ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 18 คำขอของหมอเฉิน
ตอนที่ 18 คำขอของหมอเฉิน
เย่โม่ขอให้เฟิงกั๋วตงเข้ามาช่วยเขาจับร่างของหวงเจิ้งหมิงไว้ จากนั้น เขาจึงได้หยิบเอาเข็มเงินออกมาจากล่องไม้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงได้ปักเข็มจำนวนสิบสองเล่มลงไปกลางศรีษะของหวงเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว
วิชาสิบสองเข็มประตูนรก!
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นการใช้เข็มจำนวนสิบสองเล่มในการรักษาผู้ป่วย เพื่อยื้อชีวิตคนไข้กลับคืนจากประตูนรก แต่ถึงอย่างนั้น วิชาฝังเข็มนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งความหมายที่ตรงกันข้าม ซึ่งก็คือการส่งคนผู้นั้นไปสู่ประตูนรกนั่นเอง!
วิชานี้สามารถใช้ช่วยคนก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ฆ่าคนได้เช่นกัน!
หลังจากนั้นไม่นานนัก ดวงตาหม่นหมองประหนึ่งไร้ซึ่งชีวิตของหวงเจิ้งหมิง ก็ได้เปลี่ยนเป็นสุกใสขึ้นในทันที ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับส่งเสียงร้องครวญคราง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหันหน้ามองไปรอบตัวในที่สุด
“เฉียน หยางจื่อ กั๋วตง… ดูท่าฉันคงจะทำให้ทุกคนลำบากมากสินะ?”
เมื่อได้ยินเสียงหวงเจิ้งหมิงพูด ทั้งเฟิงเฉียนและหวงหยานก็ถึงกับน้ำตาไหลพรากออกมาทันที ในขณะที่เฟิงกั๋วตงได้แต่ยืนมองเย่โม่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา และเต็มไปด้วยความสุขอย่างมาก
ในขณะที่คุณหมอเฉินนั้นได้แต่ยืนอ้าปากกว้าง เขายังอยู่ในอาการช็อกจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งจะสามารถรักษาคนไข้ที่แม้แต่หมอทั้งโรงพยาบาลก็ไม่มีใครรักษาได้ มิหนำซ้ำยังใช้เวลาเพียงไม่นานอีกด้วย
“กรุณาหยุดพูดก่อนครับ! ขอให้ผมทำการถอนเข็มออกจากศรีษะของคุณก่อน”
หลังจากร้องบอกหวงเจิ้งหมิงแล้ว เย่โม่ก็ได้จัดการถอนเข็มทั้งสิบสองเล่มออกมาจากศรีษะของเขาในทันที ทุกอย่างดูช่างง่ายดายไปหมด
“ขอบคุณที่ให้ผมยืมเข็มนะครับ!”
หลังจากเก็บเข็มเงินลงไปในกล่องไม้เรียบร้อยแล้ว เย่โม่ก็ได้ยื่นกล่องไม้ในมือคืนให้กับหมอเฉิน ที่เวลานี้ยังคงมีสีหน้าตกอกตกใจ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ
คุณหมอเฉินจึงได้สติ และรีบยื่นมือไปรับกล่องไม้ใบนั้นมาจากเย่โม่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “คนที่ควรจะเอ่ยขอบคุณควรจะเป็นผมมากกว่า! ขอบคุณนะครับที่นอกจากจะช่วยรักษาคนไข้ของผมให้หายได้แล้ว ยังให้โอกาสผมได้เห็นวิชาฝังเข็มที่น่าอัศจรรย์อย่างมากนี้ด้วย! ว่าแต่.. คุณหมอเทวดาท่านนี้มีชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”
สีหน้าของเย่โม่ และความรู้สึกที่มีต่อคุณหมอเฉินเปลี่ยนไปมาก หลังจากที่ได้ยินคำพูดที่แสดงออกมาจากใจจริงของเขา และได้แต่ตอบกลับไปว่า
“ผมไม่ใช่หมอเทวดาครับ เรียกผมว่าเย่โม่ หรือเสี่ยวเย่ก็ได้ครับ!”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเรียกว่าคุณหมอเย่ก็แล้วกันนะครับ… ผม…”
แต่ในระหว่างที่คุณหมอเฉินกำลังจะพูดอะไรกับเย่โม่ต่อนั้น จู่ๆ หวงเจิ้งหมิงก็ลุกขึ้นจากเตียงคนไข้ และเดินตรงเข้าไปหาเย่โม่ทันที
“ขอบคุณเธอมากนะเสี่ยวเย่! เมื่อครู่ภรรยากับลูกสาวของฉันได้เล่าให้ฟังคร่าวๆแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง? นี่ถ้าไม่ได้เธอเข้ามาช่วย ชีวิตของฉันก็คงต้องหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแน่แล้ว เธอคือผู้มีพระคุณของฉันหวงเจิ้งหมิง! ได้โปรดรับการคาราวะจากฉันด้วย!”
