ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 14 กลับไปโรงเรียน
ตอนที่ 14 กลับไปโรงเรียน
เย่โม่ไม่ได้ตรงไปที่โรงเรียนในทันทีหลังออกมาจากบ้าน อีกสองชั่วโมงกว่าโรงเรียนจะหยุดพักเที่ยง เขาจึงได้ไปที่ร้านบาร์เบอร์ตัดผมตัดเผ้าให้ดูสะอาดสะอ้านกระฉับกระเฉง หลังจากนั้น เขาก็ได้ไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้าน เขาใช้เงินไปมากกว่าสองพันหยวนเพื่อซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูเป็นคนใหม่
เย่โม่ที่สูงถึง 1.75 เมตร ผมบนศรีษะถูกตัดสั้นเป็นทรงอย่างมีระเบียบ สวมกางเกง Khakis เสื้อเชิ้ตลินิน และรองเท้าสีดำ และด้วยใบหน้าที่สดใสอ่อนเยาว์ ทำให้เย่โม่ในตอนนี้ดูหล่อเหลาราวกับนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสาร
เมื่อเขามาถึงโรงเรียน นักเรียนทั้งหมดยังคงนั่งเรียนกันอยู่ในห้อง ทำให้ภายในโรงเรียนค่อนข้างเงียบ เย่โม่เดินตรงไปยังห้องพักครู และเมื่อคุณครูในห้องได้เห็นเด็กหนุ่มเข้า ก็ได้แต่จ้องมองด้วยสีหน้าแววตาประหลาดใจ และถึงกับพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน!
สีหน้าท่าทางของเย่โม่ยังคงสงบนิ่ง เขาเพียงแค่ยิ้มทักทายคุณครูคนอื่นๆเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปยืนอยู่หน้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง และเมื่อไปถึงเขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“คุณครูครับ ผมมาขอข้อสอบไปทำเพิ่มครับ”
ตู้เม่ยเป็นคุณครูประจำชั้นของเย่โม่ และเธอมักจะคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เสมอ แต่เมื่อได้เห็นเย่โม่ในวันนี้ สีหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นเคย
“อืมม แล้วนี่เธอเป็นยังไงบ้าง? เรื่องการเรียนมีอะไรที่ไม่เข้าใจบ้างมั๊ย? ถ้ามีก็โทรหาครูได้เลยนะ ครูจะช่วยเตรียมเนื้อหาเพิ่มเติมในเรื่องนั้นให้”
หลังจากพูดจบ ตู้เม่ยก็ได้หันไปหยิบข้อสอบในลิ้นชักสองสามชุดออกมายื่นให้กับเย่โม่ แต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดต่อว่า
“เย่โม่ ในวรรณกรรมสามก๊กมีคนที่เฉลียวฉลาดอยู่มากมาย แต่คนที่หัวเราะสุดท้ายกลับเป็นซือหม่าอี้ เธอเข้าใจความหมายของครูใช่มั๊ย?”
“ผมเข้าใจครับคุณครูตู้ ขอบคุณครับ!”
เย่โม่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจทันที ในโรงเรียนที่เปรียบเสมือนขุมนรกอันแห่งนี้ คุณครูตู้ดูเหมือนจะเป็นแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นเดียวของเขา
“เธอเข้าใจก็ดีแล้ว เอาล่ะรับแบบทำข้อสอบแล้วก็รีบๆกลับบ้านไปนะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปเรียน”
ดูเหมือนตู้เม่ยจะกังวลอะไรบางอย่าง จึงรีบร้องกำชับเย่โม่ให้กลับบ้านทันที
“ครับคุณครู”
เย่โม่เอ่ยตอบยิ้มๆ และเขาก็เข้าใจความหมายของคุณครูตู้ที่ต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี แต่เวลานี้ เขาไม่ใช่เย่โม่คนเดิมอีกต่อไป เขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวเด็กหนุ่มจองหองอวดดีคนนั้นอีก
และหลังจากที่เย่โม่เดินออกจากห้องพักครูไป คุณครูคนอื่นๆที่อยู่ในห้องก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันทันที
“อั๊ยยะ! ปกติเจ้าเด็กเย่โม่ออกจะติ๋มๆ แทบไม่กล้าสู้หน้าใครด้วยซ้ำ แต่ทำไมวันนี้เขาถึงได้ดูแปลกๆ ดูดุดันและเหมือนไม่หวาดกลัวจางเชาเหมือนเมื่อก่อน?”
