ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 20 วิชาสิบสองเข็มประตูนรก
ตอนที่ 20 วิชาสิบสองเข็มประตูนรก
บนพื้นภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่ มีพรมราคาแพงซึ่งทำจากหนังแกะออสเตรเลียปูอยู่ นอกจากนี้ก็ยังมีภาพวาดทิวทัศน์ที่งดงามมากมายแขวนอยู่ตามผนัง กระทั่งโคมไฟที่ติดอยู่ภายในห้องยังดูหรูหราและสวยสง่าอย่างมาก!
เวลานี้ มีผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนกำลังนั่งล้อมวงดื่มชาอยู่รอบโต๊ะไม้ ซึ่งทำจากไม้แดงราคาแพง เมื่อทั้งหมดเห็นประธานหม่าเดินเข้ามาในห้อง พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที
“ประธานหม่าครับ คืนนี้ต้องรบกวนคุณอีกแล้วนะครับ!”
“ทำแบบนี้ได้ยังไงกันพี่ไห่เฟิง ทำไมถึงไม่ส่งรถไปรับประธานหม่าล่ะ ปล่อยให้ขับรถมาเองได้ยังไงกัน?”
ชายในวัยเกือบจะสี่สิบสวมใส่เครื่องแบบทหารร้องตะโกนบอกพี่ชาย ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินไปจับแขนของหม่าไป๋ซังประคองไว้
“ฮ่าๆๆ ไห่เตา! นี่แกเห็นฉันเป็นคนยังไง? ฉันจะส่งรถไปรับถึงโรงพยาบาล แต่ประธานหม่าต่างหากล่ะที่ปฏิเสธ ไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น!”
หวังไห่เฟิงร้องบอกน้องชายพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“พ่อครับ คุณอาสองครับ หยุดพูดกันก่อนจะได้มั๊ยครับ? รีบๆพาลุงหม่าเข้ามานั่งก่อนจะดีกว่า”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสิบแปดสิบเก้าปีเป็นฝ่ายร้องบอกออกมา
“นั่นน่ะสิไห่เฟิง! รีบๆพาประธานหม่าเข้ามานั่งก่อนเร็วเข้า”
สาวสวยในวัยราวสามสิบเจ็ดปีเป็นฝ่ายพูดขึ้นเป็นคนสุดท้าย
จากบทสนทนาเมื่อครู่ เย่โม่พอจะคาดเดาความสัมพันธ์ของทุกคนในที่นี้ได้ ชายที่สวมชุดเครื่องแบบทหารนั้นชื่อว่าหวังไห่เตา น่าจะเป็นน้องชายของหวังไห่เฟิง ส่วนผู้หญิงกับเด็กหนุ่มผู้ชายนั้นก็น่าจะเป็นภรรยากับลูกชายของหวังไห่เฟิงนั่นเอง
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ประธานหม่าก็ได้แนะนำเย่โม่ให้สมาชิกสกุลหวังทั้งหมดรู้จัก และยังได้บอกกับทุกคนถึงความสามารถในการฝังเข็มและรมยาสมุนพร ซึ่งเป็นศาสตร์การรักษาแบบอนุรักษ์นิยม ที่ตั้งใจจะนำมารักษาอาการเจ็บป่วยของผู้เฒ่าหวังด้วย!
แต่แม้ว่าหวังไห่เฟิงจะไม่เชื่อ ด้วยกิริยามารยาทที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี เขาก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น แต่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมา
ตรงกันข้ามกับหวังไห่เตาน้องชาย และหวังยู่หยางลูกชายของเขา เมื่อทั้งคู่ได้ยินว่า คนที่จะมารักษาผู้เฒ่าหวังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันอันตรธานหายไปทันที
แต่ดูเหมือนประธานหม่าจะคาดเดาก่อนอยู่แล้วว่า จะต้องพบเจอกับภาพฉากเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มแปลกๆ
“พวกเธอคงจะไม่เชื่อว่าหมอเย่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศเพราะเขาอายุยังน้อยสินะ? ฉันจะบอกอะไรให้ ก่อนหน้านี้มีคนไข้หนักในโรงพยาบาลที่นอนนิ่งไม่ไหวติง กระทั่งหมอทั้งโรงพยาบาลก็ไม่มีใครสามารถรักษาได้ แต่หมอเย่ใช้เวลาแค่สิบนาทีในการรักษาคนไข้คนนั้นให้กลับมาเป็นปกติได้!”
