Special District 9 ตอนที่ 340 เบื้องล่างวิ่งรนแทบตาย แพ้คำสั่งเพียงคำเดียวของเบื้องบน
ตอนที่ 340 เบื้องล่างวิ่งรนแทบตาย แพ้คำสั่งเพียงคำเดียวของเบื้องบน
ในห้องสอบสวน
หัวหน้าฟางมองผู้กำกับหลี่พลางเอ่ยปากเสียงเบา “นายออกมานี่หน่อย”
หลี่ฉุ่นิ่งไปก่อนจะเดินออกมา
บนทางเดินนอกประตู หัวหน้าฟางเอามือไขว้หลังพลางขมวดคิ้ว “หลินเฉิงบอกกับเบื้องบนแล้วก็จะช่วยผู้กำกับของซ่งเจียงที่ถูกจับนั่น”
หลี่ฉุ่นิ่งไป
“ทางนี้ค่อนข้างกดดันหน่อยน่ะ เพราะเดี๋ยวต้องไปคุยกับเขา” หัวหน้าฟางเอ่ยปากสั่งด้วยเสียงเบา “นายอย่าเพิ่งขังนะ รอฉันกลับมาค่อยว่ากัน”
“ลูกพี่!” หลี่ฉุ่กำหมัดและฝืนความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้ “หลินเฉิงไม่ใช่คนในกองทัพของเรา ทำไมเราต้องไว้หน้ามันด้วยล่ะ? แล้วยิ่งไปกว่านั้นก็คือตอนนี้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ถูกเหมารวมไปแล้วและคนของเราก็โดนลูกหลงไปแล้ว ถ้าจะปล่อยมือตอนนี้มันไม่ดูตลกไปหน่อยเหรอ? นายให้เวลาฉันอีกหน่อย ฉันจะทำให้มันหลุดปากออกมาให้ได้แน่นอน ฉันจะงัดหลักฐานออกมาให้ได้”
“ถ้าพวกมันไม่หลุดปากล่ะ นายจะทำยังไง?” หัวหน้าฟางขมวดคิ้วพลางถาม “ถ้าเฒ่าหลินสั่งให้เอาตัวมันกลับไป หลักฐานของนายก็หายไปด้วย งั้นนายก็ต้องแตกหักกับพวกมันด้วยไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างนายก็รู้ว่าหลินเฉิงมันมีอำนาจมากแค่ไหน หัวหน้าของกองทักทหารทั้งสามของเราก็ยังเคยสู้รบกับพวกมันมาทั้งนั้น แบบนี้ต่อไปนายยังจะอยู่ที่นี่ได้อยู่อีกเหรอ?”
หลี่ฉุ่ได้ยินแล้วจึงเงียบไป
“ยังมีเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นอีกด้วย ถ้าเรื่องน่าอับอายนี่หลุดออกไป เราทั้งหมดคงจบเห่กันแน่” หัวหน้าฟางถอนหายใจ “ใช้แขนงัดขาไม่ได้หรอกนะ อะไรที่ยอมได้ก็ยอมซะบ้าง”
“งั้นถ้านายตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไม่พูดอะไรแล้ว” หลี่ฉุ่หมดคำพูด
“รอฟังข่าวจากฉันแล้วกัน”
หัวหน้าฟางทิ้งท้ายหนึ่งคำก่อนจะเดินจากไป
บนทางเดิน หลี่ฉุ่ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกลับไปยังห้องสอบสวนด้วยสีหน้าโศกเศร้าพลางตะโกน “เรียกคนจากโรงพยาบาลกลับมาดูอาการมันด้วย”
พี่เซียวฟังคำพูดของหลี่ฉุ่ขณะหมอบอยู่บนพื้นก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่ทำร้ายฉันแล้วเหรอ?”
หลี่ฉุ่เหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉินอวี่ไปแล้วก็ไม่ได้แปลว่าแกจะปลอดภัยหรอกนะ หมาอย่างแกน่ะ ถ้าเบื้องบนตัดหางปล่อยวัดก็จบเห่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“โฮ่งๆ !”
พี่เซียวมองหลี่ฉุ่ด้วยแววตาเยาะเย้ยก่อนจะเลียนเสียงเห่าของสุนัข
ทุกคนนิ่งกันไปหมด
พี่เซียวมองหลี่ฉุ่พลางหัวเราะ “งั้นเมื่อกี้ตอนนายอยู่ข้างนอกได้เรียกชื่อฉันแบบนี้ให้หัวหน้าฟังไหม ฮ่าๆๆ !”