“ก็ไม่แปลกหรอก! ไม่เคยได้ยินคำว่าหมาจนตรอกหรือยังไง? พอถูกรังแกจนเลือดขึ้นหน้า มันก็พร้อมที่จะหันกลับมาสู้เหมือนกัน แต่นี่เย่โม่เองก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อน ถูกจางเชาข่มเหงรังแกมากขนาดนั้น เย่โม่คงเหมือนถูกบีบให้ต้องลุกขึ้นมาสู้ก็ได้!”
“เอาล่ะๆ ทุกคนหยุดวิพากษ์วิจารณ์กันได้แล้ว!”
ตู้เม่ยที่ได้ยินคุณครูคนอื่นๆพากันพูดถึงลูกศิษย์ของตัวเองอยู่ก็เริ่มทนไม่ได้ จึงยกมือขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับร้องตะโกนบอกทุกคนให้เลิกซุบซิบนินทากันเสียที
แต่ถึงอย่างนั้น ตู้เม่ยเองก็ไม่รู้ว่า เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเย่โม่นั้นได้เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป แทบไม่ต้องพูดถึงบทสนทนาของบรรดาอาจารย์ในห้องพักครูที่อยู่ห่างจากเขาไปเพียงแค่สองเมตรในตอนนี้ หากเขาตั้งใจที่จะแอบฟังจริงๆล่ะก็ เขาย่อมสามารถได้ยินอย่างชัดเจน แม้จะอยู่ไกลออกไปนับสิบเมตรก็ตาม!
จางเชา!
สองคำนี้เปรียบเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงจิตใจของเย่โม่ให้เจ็บปวด!
“ไอ้เด็กยากจน! ทั้งเนื้อทั้งตัวของแกยังมีค่าไม่เท่ากับกางเกงในของฉันตัวเดียวเลย นี่ครอบครัวของแกกินอะไรแทนข้าว… ขี้สินะ? ใช่มั๊ย? ฮ่าๆๆๆ”
“สารรูปอย่างแกจะเอาอะไรมาคู่ควรได้นั่งคู่กับจิงจิง!”
“ฉันขอเตือนแกเป็นครั้งสุดท้าย รีบๆเปลี่ยนไปนั่งที่อื่นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งคนไปจัดการกับแกแน่!”
คำพูดถูกเหยียดหยามที่จางเชาดังเคยพูดกับตนเองก่อนหน้านี้ ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเย่โม่มากมาย แววตาของเขาในเวลานี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกจนน่ากลัว
“ฮ่าๆๆๆ จางเชา ฉันจะให้แกได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขอีกไม่นานนัก เพราะหลังจากนี้ แกจะได้รู้ว่า อะไรที่น่ากลัวกว่าการไปนอนเป็นผักอยู่โรงพยาบาล!”
กริ๊งๆๆๆๆๆ
เสียงกริ่งดังขึ้นทั่วทั้งโรงเรียน ช่วยดึงเย่โม่ให้ตื่นจากห้วงภวังค์ความคิดกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเดินลงบันไดไปนั้น เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“เย่โม่!”
เด็กหนุ่มเจ้าเนื้อสวมแว่นตาจ้องมองเย่โม่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นี่นายหายดีแล้วจริงๆเหรอ? ครั้งที่แล้วลุงของนายมาที่โรงเรียน ฉันแทบอยากจะโดดเรียนตามไปหานายที่บ้าน! คิดไม่ถึงจริงๆว่านายจะสามารถฟื้นกลับมาแบบนี้ได้!”
เมื่อได้พบเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของตนเอง เย่โม่ก็ได้แต่นึกซาบซึ้งใจ เขาหัวเราะออกมาก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ฉันหายดีแล้ว ขอบใจนายมากนะเจ้าอ้วน! ว่าแต่.. ในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายยังเอาแต่ฝันหวานถึงสาวสวยคนไหนอีกรึเปล่า?”
“ฉันกำลังฝันถึงน้องสาวของแกไงล่ะ?” เด็กหนุ่มจ้ำม่ำร้องบอกเย่โม่ พร้อมกับยกมือขึ้นชกเข้าที่ไหล่ของเขาอายๆ
หลังจากที่เย้าแหย่กันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด หวู่ชวงเด็กหนุ่มจ้ำม่ำก็บอกกับเย่โม่ด้วยความรู้สึกผิด “เย่โม่ ฉันขอโทษนะ ครั้งที่แล้วที่นายถูกคนพวกนั้นรุมทำร้ายน่ะ ฉัน.. ฉันไม่เข้าไปช่วยนายเลย ฉัน…”
เย่โม่รีบยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่เจ้าอ้วน เรื่องนี้จะโทษนายได้ยังไงกัน? อีกอย่างตอนนี้ฉันเองก็หายดีแล้ว มิหนำซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าเก่ามากด้วย!”