หลังจากพูดจบ หวงเจิ้งหมิงก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่โม่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด แต่เย่โม่รีบเข้าไปพยุงร่างของเขาไว้ เพื่อไม่ให้สามารถคุกเข่าลงได้สำเร็จ พร้อมกับบอกไปว่า
“คุณหวงครับ กรุณาอย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ผมไม่สามารถรับการคาราวะจากคุณได้จริงๆ!”
“พี่เขย เสี่ยวเย่เองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล วันข้างหน้าพวกเรายังมีโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณของเขาได้อีกมาก อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะ อีกอย่างพี่เองก็เพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนัก กลับไปพักผ่อนที่เตียงก่อนจะดีกว่า!”
“จริงด้วยค่ะพ่อ! กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ เสี่ยวเย่ยังไม่ไปไหนหรอก ยังไงเราก็ยังมีเวลาที่จะตอบแทนเขาอีกมาก!”
หลังจากนั้น หวงหยานก็ได้ประคองร่างของหวงเจิ้งหมิงกลับไปที่เตียงคนไข้ตามเดิม
“คุณหมอเสี่ยวเย่ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรพูดจากับคุณแบบนั้นเลย ฉันขอโทษอีกครั้งนะคะ ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธดิฉันเลยนะคะ!” เฟิงเฉียนก้าวเดินออกมา พร้อมกับเอ่ยขอโทษเย่โม่อีกครั้งด้วยความจริงใจ
เย่โม่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปถามคุณหมอเฉินที่ดูลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ไม่ทราบว่าคุณหมอเฉินมีอะไรอยากจะพูดมั๊ยครับ?”
“เอ่อ.. คืออย่างนี้นะครับหมอเย่! เมื่อเช้านี้ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของเราเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าแพทย์แผนกต่างๆเป็นการด่วน เนื่องจากว่ามีคนไข้สูงอายุซึ่งมีฐานะพิเศษมากคนหนึ่ง ได้เข้ามาอยู่ในการดูแลรักษาของเรา แต่เพราะฐานะที่พิเศษนี่ล่ะ พวกเราจึงไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดลงมีดได้ จะต้องใช้วิธีการรักษาแบบโบราณเท่านั้น แต่หลังจากที่บรรดาแพทย์ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว วิธีการรักษาแบบโบราณนั้น มันใช้กับเคสของชายชราคนนี้ไม่ได้…”
“ดังนั้น…. เอ่อ…”
“อย่าบอกนะครับว่า คุณหมอเฉินต้องการให้ผมไปทำการรักษาชายชราคนนั้นให้?”
แม้ว่าคุณหมอเฉินจะยังพูดไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา แต่เย่โม่ก็สามารถคาดเดาได้จากสีหน้าท่าทางของเขาที่แสดงออกมา
“ถึงแม้ผมจะมีอายุที่มากกว่า แต่หลังจากได้เห็นเทคนิคการฝังเข็มอันน่าอัศจรรย์เมื่อครู่ของคุณหมอเย่ ผมก็เชื่อมั่นในความสามารถของคุณได้ทันที! ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องใช้วิธีการรักษาแบบโบราณนี้ ทำการรักษาคนไข้พิเศษให้หายได้อย่างแน่นอน!”
คุณหมอเฉินพูดไปก็พยักหน้าไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่ในขณะที่เอ่ยขอร้องเย่โม่นั้น ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เพราะไม่มั่นใจว่าเย่โม่จะยอมรับคำขอร้องของเขาหรือไม่?
“ไม่ทราบว่าชายชราคนนั้นป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?”
แววตาของคุณหมอเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที และรีบตอบเย่โม่กลับไปอย่างรวดเร็ว
“ร่างกายช่วงล่างของคนไข้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ตอนนี้ก็ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นเท่านั้น นอกจากนี้ ภายในช่องสมองยังมีลิ่มเลือดกดทับเส้นประสาทอีกด้วย ทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นและการได้ยินลดลงอย่างมาก…”
เย่โม่นิ่งฟังคำอธิบายของหมอเฉินด้วยความตั้งอกตั้งใจ หลังจากทราบอาการโดยคร่าวๆจึงพบว่า วิชาสิบสองเข็มประตูนรกของเขานั้น สามารถใช้รักษาคนไข้ที่มีอาการลักษณะนี้ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้วิธีการผ่าตัด
แต่หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เย่โม่ก็ได้แต่คิดว่า เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลย ด้วยเหตุนี้ เย่โม่จึงได้เตรียมที่จะปฏิเสธหมอเฉินไป แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดนั้น จู่ๆเสียงของระบบก็ดังขึ้นภายในหัวของเขา
[บี๊บ! ระบบมอบหมายภารกิจใหม่! ทำตามคำขอของหมอเฉิน ทำการรักษาคนไข้คนนี้!]
