ระบบทักษะพลิกชีวิน - ตอนที่ 22 นายพลหวังหมิงชาง
ตอนที่ 22 นายพลหวังหมิงชาง
เช้าตรู่ของวันใหม่ หวังไห่เฟิงและคนอื่นๆ ก็ได้รีบพาเย่โม่ไปที่ห้องพักฟื้นภายในบ้านสกุลหวัง
เย่โม่เดินตรงเข้าไปหาชายชราที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นจึงได้หันไปบอกกับทุกคนว่า
“ผมขอทำการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับผู้เฒ่าหวังก่อน”
หลังจากนั้น เย่โม่ก็ได้เดินเข้าไปหาชายชรา พร้อมกับเริ่มบีบนวดที่ขาทั้งสองข้างให้ จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เขาจึงได้หยิบเข็มเงินออกมา และเริ่มปักเข็มเงินเหล่านั้นลงไปที่ขาทั้งสองข้างของชายชรา
“ทุกคนครับ ช่วยมาจับร่างของผู้เฒ่าไว้ก่อน! ผมจะทำการฝังเข็มตรงรอยช้ำกลางศรีษะของอาวุโส”
จากนั้น หวังไห่เฟิงและหวังไห่ตงก็ได้ช่วยกันจับแขนของชายชราไว้คนละข้าง เย่โม่ดึงเข็มยาวหกนิ้วออกมาหนึ่งเล่ม ก่อนจะค่อยๆปักเข็มลงไปที่ศรีษะของชายชรา
นิ้วของเย่โม่ขยับเพียงแค่เล็กน้อย และเข็มเงินที่ปักอยู่บนศรีษะก็ขยับเพียงแค่เล็กน้อยเช่นกัน จากการขยับเคลื่อนไหวนั้น ก็เริ่มมีเลือดสีแดงเข้มจนเกือบดำไหลออกมาตามเข็ม
สมาชิกสกุลหวังทุกคนต่างก็พากันตาเบิกโพลง และอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ พวกเขาพอจะรู้ว่า เลือดสีดำที่ไหลออกมาตามเข็มนั้น มาจากรอยช้ำบนศรีษะของผู้เฒ่าหวังนั่นเอง
กระทั่งผู้อำนวยการหม่าเองก็ตกใจสุดขีดเช่นกัน นั่นเพราะเย่โม่สามารถปักเข็มลงกลางศรีษะของชายชราได้โดยไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย และนี่เป็นวิธีการกำจัดลิ่มเลือดในสมอง ซึ่งมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่คนเป็นหมออย่างเขาเคยเห็นมา
เมื่อเลือดสีดำไหลออกมาแล้ว เย่โม่จึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเริ่มใช้ฝ่ามือขวาตบเข้าที่แผ่นหลังของผู้เฒ่าหวังด้วยความเร็วสูง
ฝ่ามือของเย่โม่เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด จนเห็นเป็นภาพทับซ้อนกัน ทุกครั้งที่ฝ่ามือของเย่โม่ฟาดลงบนแผ่นหลังของชายชรา เข็มเงินที่ปักอยู่ตามร่างกายก็แทบหลุดออกมาจากร่าง!
จนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่างแล้ว ในที่สุด เย่โม่ก็ได้ทำการดึงเข็มเงินที่อยู่บนศรีษะ และขาทั้งสองข้างของชายชราออก
“ฮู่ว…”
เย่โม่ถึงกับต้องพ่นลมหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้น ขาทั้งสองข้างของผู้เฒ่าหวังที่เคยไร้ความรู้สึก ก็เริ่มขยับเขยื้อนได้ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยฝ้ามัว ก็เริ่มกลับมาสดใสมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง
“พ่อ!”
“คุณปู่!”
สมาชิกสกุลหวังต่างก็พากันร้องพึมพำออกมา ในขณะที่ผู้เฒ่าหวังได้แต่ร้องถามออกมาด้วยสีหน้างุนงงสับสน
“อืมมม… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? แล้วทำไมฉันถึงได้มานั่งอยู่บนรถเข็นแบบนี้ล่ะ?”
หวังไห่เฟิงเพิ่งได้สติ นับตั้งแต่ที่เย่โม่เริ่มทำการรักษาชายชราจนกระทั่งเสร็จสิ้นนั้น เขาก็ได้แต่ยืนมองแน่นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด แต่เมื่อชายชราเอ่ยถาม เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวและเริ่มเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้กับชายชราฟัง
หลังจากได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆแล้ว ผู้เฒ่าหวังก็ได้แต่เหลือบมองไปทางเย่โม่ พร้อมกับใช้สายตาสำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะลุกขึ้นจากรถเข็นเดินไปหาเย่โม่ จากนั้น เขาก็จับมือเย่โม่ไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม ขอบใจมากจริงๆ ขอบใจที่ช่วยรักษาอาการป่วยของฉันจนหายเป็นปกติ!”
