บทที่ 7 ผู้หยั่งรู้
บทที่ 7 ผู้หยั่งรู้
หลังมื้อเที่ยงหลินชิวผูจึงเรียกทุกคนให้มารวมกันที่ห้องประชุม ทันทีที่หลินถงซูก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นว่าสวีเสี่ยวตงกำลังคุยกับพวกตำรวจหญิงคนอื่นอย่างออกรส “พวกเธอรู้รึยัง? เมื่อกี้นี้หัวหน้าหลินของเราโดนคนขับอูเบอร์กระจอก ๆ คนนั้นซัดหน้าหงายมาแหละ แถมยังโดนเขางัดเหตุผลสารพัดออกมาสู้จนต้องปล่อยตัวไปง่าย ๆ...”
“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?” หลินถงซูกระแทกแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะดังโครม
ตำรวจหญิงรีบผละออกจากวงสนทนาและนั่งตัวลีบสำนึกความผิดทันที ส่วนสวีเสี่ยวตงได้แต่ปั้นหน้ายิ้มและลุกเดินไปหา “ไม่มีอะไรซะหน่อย อย่าโกรธไปเลยน่า ไอ้หมอนั่นมันร้ายกาจก็จริงแต่ถ้าเรามีหลักฐานในมือครบยังจะต้องกังวลอะไรไปล่ะ จริงไหม?”
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!” เธอพูดพลางทำท่าทีเหมือนรังเกียจ
“โธ่ คุณหลิน อย่าตีตัวออกห่างผมเลย คืนนี้ถ้าว่างเราแวะไปกินสตูเนื้อกันดีไหม? ผมเลี้ยงเอง”
“ถอยไปห่าง ๆ เลยนะ! ใครอยากให้คุณมาเลี้ยงกัน?”
ขณะนั้นเองหลินชิวผูก็ก้าวเข้ามาในห้องพอดี ทุกเสียงพูดคุยหรือหยอกล้อจึงเงียบลงโดยอัตโนมัติ
“ล่าสุดทางเราได้เบาะแสทุกอย่างมาครบแล้วเพียงแต่ยังขาดหลักฐาน ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อยกับการทำคดีนี้แต่ตอนนี้เรายังพักไม่ได้”
หลังจากที่สรุปข้อมูลที่มีอยู่อย่างคร่าว ๆ แล้วหลินชิวผูก็มอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่ “เสี่ยวฉีกับเสี่ยวหวาง พวกคุณไปที่ศูนย์ควบคุมจราจรแล้วสืบดูว่ามีรถคันไหนขับผ่านที่เกิดเหตุในคืนนั้นบ้าง เสี่ยวตงกับเล่าหวัง ทั้งสองคนไปดูที่เกิดเหตุหน่อย ผมต้องการขยายขอบเขตของพยาน คนที่เหลือเดี๋ยวผมจะส่งบันทึกการสืบสวนให้จะได้ดูว่าที่เฉินฉีพูดเป็นความจริงไหม”
หลินถงซูตาเบิกโพลง เฉินฉีมีพลังทำนายอนาคตหรืออย่างไร? กระทั่งคำพูดยังแทบจะเหมือนกันเลย!
จู่ ๆ ก็มีคนลุกขึ้นถาม “หัวหน้าหลิน คุณยังคิดว่าเฉินฉีเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่รึเปล่า?”
หลินชิวผูตอบกลับว่า “ผมไม่เชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ทั้งหมดหรอก บางทีหมอนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คดีคืบหน้าก็ได้จะทิ้งไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”
คำพูดของหลินชิวผูเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับเขาทำถูกทุกอย่างและหลายคนก็พยักหน้าให้เขาอย่างเชื่อมั่น
หากว่าหลินถงซูไม่เคยพูดคุยกับเฉินฉีมาก่อนเธอเองก็อาจคล้อยตามไปด้วย ทว่าตอนนี้ความคิดเธอยุ่งเหยิงไปหมด ถึงเธอจะเกลียดพี่ชายของเธอแต่เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธในความสามารถของเขาแต่ตอนนี้เธอเริ่มเกิดข้อกังขาในข้อนี้แล้ว
หลินถงซูไม่ได้ฟังคำปราศรัยครึ่งหลังของหลินชิวผูแม้แต่น้อยจนกระทั่งเขาพูดว่าการประชุมจบแล้วเธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
หลังจากที่ออกมาจากห้องประชุมแล้วหลินถงซูก็โทรหาเฉินฉีทันที “คุณอยู่ที่ไหน?”
