817-818
Ep.817
“อย่างที่พวกเจ้าว่าจริงๆ เขาช่างยโสนัก”
ฉีมู่เฟิงกระแอม ค่อยๆขึ้นเสียงว่า “มีข่าวลือว่าเจ้าสังหารด้วงเขมือบทองคำระดับเทวะได้ หากนั่นคือเรื่องจริง เช่นนั้นความแข็งแกร่งของเจ้าก็น่าจะไม่เลว –ข้าฉีมู่เฟิงขอท้าประลองกับเจ้า!”
ซูเฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนกวาดสายตาขึ้นๆลงๆมองฉีมู่เฟิงอีกครั้ง เผยรอยยิ้มดูแคลน “อาศัยแค่แก มีความสามารถมากพอหรือ?”
ประโยคนี้แม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบา แต่ยามลอดเข้ามาในหูฉีมู่เฟิง ดุจดั่งเข็มทิ่มแทง
กึด กึดดด …
ฉีมู่เฟิงขกรามแน่น จนเสียงกัดฟันสะท้อนออกมา ใบหน้าเขาเริ่มกลายเป็นสีเขียว แดง และขาวตามลำดับ
“ซูเฉิน! ต่อให้ไม่อยากประมือกับพี่สองของข้า แต่เจ้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำให้เขาอับอายเลยนี่?” ฉีมู่อวี้กล่าวด้วยความโกรธเคือง
ที่ฉีมู่เฟิงประกาศขอท้าประลองซูเฉินอย่างตรงไปตรงมา แท้จริงแล้วไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่เพราะต้องการประลองกับคนแข็งกร่งเท่านั้น แต่ใครจะคาด ว่าซูเฉินไม่เพียงไม่ไว้หน้าเขา แต่ยังฉวยโอกาสทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้า ช่างเป็นคนน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
“อ้อ จะบอกว่าฉันผิด? งั้นถามหน่อย ฉันเป็นคนเรียกพวกแกมารึเปล่า? เป็นฉันงั้นหรอที่อยากประลอง?” ซูเฉ่นแค่นเสียงเย็น กล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ฉีมู่อวี้ทำท่าทีราวกับว่าเขาเป็นคนผิด คิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนกัน?
ถึงซูเฉินจะเคยปล่อยเธอไป แต่ไม่ได้หมายความว่าหากเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง เขาต้องยอมเธอ
มุมปากของฉีมู่อวี้ กระตุกด้วยความโกรธ ร่างสั่นซวนเซแทบลมจับ
ฉีมู่เฟิงสูดหายใจลึก ระงับความโกรธในใจเขา
“ซูเฉิน ถ้าเจ้าไม่อยากรับคำท้าข้าก็แค่พูดออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องยั่วยุข้าด้วยคำพูดเช่นนี้”
ยั่วยุ?
ซูเฉินยิ้มเยาะในใจ วิธีการยั่วยุเหมือนเด็กเล่นกันแบบนี้ไม่มีประโยชน์กับเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกก็คือ พวกฉีมู่อวี้น่าจะรู้ดีถึงกำลังรบของเขา แล้วเหตุใดฉีมู่อวี้ถึงยังกล้าขอท้าประลองอีก?
“แกมีฐานฝึกตนอยู่ขั้นไหน?” ซูเฉินครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม
“ระดับเทวะขั้น 1!” ฉีมู่เฟิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง เนื่องจากฉีมู่เฟิงรู้ว่าเขาสามารถสังหารด้วงเขมือบทองคำระดับเทวะได้ แต่ยังกล้าขอท้าประลอง ซูเฉินเลยเดาไว้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นระดับเทวะ
อีกทั้งดูจากท่าทีมั่นใจของฉีมู่เฟิงแล้ว มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกัน
หลังจากอู๋หยาจื่อและคนอื่นๆรู้ว่าฉีมู่เฟิงที่เพิ่งประกาศขอท้าประลองคือระดับเทวะ สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปทันที
“อย่างที่เขาว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ” ฉางไช่หลี่ถึงกับอ้าปากค้าง จ้องมองฉีมู่เฟิงพลางทอดถอนหายใจ
จากที่เห็น ฉีมู่เฟิงดูเหมือนคนอายุราวๆ 40 ปีเท่านั้น แต่กลับได้ขึ้นเป็นระดับเทวะตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์ในการฝึกตน เกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าซูเฉินเลย
“ทำไม? พอรู้ว่าข้าคือระดับเทวะ ก็กลัวแล้วหรือ?” เห็นซูเฉินเงียบไปนาน ฉีมู่เฟิงพยายามยั่วโมโห
ซูเฉินกลับมาจากห้วงภวังค์ เบ้ปากเล็กน้อย กล่าวเบาๆว่า “ใช่ ฉันกลัวจริงๆ กลัวว่าจะเผลอฆ่าแกโดยไม่ตั้งใจ!”