หลี่ฉุ่ได้ยินแล้วก็ถึงกับขนลุกทันที ก่อนจะเดินหน้าด้วยแววตาแดงก่ำพลางยกขาเหยียบลงไป
“หลี่ฉุ่ หลี่ฉุ่” พลทหารที่อยู่ด้านข้างห้ามเอาไว้ทันที “รอลูกพี่กลับมาค่อยว่าอีกทีดีกว่า!”
“เหอะๆ ฉันเอาแกตายแน่” หลี่ฉุ่ชี้หน้าพี่เซียวด้วยความอาฆาต “ถ้านายรอดกลับไป ฉันจะยอมกราบตีนนายให้ดู”
พูดจบ พี่เซียวก็หันหลังเดินจากไป
…
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
หัวหน้าฟางมาถึงโรงแรมแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของหลินเฉิงพลางคำนับอย่างมีมารยาท “เรียนท่านนายพล ผมนายทหารฟางอันมารายงานตัวครับ”
“ไม่มีคนนอกอยู่ ไม่ต้องทางการขนาดนี้หรอก นั่งสิ” หลินเฉินโบกมือ
หัวหน้าฟางยิ้มพลางเดินเข้าไปและนั่งลงตรงข้ามหลินเฉิงทันที
“หลังจากที่นายได้ดูแลกองทัพทหารแล้วก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้นไม่เบาเลยนะ” หลินเฉิงชี้หน้าหัวหน้าฟางพลางตำหนิ “ฉันได้ข่าวว่ามือหนึ่งและมือสองของกลุ่มที่สองก็ถูกนายกำจัดทิ้งไปแล้ว คนนอกคนในกว่ายี่สิบสามสิบคนนายก็จับไปแล้ว...เหอะๆ คนอย่างนายช่างเหมาะกับเป็นหัวหน้าสายลับซะจริงๆ”
“เป็นเพราะเบื้องบนอย่างจะจัดการทีมที่สองต่างหากล่ะครับ ผมแค่ดูๆ แล้วจัดการให้เท่านั้น” หัวหน้าฟางหัวเราะอย่างกับเด็ก
“การทำงานในกรมทหาร การมีแววก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นเลยล่ะ” หลินเฉิงมองไปยังหัวหน้าฟาง “ทำได้ดีเลยนี่”
“อันตรายมากเหมือนกันครับ” หัวหน้าฟางเอ่ยปากออกคำสั่ง
หลินเฉิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นก่อนจะหยุดชะงักไป “ที่นี่ก็ไม่มีคนนอกอยู่ ที่ฉันเรียกนายมาก็แค่อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อย”
“ท่านว่ามาได้เลยครับ” หัวหน้าฟางพยักหน้า
“ฉินอวี่กับเด็กในบ้านฉันมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันน่ะ” หลินเฉิงดื่มชาพลางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันเลยอยากถามนายหน่อยว่าที่พวกนายจับเขาน่ะมีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนไหม?”
หัวหน้าฟางครุ่นคิดสักพัก “เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ ตั้งแต่แรกที่ผมจะจับเขาก็เพราะเขาติดต่อกับผู้ต้องหา และเคยไปมาหาสู่กัน เราไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้กำกับและคิดว่าเขาเป็นแค่ตำรวจคนหนึ่งเลยจับเขา แต่ท่านเอ่ยปากแบบนี้แล้วการจะมีหรือไม่มีหลักฐานก็คงไม่สำคัญแล้วล่ะครับ”
“เหอะๆ นายอย่ามาทำเก่งกับฉันหน่อยเลย” หลินเฉิงหัวเราะ “ในมือของนายไม่มีหลักฐานยังจะกล้าลองดีกับฉันอีกเหรอ? !”
