลยตวาดเสียงต่ำ “อย่างบังคับให้ฉันต้องทำลายตระกูลโจวของคุณ!”
“ฉันจะจำเอาไว้ว่าวันนี้คุณพูดถึงตระกูลโจวไว้ว่ายังไงบ้าง!” โจวอี้เซี่ยถลึงตาใส่จี้ช่าวเหลยและเตะโจวย่าหลิงที่นอนสลบอยู่บนพื้นอย่างแรง “โจวย่าหลิง ตายรึยัง? ถ้ายังไม่ตายก็รีบลุกขึ้นมาแล้วไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เมื่อพูดจบเธอก็หันหลังและกลับขึ้นรถปอร์เช่ คาเยนน์ทันที
ในเวลานี้โจวย่าหลิงที่สลบอยู่บนพื้นที่ถูกเตะก็ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอมองซ้ายมองขวาอย่างมึนงง ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสีเธอมองไปที่จี้เฟิงและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “นาย.. เธอ..”
“ถ้ายังไม่ตายก็รีบขึ้นรถมาซะ! ไม่อย่างนั้นก็อยู่ที่นี่ตลอดไป!” โจวอี้เซี่ยที่อยู่บนรถตะโกนผ่านหน้าต่างอย่างรำคาญ
ร่างกายของโจวย่าหลิงสั่นเทิ้มทันที แม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็เข้าใจคำพูดของโจวอี้เซี่ย
“ไปๆๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
โจวย่าหลิงพูดอย่างรีบร้อนและรีบลุกขึ้นทันที เธอวิ่งโซซัดโซเซไปยังรถปอร์เช่ ความเร็วนั้นไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอ้วนอย่างเธอจะทำความเร็วได้ขนาดนี้ภายในระยะทางสั้นๆ เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวโจวอี้เซี่ยมากขนาดไหน!
โจวอี้เซี่ยกับโจวย่าหลิงที่นั่งอยู่ในรถมองออกไปข้างนอกอย่างอาฆาตแค้น เพียงแค่ว่าคนแรกมองจี้ช่าวเหลย ส่วนคนหลังมองจี้เฟิงที่ด่าเธอจนสลบ
จี้เฟิงขมวดคิ้วและมองกลับไปที่พวกเธอ จากนั้นก็ส่ายหัวเล็กน้อย คนอย่างโจวอี้เซี่ย แค่มองดูก็รู้ว่าเธอเป็นลูกคุณหนูใหญ่ที่ถูกตามใจจนนิสัยเสีย มีพ่อที่พอจะมีเงินมีอำนาจอยู่บ้าง ก็คิดไปว่าคนอื่นๆจะต้องคอยตามเอาอกเอาใจตัวเองเหมือนกับที่คนในครอบครัวของเธอทำให้
“ช่าวเหลย นายจะให้ฉันจัดการพวกเธอที่เมืองหยุนเฉิงนี้เลยหรือเปล่า?” เจียงซินหยู่ถามด้วยใบหน้าที่มืดมน
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในเมืองหยุนเฉิง แถมอีกฝ่ายยังพุ่งเป้าไปที่เพื่อนของเขาอีก ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก
จี้ช่าวเหลยส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้อง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำธุระให้เสร็จ อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำให้พวกเราต้องเสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์เลย”
เจียงซินหยู่พยักหน้าและพูดว่า “ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันก็โอเค แต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่...”
จี้ช่าวเหลยโบกมือและยิ้ม “ไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว ไปทำธุระก่อน!” เขาหันหน้าไปหาจี้เฟิงและพูดว่า “ไปกันเถอะ วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไว้พูดเรื่องนี้อีกทีเมื่อตอนเรากลับเจียงโจว”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาเข้าใจโดยธรรมชาติว่าพี่รองของเขาหมายถึงอะไร เพราะสิ่งที่เขาจะทำที่นี่อาจสร้างปัญหาให้กับเจียงซินหยู่และหม่ากวงเซิ่ง แต่หากเขากลับไปจัดการที่เจียงโจว ผลที่ตามมาจะแตกต่างออกไป
ตำรวจกลับขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นรถตำรวจสองสามคันและปอร์เช่ คาเยนน์ของโจวอี้เซี่ยก็ขับออกไป ส่วนจี้เฟิงและคนอื่นๆก็ขึ้นรถอีกครั้งและตรงไปที่เขตอุตสาหกรรมในย่านชานเมือง
“คุณจี้ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้... ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่คิดว่าตำรวจพวกนั้นจะ...” เจียงถงซินที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายอะไร ในทุกๆแวดวงสังคมอาชีพก็ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเป็นธรรมดา”
ในความเป็นจริง หากพวกเขาทำตามแผนของจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยที่วางไว้อย่างในตอนแรก พวกเขาไม่ควรปล่อยให้โจวอี้เซี่ยและโจวย่าหลิงกลับไปง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับระดมกำลังตำรวจมายัดข้อกล่าวหาพวกเขา ด้วยนิสัยอย่างจี้เฟิง ต่อให้พวกเขาไม่ได้วางแผน จี้เฟิงก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปอยู่แล้ว หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเขาชดใช้อย่างสาสม