“ดูเหมือนว่าผมจะพูดถูกสินะ?” น้ำเสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์ฟังดูปราศจากความกังวลใด ๆ
หลินถงซูไม่อยากให้อีกฝ่ายเหลิงไปมากกว่านี้จึงพูดตัดบท “งั้น ๆ แหละ แทบจะไม่ถูกด้วยซ้ำ”
“ฮ่าฮ่า” เฉินฉีหัวเราะ “ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกโรงแรมเฝิงจื้อหลิน มาหาผมภายในหนึ่งชั่วโมงนะ เอาผลชันสูตรศพกับรูปถ่ายที่เกิดเหตุมาด้วยล่ะ”
“นี่คุณ! นี่!” หลินถงซูตะโกนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายวางสายแต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เธอโกรธจนกระทืบเท้าลงกับพื้น
มีสำเนาผลชันสูตรหลายฉบับที่ถูกแจกจ่ายให้กับคนในทีมหลินถงซูจึงสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย แต่กับรูปถ่ายที่เกิดเหตุเธอต้องแอบเข้าไปในห้องของหลินชิวผูเพื่อถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือส่วนตัว
หลินถงซูเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังโรงแรมที่ได้นัดหมายไว้กับเฉินฉีพลางเหลียวมองซ้ายขวา ขณะที่เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์กดโทรหาเขาก็มีเสียงหนึ่งเรียกเธอ “ทางนี้ ทางนี้!”
เฉินฉีกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านข้างทาง หลินถงซูนั่งลงตรงข้ามเขาก่อนจะพูดว่า “คุณนี่ว่างดีนะ!”
“ผมกำลังสืบสวนคดีอยู่” เฉินฉีซดก๋วยเตี๋ยวคำใหญ่
“เรากำลังสืบหาอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?”
“ผมบอกพวกคุณไปตั้งหลายรอบแล้วว่าผู้โดยสารของผมในคืนนั้นเธอลงจากรถที่โรงแรมนี้ แต่พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อ ผมเลยทำได้แค่แอบสืบด้วยตัวเอง แต่พวกเขาไม่ยอมให้ผมดูประวัติเช็คอินเพราะฉะนั้นเราถึงต้องใช้ตราของคุณ”
“โรงแรมเฝิงจื้อหลินเนี่ยน่ะเหรอ? แต่เธอตายระหว่างทางมาที่นี่นะ ถ้าอย่างนั้นแล้ว...”
เฉินฉีพูดอย่างหมดหนทาง “คุณยังคิดว่าผมเป็นฆาตกรอยู่เหรอ?”
“ฉันไม่รู้! คุณมันปลิ้นปล้อนจะตาย!” หลินถงซูไม่แน่ใจในตัวเองว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่คนคนนี้อาจจะเป็นฆาตกรก็ได้แต่เธอกลับพูดคุยกับเขาเรื่องคดีเสียอย่างนั้น
คำพูดและท่าทางของเฉินฉีนั้นดูมั่นใจมาก เขาดูเหมือนจะเป็นฆาตกรอยู่เล็กน้อยแต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ หลินถงซูอยู่ในกรมตำรวจมาครึ่งปีแล้ว ถึงแม้จะมีส่วนร่วมในหลายคดีแต่เธอก็ทำงานปลีกย่อยมากกว่าที่จะทำหน้าที่สืบสวนหลัก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าฆาตกรจริง ๆ มีลักษณะอย่างไร
เฉินฉีหยิบผลชันสูตรจากมือของเธอก่อนจะเปิดอ่านแล้วพูดว่า
“ถ้าคุณเชื่อผมล่ะก็ ผมจะตอบแทนคุณอย่างดีเลย”
เฉินฉีเหลือบมองผลชันสูตรและอ่านข้อความข้างในนั้น “รอยบีบรัดแสดงให้เห็นว่าผู้ลงมืออยู่ข้างหลัง...พบร่องรอยของแอลกอฮอล์ในร่างของผู้ตาย... มีร่องรอยของเพศสัมพันธ์ก่อนเสียชีวิต... มีร่องรอยแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารไหม? พวกเขาไม่ได้ลงไว้ในรายงาน!”
หลินถงซูพูดขึ้นว่า “ผู้ตายเป็นผู้แทนยาเป็นปกติอยู่แล้วที่เธอต้องเข้าสังคม จากที่ฟังเพื่อนร่วมงานของเธอให้การว่าเธอจะไปทานมื้อเย็นในคืนนั้นอยู่แล้ว”
“เธอได้ดื่มมั้ย?”
“ก็อาจจะดื่มอะไรสักอย่างก็ได้?”
เฉินฉีพูดอย่างเหลืออด “คุณหลิน คุณใช้อะไรในการสืบคดีกันแน่?”
หน้าของหลินถงซูแดงขึ้นมาเธอแย้งว่า “คำถามนั้นมันสำคัญด้วยเหรอ? ชัดเจนอยู่แล้วว่าฆาตกรลงมือได้เพราะเป็นคนโรคจิต สิ่งที่ผู้ตายได้ดื่มไปไม่มีผลอะไรในคดีนี้”
“ที่คุณพูดมาเมื่อกี้มีจุดที่ผิดเยอะจนผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนการลงมือสำคัญทั้งนั้นแหละผมจะแสดงให้ดูว่าทำไม ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารแต่มีในเลือดแสดงว่าผู้ตายได้รับจากช่องทางอื่น”
“ช่องทางอื่น?”