ทั้งหวังไห่เฟิงและภรรยาได้แต่กระพริบตาปริบๆในขณะที่ฟังคำบอกเล่าจากปากของประธานหม่า ส่วนหวังไห่เตากับหวังยู่หยางยังคงมีสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
“แต่หมอเย่ดูเหมือนจะอายุยังน้อยกว่าผมอีก…” หวังยู่หยางได้แต่กระซิบกระซาบเสียงเบา
“ประธานหม่าครับ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ ผมเป็นทหาร มีอะไรก็ชอบพูดกันแบบตรงไปตรงมา เอาอย่างนี้ได้มั๊ยครับ ขอให้หมอเย่แสดงความสามารถให้เราเห็นหน่อยได้มั๊ยครับ แล้วผมจะยินดีเชื่ออย่างเต็มใจเลย!”
หลังจากพูดจบ หวังไห่เตาก็หันไปขอโทษเย่โม่ล่วงหน้า “คุณหมอเย่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พูดอะไรออกมาตรงๆแบบนี้!”
ประธานหม่าเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ หวังไห่เตาเป็นทหารจึงมีบุคลิกที่ค่อนข้างแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวใคร แต่การที่เขาหันไปพูดขอโทษเย่โม่แบบนั้น แสดงให้เห็นว่ายังให้หน้าเขากับเย่โม่อยู่บ้าง
“หมอเย่ คุณว่ายังไงครับ?”
ประธานหม่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามเย่โม่ เพราะถึงอย่างไรเย่โม่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่น เขาไม่รู้ว่าเย่โม่จะมีอารมณ์หุนพลันแล่นมากแค่ไหน
เย่โม่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ได้ครับ! ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นความสามารถของผม”
“ขอเริ่มจากคุณหวังไห่เฟิงเลยนะครับ เพียงแค่มองปราดเดียวผมก็รู้แล้วว่า คุณมีปัญหาเรื่องต้นคอซึ่งเกิดจากความเครียดที่สะสมมานาน การนวดบำบัดเป็นเพียงแค่การรักษาปลายเหตุเท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ แต่ผมสามารถรักษาให้หายขาดได้!”
อะไรกัน? เพียงแค่มองปราดเดียว เด็กหนุ่มคนนี้ก็สามารถบอกอาการเจ็บป่วยของหวังไห่เฟิงได้อย่างนั้นหรือ? มิหนำซ้ำยังกล้าพูดว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วย! เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ทำไมถึงกล้าพูดจาโอ้อวดได้ขนาดนี้?
แต่ถึงอย่างนั้น เวลานี้ทุกคนในสกุลหวังต่างก็มีสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก แต่หวังไห่เฟิงกลับยังคงสงบนิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หมอเย่นับว่ามีสายตาแหลมคมมากจริงๆ! อาการปวดไหล่ปวดต้นคอของผม เกิดจากการทำงานเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครสามารถรักษาอาการพวกนี้ให้หายขาดได้ แต่ถ้าหมอเย่สามารถทำได้ แสดงว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอเย่ล้ำเลิศเหมือนที่ประธานหม่าพูดจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญคุณหวังมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ได้เลยครับ!” เย่โม่ยกมือขึ้นชี้ไปทางเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างๆตัวเอง
หวังไห่เฟิงลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปนั่งที่เก้าไม้ตัวนั้นทันที
เย่โม่เดินไปยืนข้างหลังของหวังไห่เฟิงห่างออกมาราว 20 เซ็นติเมตร จากนั้นจึงได้วางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะเริ่มทำการนวดทวนเข็มนาฬิกาเบาๆอย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งสามนาทีผ่านไป เขาก็เริ่มเปลี่ยนมานวดไหล่ทั้งสองข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เย่โม่สามารถกดลงบนตำแหน่งจุดได้อย่างแม่นยำ และด้วยน้ำหนักแรงกดที่สม่ำเสมอ นิ้วมือของเขาได้เจาะลงไปตามกล้ามเนื้อบริเวณช่วงไหล่ และทำการนวดไปตามพื้นที่บริเวณนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“อืมม…”
หวังไห่เฟิงครางออกมาด้วยความรู้สึกสบายพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วิธีการนวดของหมอเย่ทำให้ผมรู้สึกสบายมากจริงๆ ตอนนี้ผมรู้สึกผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก”
หวังไห่เฟิงหลับตาลง สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความสบายผ่อนคลายอย่างแท้จริง และเมื่อทุกคนในห้องเห็นเช่นนั้น ทั้งหมดก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ!