ในเมื่อฉีมู่เฟิงยืนกรานจะทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้า งั้นซูเฉินก็จะทำให้สมปรารถนา
แต่น่าแปลก ที่ฉีมู่เฟิงไม่โกรธแต่กลับดีใจ มองซูเฉินแล้วกล่าวว่า “งั้นเจ้าก็ยอมรับคำท้าของข้าแล้วสิ?”
“เออ ฉันยอมรับแล้ว แต่ถ้าจะให้ดี มันต้องเพิ่มสีสันเข้าไปหน่อย” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หากแค่มอบบทเรียนให้ฉีมู่เฟิงเฉยๆ เกรงว่าคงได้แค่ดัดนิสัยอีกฝ่ายเท่านั้น มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เช่นนั้นทำไมไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อตักตวงผลประโยชน์เล่า?
“เจ้าอยากเดิมพันอะไร?” ฉีมู่เฟิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับเขา ตราบใดที่สามารถสู้กับซูเฉิน ก็ไม่สำคัญว่าเขาต้องจ่ายอะไรออกไป
“ฉันไม่ชอบสมบัติทั่วๆไป” ซูเฉินพึมพำพลางครุ่นคิด หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า “แต่ถ้ารางวัลคือหินพลังงานขั้น 10 จำนวนสี่สิบก้อนก็โอเค”
ฉีมู่อวี้เป็นหนี้หินพลังงานขั้น 10 จำนวนหกสิบก้อน หากเขาเอาชนะฉีมู่เฟิง และได้หินพลังงานมาอีกสี่สิบ ก็จะครบร้อยก้อนพอดี เรียกได้ว่าปัดปริมาณขึ้นเป็นสามหลัก
“เจ้าเรียกร้องสูงเกินไปแล้ว” ฉีมู่เฟิงถึงกับอ้าปากค้าง หินพลังงานขั้น 10 สี่สิบก้อน นี่ถือเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับเขา หากแพ้ขึ้นมา แล้วเขาจะไปหามันจากที่ไหน?
“ในเมื่อแกไม่กล้า งั้นก็ไม่ต้องมาท้าประลองฉันอีก” ซูเฉินเยาะเย้ย
ฉีมู่เฟิงกัดฟัน ขณะที่กำลังจะตอบ ฉีมู่อวี้ก็ขัดจังหวะขึ้น “พี่สอง พอเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
Ep.818
ฉีมู่อวี้เคยประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของซูเฉิน ก่อนหน้านี้เธอโดนซูเฉินรึดไถหุ่นเชิดระดับเทวะและของเหลวแก่นชีวิตไปขวดหนึ่ง ไหนจะหินพลังงานขั้น 10 อีกหกสิบก้อน
เธอเลยคิดได้ทันที ว่าหากซูเฉินกล้าเรียกร้องข้อเสนอเช่นนี้ แสดงว่าเขามั่นใจว่าต้องชนะอย่างแน่นอน
แม้ฉีมู่เฟิงจะเป็นถึงขั้นระดับเทวะ แต่ในทวีปใหญ่ความแข็งแกร่งของเขาถูกสะกดไว้ ฉะนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูเฉินแน่นอน
ฉีมู่อวี้ไม่อยากเห็นฉีมู่เฟิงต้องพ่ายแพ้และถูกหลอกรูดทรัพย์ ดังนั้นเลยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหยุดการประลองในครั้งนี้
ได้ยินแบบนั้น ฉีมู่เฟิงเกิดความลังเลขึ้นมา เพราะเอาจริงๆ การที่จะเจอผู้แข็งแกร่งเช่นซูเฉินมันยากนัก เขาไม่อยากพลาดโอกาสประลองในครั้งนี้ไป
อย่างไรก็ตาม หินพลังงานขั้น 10 จำนวนสี่สิบก้อนมันทำให้เขาลำบากใจ หลังจากครุ่นคิดอยู้พักหนึ่ง ก็เลยเอ่ยว่า “ข้าไม่มีหินพลังงานขั้น 10 ติดตัวอยู่เลย แต่ข้าสามารถบอกข้อมูลบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยนได้”
ข้อมูล?
ข้อมูลอะไรกันที่สามารถใช้แทนหินพลังงานขั้น 10?
“ลองว่ามาสิ” ซูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย
ลองฟังดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร หากข้อมูลที่ว่าไร้ประโยชน์ เขาสามารถปฏิเสธได้ทันที ง่ายๆก็คือไม่มีอะไรจะเสีย
ฉีมู่เฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง มุ่งเข้าประเด็นทันที “ข้ารู้ที่อยู่ของหุ่นเชิดระดับเทวะ … หุ่นที่เหมือนกับในมือเจ้า”
หุ่นเชิดระดับเทวะ?
