บทที่ 6 หมึกไม่กี่หยดในคดีหมายถึงหยดเลือดของคนนับพันในสังคม
บทที่ 6 หมึกไม่กี่หยดในคดีหมายถึงหยดเลือดของคนนับพันในสังคม
หลินถงซูเข้าใจพี่ชายเธออย่างถ่องแท้เขาไม่เคยทำอะไรที่ผิดจรรยาบรรณมาก่อนในชีวิต นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยลงมือกับผู้ต้องสงสัยเลย นี่เป็นแค่การขู่ให้คนพวกนั้นกลัวเท่านั้น
ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่นักที่เฉินฉีไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มเยาะพร้อมปรบมือ
“หัวหน้าหลินนี่ก็เป็นคนรักสิ่งแวดล้อมเหมือนกันนะเนี่ย รู้ว่าการสอบสวนนี้มันไร้ประโยชน์ก็เลยปิดระบบเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใช่มั้ย หืม?”
“ยังมีอารมณ์ขันอยู่อีกเหรอ? หัวเราะให้เต็มที่ล่ะก่อนที่จะทำไม่ได้อีก”
หลินชิวผูหยิบเอกสารขึ้นมากองหนึ่งเดินไปหาเฉินฉีและอ่านเอกสารเล็กน้อยก่อนจะอุทานว่า
“ประวัติคุณายาวเหยียดเลยนะเนี่ย ดูน่าตื่นเต้นจัง!”
เฉินฉีชายตามองเขาและท้าทายว่า “มันก็คือสิ่งที่ผมเคยทำเมื่อก่อน แล้วไงล่ะ? นี่คือเหตุผลที่คุณไม่เชื่อผมใช่ไหม?”
“อดีตนักโทษที่มีประวัติแย่มาก ๆ ล่วงละเมิดผู้โดยสารสาวสวยตอนตีสอง ต่อมาพบว่าเธอถูกฆ่าข่มขืน ถ้าคุณเป็นผมคุณจะคิดว่ายังไงล่ะ?”
“ผมขอแย้งนะ จุดประสงค์ที่สร้างคุกมาก็เพื่อดัดนิสัยคนอย่างผมไม่ใช่เหรอ? หลังจากกลับตัวกลับใจได้แล้วถ้าคนคนนั้นสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างถูกกฎหมายนั่นไม่ใช่ตัวอย่างดีงามที่ควรส่งเสริมเหรอ? แล้วทำไมถึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกสงสัยได้? ถ้าเอาตามที่คุณพูดอดีตนักโทษอย่างผมต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมใช่มั้ย?”
“หยุดพูดวนไปวนมาหลบเลี่ยงคำถามของผมสักที ตอบผมมา คืนนั้นคุณทำอะไรกันแน่?”
เฉินฉีย่นคิ้วด้วยท่าทางไม่พอใจ “ผมบอกไปแล้วตั้งหลายรอบแต่คุณก็ไม่ยอมเชื่อ ผมเข้าใจนะถ้าคุณจะคิดแบบนั้น ระบบความยุติธรรมในประเทศนี้บอกไว้ว่าผู้กระทำความผิดสามารถขึ้นให้การฝ่ายจำเลยได้ ผมเชื่อว่าคุณเอาแนวคิดนี้มาใช้ในห้องสอบสวนด้วยซึ่งนั่นจะทำให้มีประชาชนตาดำ ๆ ติดร่างแหมาจำนวนมากและมีแต่ความผิดพลาดในคดีนั้น ต่อให้ผมเดินเข้ามามอบตัวที่สถานีเองเลยว่าผมเป็นฆาตกร ตำรวจก็ยังต้องหาหลักฐานเป็นพันชิ้นก่อนที่จะจับผม เท่าที่ผมเห็นตอนนี้คุณไม่มีหลักฐานแม่แต่ชิ้นเดียวแต่ก็ยังพูดพล่อย ๆ ข่มขู่พลเมืองผู้บริสุทธิ์ให้สารภาพ คุณจะมีหน้าไปสู้กับระบบยุติธรรมได้ยังไง? คุณทนเห็นตัวเองใส่เครื่องแบบนี้ได้ยังไง? แล้วประชาชนพวกนั้นล่ะ? คุณมองหน้าพวกเขาแล้วคุณรู้สึกยังไงเหรอ?”