“ไม่บังอาจหรอกครับ ฮ่าๆ” หัวหน้าฟางหัวเราะ
“เอาเถอะ ถ้าในมือของนายไม่มีหลักฐานก็ปล่อยเด็กนั่นซะเถอะ” หลินเฉิงพูดอย่างห้วนๆ “ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน”
“จะให้ผมทำงานให้ ไม่จำเป็นต้องขอร้องหรอกครับ” หัวหน้าฟางพูดอย่างเกรงใจพลางโยนหินถามทาง “ถ้างั้น...ท่านเห็นว่า...ตำรวจคนนั้น”
“นี่ก็คือสิ่งต่อไปที่ฉันอยากจะคุยกับนาย” หลินเฉิงนั่งไขว่ห้างพลางมองสำรวจหัวหน้าฟาง “ที่ฉันบอกแล้วว่าฉินอวี่กับลูกหลานตระกูลฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั่นไม่ใช่ข้ออ้างหรอก...แต่เป็นเรื่องจริง ปกติแล้วเด็กสองคนนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ฉันเลยอยากจะถามสักหน่อย แต่คนอื่นๆ นั้นฉันไม่รู้จักหรอก นายเข้าใจไหม?”
หัวหน้าฟางฟังแล้วจึงนิ่งไป
“แล้วเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากับผู้กำกับซ่งเจียงนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่เล่ยเล่ยรักถูกจับ วันนี้ฉันคงไม่มาถึงชางจีหรอก นายเข้าใจไหม?” หลินเฉิงอธิบายจุดยืนของตัวเองเพื่ออธิบายให้หัวหน้าฟางเข้าใจว่าพวกเขาไม่ต้องคิดมาก เพราะฉันไม่มีเวลาว่างจะมายุ่งกับกรมทหารหรือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอะไรทำนองนั้น
“ผมเข้าใจแล้วล่ะ ผมเข้าใจแล้ว” หัวหน้าฟางรีบพยักหน้า
“นายเอาคำพูดของฉันไปบอกกับเบื้องบนด้วยนะ” หลินเฉิงพูดเสียงเบา
“ได้แน่นอนอยู่แล้วครับ!” หัวหน้าฟางโล่งอกทันที เพราะเขากลัวว่าหลินเฉิงจะอยู่เบื้องหลังของเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
เมื่อทั้งสองตกลงเรื่องนี้กันแล้วจึงคุยกันเรื่อยเปื่อยสักพัก ก่อนที่หัวหน้าฟางจะเดินออกมาอย่างเร่งรีบ
…
ในห้องสอบสวนอีกห้องหนึ่ง
หลินเหนียนเล่ยนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงและเงียบไปสักพักและเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกพี่ถึงหวังแต่จะให้ฉันเดินไปในทางที่พวกพี่กำหนดเอาไว้...”
หลินเซียวนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับแววตาสับสน “คำถามที่แกถามน่ะ ฉันไม่เคยคิดมาก่อน แต่เหมือนว่าเด็กที่อยู่รอบตัวเราก็เป็นแบบนี้กันหมด”
“แล้วพี่ชอบชีวิตตอนนี้ของตัวเองไหมล่ะ?” หลินเหนียนเล่ยถาม
หลินเซียวนิ่งอึ้งอยู่นาน “ฉะ...ฉันก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน”
หลินเซียวเช็ดหางตาพลางหันมองออกไปนอกหน้าต่าง “ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งอยู่ในซ่งเจียง ชื่อว่าเสี่ยวมี่...ฉันอิจฉาเธอมากเลยล่ะ...เธอสามารถทำทุกเรื่องที่เธอเลือกเองได้ ส่วนฉันโตขนาดนี้แล้ว ยังต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองเลือกอยู่ทุกครั้ง...”
หลินเซียวครุ่นคิดสักพัก “ที่คนในบ้านทำไปก็เพื่อแกทั้งนั้นแหละ”
“...พี่ พี่ไม่รู้สึกว่าเราเหมือนเด็กพิการเหรอ?” หลินเหนียนเล่ยหันไปพลางเอ่ยปากพร้อมกับแววตาที่แดงก่ำ “ไม่เคยทำผิดพลาด ราบรื่นมาโดยตลอด ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่ดวงดาวระยิบระยับ...ไม่เคยจะสะดุดล้มสักครั้งในชีวิต พี่ว่ามันคุ้มสำหรับเราไหม?”
หลินเซียวนิ่งไป
…
ตรงชั้นล่าง
หัวหน้าฟางโทรออกไปยังเบอร์ของหลี่ฉุ่พลางเอ่ยปากอย่างห้วนๆ “หลินเฉิงบอกกับฉันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเลยสักบาท เขาแค่อยากช่วยไอ้ฉินอวี่นั่นและเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ”
“ถ้างั้นก็แสดงว่ามันจะไม่ยุ่งกับไอ้ตำรวจคนนี้ใช่ไหม?” หลี่ฉุ่ถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่” หัวหน้าฟางพยักหน้า
...........................................................................