“ไม่เป็นไรครับอาวุโส เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง! ความจริงแล้วต้องขอบคุณผู้อำนวยการหม่ามากกว่า ที่เชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของผม ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่มีโอกาสได้เข้ามารักษาอาวุโสแน่ครับ!”
เย่โม่ตอบกลับไปด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัว และไม่ลืมที่จะให้เครดิตกับผู้อำนวยการหม่าด้วยเช่นกัน!
“ฮ่าๆๆ ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่จองหองโอ้อวด เพียงแค่ความแข็งแกร่งด้านจิตใจแบบนี้ ก็ทำให้เธอเหนือกว่าหนุ่มสาวในวัยเดียวกันได้แล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าหวางหัวเราะร่วนพร้อมกับเอ่ยชมเย่โม่ จากนั้นจึงได้หันไปพูดกับผู้อำนวยการหม่าว่า “เสี่ยวหม่า เป็นเพราะอาการป่วยของฉัน เธอก็เลยต้องลำบากไปด้วยสินะ?”
ผู้อำนวยการหม่ารีบตอบกลับไปทันที “ไม่เลยครับคุณลุงหมิงจาง ปัญหาของคุณลุงก็คือปัญหาของผม หากไม่ใช่เพราะคุณลุง ผมเกรงว่าตอนนี้…”
“เอาน่าๆเพื่อนรัก ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่รู้คุณคน และไม่ลืมที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ แต่หยุดรำลึกเรื่องราวในอดีตได้แล้ว…” หวังไห่เฟิงรีบห้ามปรามหม่าไป๋ซังเพื่อนเก่าทันที
“ฉันหวังหมิงชาง ผ่านสมรภูมิรบมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี เวียดนาม หรือว่าอินเดีย ฉันเองก็เคยเข้าร่วมต่อสู้มาแล้วทั้งนั้น ฉันอยู่ในสนามรบมาเกือบทั้งชีวิต ถ้าบั้นปลายต้องมานั่งอยู่บนรถเข็นแบบนี้ มีหวังไอ้เพื่อนเก่าแก่ของฉันเห็นเข้า พวกเขาคงต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ทั้งเธอแล้วก็หมอเย่ ล้วนเป็นผู้มีพระคุณของฉันทั้งคู่ และเป็นแขกผู้มีเกียรติของสกุลหวังเราด้วย!”
ชายชราร้องบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณพ่อคะ อย่าลืมว่าคุณพ่อได้ฉายานายพลผู้กุมชัยไปทั่วโลกนะคะ แบบนี้แล้วยังจะมีใครกล้าหัวเราะเยาะพ่ออีกล่ะคะ!” เว่ยอี้เฉินเอ่ยบอกพร้อมกับยิ้มบางๆบนใบหน้า
“นั่นน่ะสิครับคุณปู่ ใครๆในประเทศต่างก็รู้ว่า คุณพ่อเป็นนายพลอันดับหนึ่ง แม้แต่ในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ระดับมัธยมปลาย ยังพูดถึงเรื่องราวของคุณปู่ด้วยนะครับ” หวังยู่หยางเอ่ยบอกคนเป็นปู่ด้วยความรู้สึกชื่นชม
แม้ว่าเย่โม่จะคาดเดาไว้ก่อนหน้าแล้วว่า ฐานะของผู้เฒ่าหวังคนนี้น่าจะมีอะไรพิเศษ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นนายพลหวังหมิงชางผู้โด่งดัง และชื่อของเขาได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย!
“เลิกพูดเรื่องผู้กล้าในอดีตได้แล้ว! ยุคนี้เป็นยุคของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ คนแก่ๆอย่างพวกเรามีหน้าที่ปูทางให้กับคนรุ่นใหม่เท่านั้น”
ผู้เฒ่าหวังเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้ศรีษะของหลานชายอย่างรักใคร่เอ็นดู ในขณะเดียวกันก็เอื้อมมือออกไปดึงแขนเย่โม่เข้ามาหา พร้อมกับพูดต่อว่า
“เย่โม่เป็นคนเก่งและมีความสามารถ หยางหยาง เธอต้องคบหาเย่โม่เป็นเพื่อน แล้วก็หมั่นไปมาหาสู่เขาให้สม่ำเสมอล่ะ”
มีหรือที่หวังยู่หยางจะไม่เข้าใจคำพูดของปู่ หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับเย่โม่ไปอย่างละเอียดเมื่อวานนี้ ทำให้เขารู้ว่า เย่โม่นั้นอายุมากกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้อายุน้อยกว่าเขาอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ให้เกียรติเย่โม่ด้วยการเรียกขานว่า ‘พี่’
หวังยู่หยางเอื้อมมือออกไปจับมือเย่โม่ไว้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่เย่ มหาวิทยาลัยชานตงของฉันอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยจี่หนิงของพี่เท่าไหร่นัก ถ้ายังไง ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ! วันหน้ามีอะไรก็ช่วยแนะนำผมด้วยล่ะ”
“เกรงใจเกินไปแล้วครับ! ผมคงไม่กล้า”
“ฮ่าๆๆ หยางหยางพูดถูกแล้วล่ะ!”