“แกนี่มัน!..” หลินชิวผูอ้าปากค้างเดินไปมาและกัดฟัน
“พี่!” หลินถงซูกระซิบเตือนด้วยกลัวว่าพี่ชายของเธอจะทำอะไรหุนหันพลันแล่น
ถัดจากหลินชิวผูไปเฉินฉีที่ไม่แม้แต่จะสบตาทั้งที่เขากำลังเดินเตร่อยู่ โดยที่ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าบรรยากาศภายในห้องกำลังเปลี่ยนไป
“ถ้าผมยอมรับว่าผมผิด ไม่ใช่แค่ผมที่จะเดือดร้อนแต่รวมถึงครอบครัวของผมด้วย อีกอย่างผู้ตายก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน สุดท้ายฆาตกรก็ยังคงลอยนวลและอาจจะก่อเหตุซ้ำ คุณรู้ตัวไหมว่าการกระทำของคุณส่งผลต่อหลายชีวิตขนาดไหน หัวหน้าหลิน… หมึกแต่ละหยดที่ใช้ในคดีนี้หมายถึงเลือดของผู้คนนับพันที่ต้องหลั่งนะ คุณต้องระมัดระวังกว่านี้!”
“นี่! แก! ถ้าไม่เห็นโลงศพก็คงไม่หลั่งน้ำตาสินะ!” หลินชิวผูเงื้อมือด้วยความโกรธที่พุ่งสูงขึ้น
หลินถงซูและคนอื่นยืนแข็งทื่อด้วยความกลัว ทันใดนั้นเองเฉินฉีก็เอาหัวโขกกับแท่งเหล็กทิ้งเป็นรอยแดงไว้บนหัว เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างเชื่องช้า
“นี่คุณทำอะไรลงไปน่ะ?!” หลินชิวผูอึ้งกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“หัวหน้าหลินทำร้ายร่างกายผม! เขาทำร้ายผม!” เฉินฉีตะโกน
“เงียบนะ! หยุดตะโกนเดี๋ยวนี้!”
เฉินฉียิ้มเยาะ “ตอนนี้ไม่มีใครเฝ้าดูเหตุการณ์ผ่านกล้องแล้ว และผมมีแผลบนหัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ถ้าผมออกไป!”
“ไร้สาระน่า!” หลินถงซูที่ไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไปลุกขึ้นยืน
“อย่าลืมว่ายังมีเราสองคนเป็นพยานอยู่นะ คุณต้องการจะใส่ร้ายหัวหน้าอยู่อีกเหรอ?”
“คำให้การของพวกคุณจะมีน้ำหนักพอเหรอ? คนหนึ่งเป็นลูกน้องส่วนอีกคนเป็นน้องสาวของจำเลย กฎหมายให้น้ำหนักกับหลักฐานมากกว่าคำให้การของพยานนะ ยิ่งประกอบกับการที่ไม่สนใจคำให้การของญาติฝ่ายจำเลยอีก ถ้าเราต้องขึ้นศาลกันจริง ๆ พวกคุณคิดเหรอว่าจะสามารถเป็นพยานในการปรักปรำผมได้?”
หลินถงซูกับเจ้าหน้าที่อีกคนมองหน้ากัน อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปเขาสามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย
หลินชิวผูพูดขึ้นเสียงดัง “คุณคิดว่านี่คือที่ไหนกัน!?”
“สถานีตำรวจไง สถานที่ที่พูดเกี่ยวกับกฎหมายอย่างมีเหตุผล กักขังและสอบสวนโดยไม่มีหลักฐาน ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการสอบสวนด้วยการปิดระบบสังเกตการณ์และรอยแผลที่อยู่บนหน้าของผมด้วย สามอย่างนี้ผมไม่จำเป็นต้องหาทนายฝีมือดีด้วยซ้ำ ผมแค่ต้องหาคนใหม่มาพิจารณาคดี และคุณจะไม่สามารถอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นต่อให้มีพยานเป็นร้อยคน อีกอย่างคุณยังขาดข้อมูล ในฐานะที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายมักจะมีอย่างหนึ่งที่มองข้ามไปคือกฎหมายไม่ได้บังคับใช้แค่กับคนที่นั่งเก้าอี้ตัวนี้เท่านั้นแต่รวมถึงพวกคุณด้วยเหมือนกัน!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งร่างของหลินชิวผูเต็มไปด้วยเหงื่อเขาใช้นิ้วมือจับบริเวณหลังปกเสื้อ ท่าทางเก้กังของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังทำอะไรไม่ถูก
หลินถงซูขัดจังหวะด้วยการพูดว่า “พี่ ฉันลืมพูดอะไรบางอย่าง...”
“เธอว่ายังไงนะ?” หลินชิวผูมองเธออย่างไม่เชื่อสายตาแล้วหันกลับไปมองที่เฉินฉีที่กำลังยิ้มอยู่
“ตอนนี่เขาถูกจับเขายื่นปืนของเธอคืนงั้นเหรอ?”