‘โอ๊ะ! ดูท่าฉันคงจะปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ’
หลังจากยอมรับปฏิบัติภารกิจที่ระบบมอบหมายให้แล้ว เย่โม่จึงได้หันไปบอกกับหมอเฉินว่า “ตกลงครับ! ในเมื่อคุณหมอเฉินเชื่อมั่นในตัวผมขนาดนี้ ผมก็จะช่วยรักษาคนไข้คนนี้ให้!”
“ขอบคุณมากหมอเย่! กรุณารอผมสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้อำนวยการทราบก่อน!”
คุณหมอเฉินร้องบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าดีอกดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องพักคนไข้ทันที
ในเวลานั้น เฟิงกั๋วตงก็ได้เดินมาหาเย่โม่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเย่ พี่เขยของฉันหายดีแล้วใช่มั๊ย? วันหน้าไอ้โรคบ้าๆนี่จะกลับมากำเริบอีกรึเปล่า?”
“นั่นน่ะสิเสี่ยวเย่! มีอะไรที่พ่อจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษบ้างมั๊ย? ฉันจะได้คอยระมัดระวัง พ่อจะได้ไม่กลับมาเป็นโรคนี้อีก?” หวงหยานเอ่ยถามเช่นเดียวกัน
เย่โม่ตอบกลับยิ้มๆ “ขอแค่ต่อไปพยายามไม่กินอาหารหวานๆมันๆก็พอ แล้วก็หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง รับรองได้ว่าจะไม่กลับมาป่วยเป็นโรคนี้อีกอย่างแน่นอน!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของเย่โม่แล้ว ทุกคนที่อยู่ในห้องก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้น เฟิงเฉียนก็หันไปบอกกับสามีว่า
“ได้ยินแล้วใช่มั๊ยคะคุณ? ต่อไปต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงอย่างที่เสี่ยวเย่บอกล่ะ”
“ได้ๆ ฉันจะทำตามที่เสี่ยวเย่บอกอย่างเคร่งครัด เธอเองก็คอยกำชับฉันด้วยล่ะ”
จากนั้น หวงเจิ้งหมิงก็หันไปถามเย่โม่ว่า “เสี่ยวเย่ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากเลย แล้วเมื่อไหร่ฉันถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้ล่ะ?”
“ความจริงคุณหวงจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ควรนอนให้หมอดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักสองสามวันจะดีกว่า!”
“นี่คุณคะ ไม่ต้องห่วงงานมากนักก็ได้ เชื่อฟังเสี่ยวเย่ อยู่ให้หมอดูอาการให้แน่ใจอีกสักสองวันก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้!”
เฟิงเฉียนรีบร้องบอกทันที เมื่อเห็นว่าสามีทำท่าอยากจะกลับบ้านเสียเต็มประดา
หวงเจิ้งหมิงได้แต่ยิ้มกระอักกระอ่วน แต่ก็ตอบไปว่า “ฮ่าๆๆ ได้ๆ เพื่อความสบายใจของทุกคน ฉันจะอยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวัน ว่าแต่เสี่ยวเย่ล่ะ จะกลับไปฉางเฟิงเลยมั๊ย หรือจะไปเที่ยวบ้านเราที่ว่านซานก่อน พวกเราจะได้เลี้ยงรับรองเธอบ้าง!”
เฟิงเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยทันที “นั่นน่ะสิ! กั๋วตง ถ้าเธอมีธุระต้องทำก็กลับไปก่อนได้เลย ส่วนเสี่ยวเย่เดี๋ยวพวกเราจะดูแลต้อนรับเอง หลังจากนั้นจะส่งกลับไปเอง!”
“ฮ่าๆๆ นี่มันอะไรกัน ทั้งพี่สาวพี่เขยคิดที่จะขโมยแขกคนสำคัญของฉันไปแล้วเหรอ? ฉันว่าจะกลับวันมะรืน เพราะลุงกับป้าของเสี่ยวเย่จะมาเริ่มงานที่โรงงานวันจันทร์นี้พอดี ฉันเองก็จะต้องกลับไปจัดแจงอะไรๆให้เรียบร้อย”
เฟิงกั๋วตงร้องบอกพร้อมกับหัวเราะร่วน
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุขสั้น คุณหมอเฉินก็เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน
--------------------------
ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ : แปลสนุก