หวังหมิงชางเอ่ยสนับสนุนหลานชายทันที ก่อนจะหันไปสั่งลูกสะใภ้ว่า “อี้เฉิน เธอไปจัดเตรียมอาหารเที่ยงได้แล้วล่ะ วันนี้จะต้องเลี้ยงขอบคุณหมอเย่กับเสี่ยวหม่าให้เต็มที่!”
“ได้ค่ะคุณพ่อ ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย!” หลังจากพูดจบ เว่ยอี้เฉินก็เดินออกไปจากเรือนพักฟื้นทันที
หลังจากนั้น หวังไห่เฟิงก็ได้บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องการที่จะให้เย่โม่ให้มาเป็นอาจารย์รับเชิญบรรยายในมหาวิทยาลัยจี่หนิง
ผู้เฒ่าหวังฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความพอใจ พร้อมกับเอ่ยชมลูกชายว่าทำได้ดีมาก จากนั้น ชายชราก็ได้เริ่มสอบถามเกี่ยวกับครอบครัวของเย่โม่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เสี่ยวเย่ ดูเหมือนเธอจะยังไม่มีที่พักในจี่หนิงสินะ? หากต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอคงจะอาศัยอยู่ที่หอพัก เอาแบบนี้ดีมั๊ยล่ะ ฉันจะซื้อบ้านที่อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยให้เธออยู่?” ผู้เฒ่าหวังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
เย่โม่ส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า “ผมขอบคุณแล้วก็ซาบซึ้งในความเมตตาของผู้เฒ่าหวังมากครับ แต่ผมคงจะไม่สามารถรับบ้านหลังนี้ไว้ได้อีก เพราะเลขาหวังได้ช่วยเหลือผมมากแล้ว หากผมยังรับบ้านหลังนี้มาอีก ผมคงจะไม่รู้สึกดีแน่นอน!”
เมื่อผู้เฒ่าหวังเห็นสีหน้าจริงจังของเย่โม่ เขาจึงไม่ต้องการคะยั้นคะยอหรือบีบบังคับอะไรอีก ในวัยอย่างเขานั้น เรื่องทรัพย์สินเงินทองนับเป็นเรื่องรอง สุขภาพร่างกาและชีวิตที่ยืนยาวต่างหากที่สำคัญกว่า อีกอย่าง เส้นทางยังอีกยาวไกล ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอบแทนอัจฉริยะทางการแพทย์อย่างเย่โม่ จนกระทั่งดูเป็นการยัดเยียดนักก็ได้
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้ว
เว่ยอี้เฉินเดินเข้ามาบอกกับทุกคนว่า อาหารได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ขอเชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารที่ห้องอาหารอันกว้างใหญ่โอ่โถงของคฤหาสน์สกุลหวังด้วยกัน
ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกลมอยู่ อาหารหลากหลายชนิดถูกนำมาวางไว้จนเต็มโต๊ะไปหมด เย่โม่เห็นแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
ชีวิตหรูหราของคนร่ำรวยนั้น ช่างเป็นอะไรที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถนึกจินตนาการได้ออกจริงๆ!
ไวน์แดงลาฟิเต้ราคาแพงถูกนำออกมาเปิดฉลอง เป่าฮื้อปรุงรสชาติประณีต ปลานึ่งซีอิ๊ว ปลาตุ๋นเลือดนกนางแอ่น อุ้งตีนหมี กุ้งล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ และเมนูอาหารที่น่าตกตะลึงอีกหลากหลายเต็มไปหมด!
เฉพาะกุ้งล็อบสเตอร์ตัวยาวกว่าหนึ่งเมตร และอุ้งตีนหมี ยังไม่รวมอาหารอื่นๆอีกมากมายบนโต๊ะ ก็มีมูลค่าเท่ากับรายได้ทั้งปีของมนุษย์ทำงานทั่วไปแล้ว
--------------------------
ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ : แปลสนุก