“ชะ..ใช่!” หลินถงซูยอมรับด้วยท่าทีเขินอาย “แล้วฉันก็คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนร้ายหรอก”
เฉินฉียิ้มอย่างพึงพอใจมันเป็นการยากที่จะเปลี่ยนความคิดใครบางคน เช่นเดียวกับสิ่งเหล่านั้นที่ก่อให้เกิดข้อกังขาในตัวของเขา หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำลงไปค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดที่หลินถงซูที่มีต่อเขาทีละเล็กทีละน้อย
โดยสามัญสำนึกแล้วผู้ชายจะหัวรั้นมากกว่าผู้หญิง
หลินชิวผูสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะแล้วตะโกนใส่ว่า “ปล่อยเขาไป!”
เมื่อเฉินฉีออกมาจากสถานีตำรวจก็เกิดความโกลาหลขึ้น เป็นครั้งแรกที่ผู้ต้องสงสัยถูกปล่อยตัวหลังจากถูกสอบสวนโดยหัวหน้าหลิน เพื่อเป็นการรักษาเกียรติของตัวเองหลินชิวผูพูดกับตัวเองว่า
“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์หนีไม่พ้นนักล่าหรอก เดี๋ยวเขาต้องกลับมาอีกรอบแน่!”
สิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาก็คือเฉินฉีกลับมาหลังจากผ่านไปไม่ถึงห้าวินาทีทำให้ทั้งสถานีพากันตะลึงไปตาม ๆ กัน ทำให้หลินชิวผูตกใจมาก “คุณต้องการอะไร?”
“รถของผมอยู่ที่ไหน?”
หลินถงซูบอกเขาว่า “จอดอยู่ที่โรงรถใต้ดิน เดี๋ยวฉันพาไป”
“ขอบคุณที่ช่วยครับ!”
หลินถงซูเดินนำเฉินฉีไปทางโรงจอดรถใต้ดินเมื่อถึงที่หมายเฉินฉีก็ตรวจดูรถของเขาทั้งภายในและภายนอกหลินถงซูถอนหายใจก่อนจะเอ่ยปากว่า “คุณมองในแง่ลบเกินไปแล้วนะเราจะไปทำอะไรรถคุณได้?”
“ก็ถ้ารถผมเป็นรอยขึ้นมาผมต้องไปเอาเรื่องกับใครได้ล่ะ!” เฉินฉีจุดบุหรี่แล้วยืนพิงกับประตูรถพร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกให้เธอมาหา
หลินถงซูคิดในใจว่าชายคนนี้ช่างหยาบคายแต่ก็ยังเดินเข้าไปหาอยู่ดีทันใดนั้นเฉินฉีก็ลดเสียงลงอย่างลึกลับ
“ผมจะช่วยคุณไขคดีนี้เอง!”
“ว่ายังไงนะ?!” หลินถงซูไม่เชื่อหูของตัวเอง
“ผมบอกว่าผมจะช่วยคุณไขคดีนี้ไง คุณต้องการไหม? โอกาสสุดท้ายแล้วนะ”
“ไม่เอาน่า คุณไขคดีด้วยการใช้คารมของคุณเถียงไม่ได้หรอกนะ คนที่ไม่ได้รับการฝึกมา…”
“ฟังนะ ผมสัมผัสได้ว่าคดีนี้มีเงื่อนงำอยู่เหมือนกับว่ามันถูกวางแผนไว้นานแล้ว”
“คุณอ่านนิยายสืบสวนเยอะไปแล้ว!”
“วันนี้พี่ชายคุณหัวเสียมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำต่อไปนี้คือไปสืบหารถคันอื่นที่ผ่านจุดเกิดเหตุในคืนนั้นแล้วขยายวงกว้างไปหาคนที่พอจะเป็นพยานได้ จากนั้นก็ไปสอบสวนเพื่อนของผมซึ่งผมจะบอกเลยว่าเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์เอามาก ๆ คุณจะพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการไขคดีแล้วปล่อยฆาตกรลอยนวลไปได้ ถ้าคุณคิดว่าผมพูดถูกก็เอาผลชันสูตรศพมาให้ผมคืนนี้!”
เฉินฉีโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วเปิดประตูรถก่อนจะขับออกไปเขาได้โค้งหัวให้หลินถงซู “แล้วเจอกันคืนนี้นะครับ!”
หลินถงซูประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อรถของเขาพ้นโรงรถไปเธอกระทืบเท้าเสียงดัง “คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักรึไง?!”