“แต่ว่า…”
หวู่ชวงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะพูดต่อว่า “วันนั้นถ้าฉันเข้าไปช่วยนาย อย่างน้อยก็อาจช่วยนายแบ่งเบาตีนของพวกมันได้ นายเองก็คงไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสแบบนั้น ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันเอง เป็นเพราะฉันขี้ขลาดเอง!”
เย่โม่ยกมือขึ้นตบไหล่หวู่ชวงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง
“เอาล่ะๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว การสอบเอนทรานซ์ก็ใกล้จะมาถึงแล้วด้วย ฉันจะรอวันที่นายสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้นะ!”
หวู่ชวงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้เย่โม่อย่างมีความสุข แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ต้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่โม่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้ามาใกล้ตนเองอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีต่อมา น้ำเสียงคุ้นเคยที่เย่โม่แสนจะเกลียดชัง และไม่เคยลืมเลือนเลยก็ดังขึ้นมาจากทางเดิน
“ว้าว! ฉันก็คิดสงสัยอยู่ว่าใคร? ที่แท้ก็เป็นเย่โม่เพื่อนในห้องเรียนของฉันนี่เอง! อุตส่าห์มาโรงเรียนทั้งที ทำไมแกไม่ไปที่ห้องเรียนของเราล่ะ เพื่อนเก่ากำลังรออยู่เลยนะ ไม่รู้หรือไง?”
คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่มนั้น แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัยราคาแพง รูปร่างเพรียวบาง ใบหน้าหล่อเหลานั้นบ่งบอกถึงความจองหองอวดดีไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น แค่รูปร่างและใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่มคนนี้ ก็สามารถครองหัวใจ และเป็นขวัญใจของนักเรียนหญิงในโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ได้แล้ว
ส่วนอีกสองคนที่เดินตามหลังมานั้น ดูเหมือนจะสูงเกือบ 1.8 เมตรได้ รูปร่างที่สูงใหญ่กำยำแข็งแกร่งของพวกมันนั้น เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่า ไม่ใช่คนที่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
และแน่นอนว่า คนที่เป็นหัวโจกของกลุ่มนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางเชา เด็กหนุ่มที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่นๆ และมันก็คือคนที่สั่งซ้อมเย่โม่จนต้องไปนอนเป็นผักอยู่โรงพยาบาลนานหลายเดือน!
ในเมื่อกระทั่งหวู่ชวงยังรู้ว่าเย่โม่มาโรงเรียน มีหรือที่ลูกน้องของจางเชาจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย และด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้จางเชาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที!
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์วันนั้น จางเชาได้สั่งลูกน้องของตัวเองสองสามคนไปดักทำร้ายเย่โม่นอกโรงเรียน จนกระทั่งเขาถึงกับบาดเจ็บสาหัสไปนอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลนานหลายเดือน และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ จางเชาก็ยิ่งกลายเป็นคนโด่งดังไป อย่าว่าแต่นักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนจะไม่กล้ายุ่งกับเขา กระทั่งเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นเองก็ยังไม่กล้าที่จะมีเรื่องกับเขาเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ ไอ้เด็กบ้านนอกที่ถูกเขาซ้อมจนสาหัส กลับได้รับการรักษาเยียวยาจนหายขาดแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ?
‘อะไรกัน? ไอ้เวรนี่มันฟื้นขึ้นมาได้ยังไงกัน? มันฟื้นขึ้นมาแบบนี้ ต่อไปฉันจะเอาอะไรไปอวดเบ่งได้อีก! ฉันจะเอาอะไรไปอวดสาวๆ’
‘แถมไอ้เวรนี่ยังกล้ากลับมาที่โรงเรียนอีก นี่มันหยามหน้าฉันชัดๆ!’
จางเชารู้สึกว่า การที่เย่โม่ทำแบบนี้ไม่ต่างจากการตบหน้าตัวเอง!
นี่นับเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจจะทนได้ และไม่อาจจะให้อภัยได้!
และด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้จางเชาต้องรีบพาลูกน้องออกตามหาเย่โม่ทันทีที่ได้ข่าว และเพื่อรักษาศักดิศรีชื่อเสียงของตัวเองไว้ เขาจะต้องกลับมากระทืบเย่โม่อีกครั้ง
‘ในเมื่อไอ้เด็กยากจนนี่มันไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ฉันจางเชาก็ไม่รังเกียจที่จะกระทืบแกให้กลายเป็นผักอีกรอบ!’