“อย่าเพิ่งพูดอะไรครับ! พยายามทำจิตใจให้สงบผ่อนคลายตามไปด้วย”
หลังจากร้องบอกหวังไห่เฟิงให้หยุดพูดแล้ว เย่โม่ก็เริ่มเคลื่อนฝ่ามือไปตามแผ่นหลังของหวังไห่เฟิง พร้อมกับใช้นิ้วโป้งกดไปตามกระดูกสันหลังของเขา ส่วนนิ้วทั้งสี่ก็ดันแผ่นหลังของเขาไว้ เพื่อช่วยเพิ่มแรงกดให้กับนิ้วโป้ง
จากนั้น เย่โม่ก็เริ่มทำการกดที่จุดเทียนจง จุดเฟิงฉือ และจุดต้าจุย ซึ่งแต่ละจุดจะใช้เวลานราวหนึ่งนาที ก่อนจะจบที่การนวดกล้ามเนื้อรอบสะบักและลำคอ!
หลังจากทำการนวดกดจุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย่โม่ก็ได้หันไปบอกกับประธานหม่าว่า “ประธานหม่าครับ รบกวนช่วยส่งกล่องเข็มเงินให้ผมหน่อยครับ!”
“ได้สิ!”
เย่โม่รับกล่องไม้มาจากประธานหม่า ซึ่งภายในกล่องมีเข็มขนาดสามนิ้วจำนวนยี่สิบหกเล่ม และเข็มยาวหกนิ้วอีกสิบแปดเล่ม เย่โม่าเลือกหยิบเข็มขนาดหกนิ้วออกมาหนึ่งเล่ม
เข็มหกนิ้วนั้นมีความยาวกว่ายี่สิบเซ็นติเมตร แต่ด้วยความยาวของเข็ม เมื่อเย่โม่ดึงออกมาจากกล่องไม้ มันจึงได้โค้งงอไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก
เย่โม่ค่อยๆเหยียดเข็มให้ตั้งตรง และด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้า เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว เข็มเงินทั้งหมดสิบสองเล่มก็ปักเข้าไปที่ไหล่ของหวางไห่เฟิงอย่างรวดเร็ว
และนี่คือวิชาสิบสองเข็มประตูนรก! และย่อมมีเหตุผลที่เย่โม่กล้าที่จะใช้วิชานี้ นั่นเพราะการสูญเสียพละกำลังของกล้ามเนื้อเล็กๆแต่ละมัดไป เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วิชาฝังเข็มนี้ฟื้นฟู
ขั้นตอนที่ยากที่สุดในการรักษาคนไข้นั้น ไม่ใช่วิชาที่ใช้รักษา แต่เป็นการวินิจฉัยหาต้นเหตุของโรคนั้นๆ และอาการต่างๆของคนไข้ต่างหาก จากนั้น จึงค่อยประเมินว่าจะทำการฝังเข็มที่เส้นลมปราณใด และจุดฝังเข็มใดบ้าง
ไม่เพียงเท่านั้น ในการฝังเข็มลงไปในแต่ละจุดนั้น วิธีการถอนเข็มก็แตกต่างกันด้วย ดังนั้น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นการรักษาด้วยวิชาสิบสองเข็มประตูนรกเหมือนกัน แต่รูปแบบล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
จนกระทั่งผ่านไปราวสิบนาที เย่โม่จึงได้จัดการถอนเข็มทั้งหมดออกไปในทิศทางที่แตกต่างกัน หลังจากนั้น จึงได้ยกฝ่ามือขึ้นตบเข้าที่แผ่นหลังของหวังไห่เฟิงด้วยความเร็วสุดขีด!
พัวะ!
พัวะ!
พัวะๆๆๆ
“น่าทึ่งมาก! มหัศจรรย์มากจริงๆ!”
เมื่อผู้อำนวยการหม่า หวังไห่เตา และหวังยู่หยาง ได้เห็นวิธีการรักษา และฝ่ามือที่ฟาดลงบนแผ่นหลังของหวังไห่เฟิง ทั้งหมดต่างก็ได้แต่จ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลง ราวกับว่ากำลังดูภายพยนต์แฟนตาซีอยู่!
“เอาล่ะ! คุณหวังลองขยับไหล่และลำคอดูครับ แล้วบอกผมว่า ยังรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเดิมมั๊ย?”
หลังจากที่การรักษาสิ้นสุดลงแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามหน้าผาก พร้อมกับร้องบอกหวังไห่เฟิงด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
--------------------------
ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ : แปลสนุก