แต่เมื่อจี้เฟิงเห็นพฤติกรรมและทัศนคติของโจวอี้เซี่ยและโจวย่าหลิง จี้เฟิงก็รู้สึกหมดคำพูด ถ้าตอนนี้จี้เฟิงอยู่ในเจียงโจว เขาก็อาจจะสั่งสอนบทเรียนให้ผู้หญิงสองคนนั้นได้รู้ซึ้งอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาอยู่หยุนเฉิง เขาจึงไม่อยากเสียเวลากับแมลงไร้ค่าสองตัวนี้
“หยูซวน สิ่งที่ผู้หญิงพวกนั้นพูด เธอไม่ต้องคิดมาก ไว้ถ้าเรากลับไปที่เจียงโจวเมื่อไหร่ ฉันจะระบายความโกรธแทนเธอเอง!” เมื่อนึกถึงสิ่งที่โจวอี้เซี่ยและโจวย่าหลิงพูด จี้เฟิงก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง ผู้หญิงสองคนนี้ไม่มีศิลปะในการเจรจากับผู้อื่น สิ่งที่ออกมาจากปากมีแต่คำพูดที่เลวทรามโดยเฉพาะผู้หญิงอ้วนโจวย่าหลิง พูดจาได้ต่ำตมไร้การศึกษามาก
เซียวหยูซวนยิ้มบางๆ “ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่นายคิดหรอกนะ!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า และขับรถต่อไปภายใต้การบอกทางของเจียงถงซิน ไปยังเขตอุตสาหกรรม
ด้วยสถานะของเจียงถงซิน ทำให้จี้เฟิงสามารถค้นหาข้อมูลของบุคลากรระดับสูงของโรงงานได้ด้วย มันช่วยเพิ่มความสะดวกให้จี้เฟิงเป็นอย่างมาก เมื่อใดก็ตามที่เขาไปที่โรงงาน เซียวหยูซวนและถงเล่ยจะนั่งรออยู่ในรถ ส่วนจี้เฟิงและเจียงถงซินจะออกจากรถเพื่อไปตามหาคน
‘ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการหาพยานในคดี และบุคคลนั้นอาจมาปะปนอยู่ในกลุ่มคนงาน’
นี่คือข้ออ้างที่จี้เฟิงและเจียงถงซินใช้ แม้ว่าจะเรียบง่ายแต่ก็มีประโยชน์มาก ไม่มีโรงงานใดที่อยากมีส่วนร่วมในการปกป้องอาชญากร ดังนั้นจี้เฟิงและเจียงถงซินจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลจากแผนกบุคคลได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการระบบ ดังนั้นจี้เฟิงเพียงแค่ป้อนชื่อของบุคคลที่ต้องการหา ก็จะรู้แล้วว่ามีชื่อของคนๆอยู่ที่โรงงานนี้หรือไม่
แม้ว่าโรงงานเหล่านี้จะรู้ว่าตำรวจกำลังตามหาใครบางคน แต่เนื่องจากจี้เฟิงจะขับไล่ทุกคนออกไปก่อนที่จะเริ่มทำการค้นหา ส่วนเจียงถงซินจะยืนอยู่ในที่ที่ไม่สามารถมองเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ โดยเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อฆ่าเวลา ดังนั้นการค้นหาจากคอมพิวเตอร์จึงพอจะช่วยจี้เฟิงปกปิดความลับได้เป็นอย่างดี และไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนที่จี้เฟิงตามหานั้นคือใคร
แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ได้มาก็ทำให้จี้เฟิงต้องผิดหวัง
ในโรงงานแรกไม่มีคนชื่อหลี่เยี่ยฉินเลยแม้แต่คนเดียว โรงงานที่สองก็ไม่มี...
ในตลอดทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหารกลางวันครึ่งชั่วโมง พวกเขาเดินทางไปรอบๆเขตอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆทั่วทั้งนิคมอุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่พบคนที่ชื่อหลี่เยี่ยฉิน
เมื่อแสงสว่างบนท้องฟ้าค่อยๆมืดลง จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว วันแรกเหมือนจะไม่ได้อะไรเลย เขาไม่เจออะไรเลยจริงๆ มีเขตอุตสาหกรรมสี่แห่งในเมืองและมีโรงงานเล็กๆอีกหลายแห่ง แต่เขาเพิ่งตรวจสอบเขตอุตสาหกรรมไปได้เพียงแค่แห่งเดียว
แต่ปัญหาอีกอย่างในตอนนี้ก็คือ จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิงยังไม่ส่งข่าวใดๆมาให้กับเขาเลยจนถึงตอนนี้
อันที่จริงในการตรวจสอบทะเบียนบ้าน คุณต้องไปที่สำนักงานเทศบาลเท่านั้น ไฟล์ทะเบียนบ้านทั้งหมดได้รับการลงทะเบียนแล้ว และคุณสามารถตรวจสอบบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวใดๆ เห็นได้ชัดว่าทางพี่รองของเขาก็น่าจะยังไม่พบชื่อของ ‘หลี่เยี่ยฉิน’ เช่นกัน มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เพราะหากหาไม่พบแม้แต่ในสำนักงานเทศบาล นั่นก็แสดงว่าป้าหลี่เยี่ยฉินน่าจะไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ หรือคนที่เคยอยู่หมู่บ้านเดียวกับเธอก็จำผิดคน!
นี่คือผลลัพธ์ที่จี้เฟิงไม่ต้องการเห็น การเดินทางมาที่เมืองหยุนเฉิงนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ปัญหาคือถ้าหาป้าหลี่เยี่ยฉินไม่พบในเมืองหยุนเฉิง มันจะกลายเป็นว่าเบาะแสเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ได้พังทลายลง และจะต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งมันยากเกินไป...
...จบบทที่ 468~❤️