“คุณนี่ซื่อบื้อจัง แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลายของยาเสพติดบางชนิดเช่นอีเทอร์”
หลินถงซูเข้าใจในทันที เฉินฉีหยิบปากกาเหล็กออกมาจากกระเป๋าและเขียนลงในผลชันสูตรศพ “มีร่องรอยของแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารไหม? พบร่องรอยของยาสลบในเลือดด้วยหรือเปล่า?”
เขายังคงพูดต่อไปว่า “ผู้ตายเป็นทูตทางการแพทย์หรือก็คือนักศึกษาแพทย์ ถ้าเกิดฆาตกรรู้จักเธอเป็นไปได้ว่ายาสลบจะถูกเอามาใช้”
เฉินฉีอ่านเอกสารต่อไป เขาเคาะนิ้วลงบนกระดาษ “มีร่องรอยการมีเพศสัมพันธ์ เสื้อผ้าฉีกขาดและรอยฟกช้ำมากมายบนร่างกายจึงสรุปได้ว่ามีการฆ่าข่มขืน ผมว่าข้อนี้ด่วนสรุปไปหน่อย”
หลินถงซูคิดตามเขาอย่างรอบคอบก่อนจะตั้งข้อสังเกตว่า
“ถ้าคุณอยากจะตัดข้อสงสัยออก คุณต้องไม่สับสนกับข้อเท็จจริงสิ แบบนี้จะไม่ใช่การข่มขืนได้ยังไง?”
จู่ ๆ เฉินฉีก็ถามขึ้นมา “คุณยังบริสุทธิ์อยู่เหรอ?”
หลินถงซูหน้าแดงไปถึงปลายหูเธอตบมือลงกับโต๊ะ “คุณหมายความว่ายังไงกันแน่!?”
“การข่มขืนมักจะสรุปได้จากสองปัจจัยถ้ากิจกรรมทางเพศถูกบังคับร่างกายจะไม่ถูกกระตุ้นอวัยวะเพศจะแห้งมักจะมีน้ำตาและเลือดออกนอกจากนั้นร่องรอยของรอยช้ำจะบอกได้ว่าฆาตกรอยู่ในตำแหน่งไหน ผมรู้สึกว่าจะสรุปว่าเป็นการข่มขืนเพียงเพราะมีพฤติกรรมทางเพศที่ค่อนข้างประมาทเท่านั้นเองจะสรุปว่าผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กับใครสักคนก่อนตายก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันว่ามันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ!” หลินถงซูยอมรับแบบไม่เต็มใจ
“อีกอย่างคือลองนึกภาพดูสิ ถ้าเหยื่อถูกข่มขืนฆาตกรจะต้องคุมทั้งมือทั้งเท้าเลยนะ ฆาตกรจะต้องจัดตำแหน่งก่อนจะลงมือ ถึงจะมีการบีบคอก็ต้องเป็นร่องรอยจากด้านหน้าแต่ในผลชันสูตรบอกว่าเธอถูกเข้าจากด้านหลังผมนึกภาพตามไม่ถูกว่าฆาตกรจะลงมือได้อย่างไร”
“อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ บางทีหลังจากเสร็จกิจเขาก็ฆ่า...” หลินถงซูสันนิษฐานด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ผมพูดถึงเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้สูง ในมุมมองของสัณฐานวิทยาอาวุธคือเชือกที่หนามากเหมือนจะเป็นเชือกที่ใช้กระโดดจากข้อสมมติฐานที่ว่ามีเชือกนั่นในที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุผล”
ในขณะที่พูดอยู่เฉินฉีก็เขียนความเห็นของเขาลงบนเอกสารจนเกือบเต็มทั้งหน้ากระดาษ
หลินถงซูรู้สึกประทับใจมากชายคนนี้ไม่ใช่มืออาชีพในวงการนี้แต่ทุกอย่างที่เขาพูดดูมีเหตุผลและดีกว่าการบรรยายการสืบสวนที่เธอเคยเข้าฟังมาเสียอีก
“การฆาตกรรมจากการข่มขืน ในความเห็นของผมเหมือนกับว่าถูกจัดจากมากกว่า!” เฉินฉีสรุป
“อะไรนะ?!”
“ฆาตกรจงใจทำให้พวกคุณเข้าใจผิด!”
หลินถงซูตั้งใจคิดเกี่ยวกับคำพูดของเฉินฉี
“มีอีกอย่างนะ ผมกลัวว่าคุณจะไม่เชื่อแน่ผมถ้าผมพูด!” เฉินฉีลังเล
“อะไรล่ะ?”
เฉินฉีมองไปที่รูปของหน้าผู้เสียชีวิตก่อนจะพูดว่า “นี่ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวกับที่ขึ้นรถผมคืนนั้น”