แสดงว่าเจ้าสิ่งนั้นน่าจะมาจากเผ่าจักรกล
และถ้ามันคือหุ่นเชิดจากเผ่าจักรกลจริงๆ มันก็จะมีค่ามากกว่าหินพลังงานขั้น 10 สี่สิบก้อน
แต่ใจความสำคัญของข้อมูลนี้ก็คือ เขายังไม่รู้ว่าหุ่นเชิดตัวนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ หากไม่ มูลค่าของมันจะลดทอนลงเป็นอย่างมาก
ซูเฉินครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนส่ายหัว “ข้อมูลของแกมีมูลค่าต่ำเกินไป ไม่คุ้มค่าพอให้ฉันลงมือ”
“ข้ายังมีอีกข้อมูลหนึ่ง” ฉีมู่เฟิงกัดฟันแน่น ดูเหมือนว่าเขาอยากจะสู้กับซูเฉินจริงๆ
ซูเฉินผายมือว่าให้ฉีมู่เฟิงพูดต่อ
“ในเขตแดนลับแห่งหนึ่งของเผ่าเอลฟ์ มีน้ำพุแห่งชีวิตอยู่ ข้าสามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของที่ตั้งแห่งนั้นได้” ฉีมู่เฟิงกล่าวด้วยเสียงเบาราวกระซิบ
น้ำพุแห่งชีวิต?
ซูเฉินทวนคำ นี่เป็ฯครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ เลยไม่ทราบว่ามันมีคุณสมบัติอะไร
ยังไงก็ตาม เขาฉุกคิดได้ถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือสมบัติใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิต คุณค่าของมัน ไม่น่าจะย่ำแย่จนเกินไป
อู๋หยาจื่อที่อยู่ด้านข้างสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ก้าวเข้ามากระซิบกับซูเฉินว่า “ซูเฉิน ตอบตกลงเขาเสีย”
“เอ๋?”
ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย หันมาเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโส นี่ท่านรู้จักน้ำพุแห่งชีวิตด้วยหรือ?”
อู๋หยาจื่ออธิบายว่า “คุณสมบัติของน้ำพุแห่งชีวิตก็เหมือนกับของเหลวแก่นชีวิต นอกจากนี้ มันมีสรรพคุณในการช่วยเร่งความเร็วในการเติบโตของพืชวิญญาณได้”
ซู๊ดดดด!
ซูเฉินสูดหายใจลึก แทบจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
เรื่องเร่งการเจริญเติบโตของพืชวิญญาณนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา
เขามีพืชวิญญาณใน [พื้นที่เพาะปลูก] มากมาย แต่ระยะเวลาในการออกผลของพวกมันยาวนานเกินไป ชนิดที่ว่าแม้ใช้ [อุปกรณ์เร่งเวลา] ก็ยังไม่สามารถออกผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
อาจกล่าวได้เลยว่า สิ่งที่เร่งการเจริญเติบโตของพืชวิญญาณ คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วน
ซูเฉินกระแอมเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ข้อมูลสองอย่างนี้ รวมกันแล้วก็พอมีค่าอยู่บ้าง แต่ก็มีค่าแค่หินพลังงานขั้น 10 ยี่สิบก้อนเท่านั้น”
“ละโมบอะไรแบบนี้!”
อู๋หยาจื่อเดาะลิ้น เขารู้ว่าซูเฉินกำลังรีดไถฉีมู่เฟิง รีดไถชนิดให้ทุบหม้อข้าว ไม่ยอมให้เชิดหน้าขึ้นอีกเลย
“บนตัวข้าก็ไม่มีหินพลังงานขั้น 10 ยี่สิบก้อนอยู่ดี” ฉีมู่เฟิงกล่าว
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ก่อนหน้านี้น้องสาวแกก็ยังติดหนี้ฉันอยู่หกสิบก้อนพอดี เอาไว้ฉันจะไปทวงขอที่ตระกูลฉีเมื่อถึงเวลา”
ฉีมู่เฟิงพอได้ฟัง จ้องมองซูเฉินอย่างเหม่อลอย ไม่อาจเอ่ยคำใดไปพักหนึ่ง
ฟังจากน้ำเสียงของซูเฉิน คล้ายมั่นใจว่าจะชนะเขาได้จริงๆ
อย่าลืมสิว่าอย่างน้อยเขาเป็นถึงระดับเทวะเชียวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ถูกผู้คนดูแคลนได้ถึงเพียงนี้?
“แกจะตกลงรึเปล่า?” ซูเฉินเริ่มหมดความอดทน
เขาสามารถสังเกตได้ ว่าฉีมู่เฟิงน่าจะเป็นพวกงี่เง่าที่คลั่งไคล้การต่อสู้ ดังนั้นย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้ประมือกับตน