ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 11 ต่อรอง
ตอนที่ 11 ต่อรอง
ในราวสิบเอ็ดโมงเช้า ภายในห้องทำงานส่วนตัวของเฟิงกั๋วตง โรงงานกั๋วตงฟาร์มาซูติคัล เมืองฉางเฟิง
เฟิงกั๋วตงจัดการชงชามาบริการให้กับเย่โม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยตัวเอง จากนั้น เขาก็ได้แต่ยืนยิ้มแน่นิ่ง และกำลังรอให้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
เย่โม่ซึ่งเวลานี้ได้รับทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์มา จึงไม่ใช่เด็กเหลือขอเหมือนก่อนหน้าแล้ว เวลานี้ เขารู้ดีว่าตนเองก็คือคนดีมีฝีมือคนหนึ่ง จึงได้แต่เอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่เฟิงกั๋วตงชงมาให้ด้วยตัวเองขึ้นมาเป่า ก่อนจะยกขึ้นจิบสองสามคำด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง
“ชารสเลิศ!”
เย่โม่พึมพำออกมา หลังจากที่ได้กลิ่นหอมของชาที่อบอวลอยู่ในปาก แม้เขาจะไม่รู้ราคาที่แท้จริงของชาถ้วยนี้ แต่ก็พอจะประเมินได้จากกลิ่นหอมของมันว่า ต้องไม่ใช่ชาธรรมดาทั่งไปอย่างแน่นอน
หลังจากวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เย่โม่ก็เงยหน้าขึ้นบอกกับเฟิงกั๋วตงว่า “ประธานเฟิง เชิญนั่งลงก่อนสิครับ จะได้ค่อยๆคุยกันไป”
“ได้ๆ”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเย่โม่ แววตาของเฟิงกั๋วตงก็เป็นประกายวูบขึ้นมาทันที เขารู้ว่า เรื่องสำคัญกำลังจะถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจาแล้ว จึงรีบนั่งลงข้างๆเย่โม่ทันที
“คืออย่างนี้ครับท่านประธานเฟิง ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะเอาเปรียบคุณ ผมจะมอบให้โรงงานกั๋วตงฟาร์มาซูติคัลของคุณ เป็นผู้ผลิตยาปี่แป่หยกน้ำค้างนี้”
“แต่ว่า… พวกเราคงจะต้องมาคุยกันในเรื่องของผลประโยชน์ที่จะแบ่งปันกันให้ชัดเจน”
เย่โม่เอ่ยบอกเฟิงกั๋วตงด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง แต่ภายในใจของเขากลับคิดว่า คงจะต้องหาวิธีลดประสิทธิภาพของยาลงจากเดิมหนึ่งในสาม
“ได้เลย! เสี่ยวเย่ ในเมื่อเธอเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้ก็ดี ฉันก็ขอบอกตรงๆเลยว่า การที่เธอเก็บสูตรยาไว้กับตัว นั่นนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดทั้งประเทศ แต่ถ้าเธอยินยอมให้โรงงานของฉันเป็นผู้ผลิตยานี่แล้วล่ะก็ จะสามารถช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดและลำคอได้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะสามารถช่วยคนไข้กลุ่มนี้ได้ พวกเรายังสามารถใช้มันเลี้ยงชีพได้อีกด้วย!” เฟิงกั๋วตงร้องบอกเย่โม่ด้วยความมั่นอกมั่นใจ
เย่โม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็บอกับเฟิงกั๋วตงไปว่า “ประธานเฟิงเป็นคนฉลาด คุณคงจะรู้ว่า หากยาปี่แป่หยกน้ำค้างถูกผลิตออกมาขายเป็นจำนวนมาก จะได้ผลกำไรมหาศาลมากแค่ไหน?”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หลังจากหักต้นทุนการผลิตทั้งหมดแล้ว ผลกำไรที่ได้ผมขอแปดส่วน อีกสองส่วนเป็นของคุณ!”
“ฮ่าๆๆๆ”
เฟิงกั๋วตงไม่ตอบ และได้แต่หัวเราะออกมา แต่เย่โม่เองก็ไม่รีบร้อนอะไรนัก เขาพูดต่อด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ
“ประธานเฟิงลองคำนวณดูคร่าวๆ ประชากรในฉางเฟิงมีประมาณสิบล้านคน หากไม่นับรวมผู้ป่วยเบื้องต้น ก็จะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดเรื้อรังอยู่ราวห้าล้านคน หากแต่ละคนยินดีจ่ายเงินสามพันหยวน เพื่อรักษาอาการของตนให้หายขาด นั่นหมายความว่า ตลาดของเราจะมียอดขายโตถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านเลยทีเดียว!”
เฟิงกั๋วตงคิดไม่ถึงว่า เด็กมัธยมปลายอย่างเย่โม่ จะสามารถมองการตลาดในโลกธุรกิจได้กว้างขนาดนี้ แต่แน่นอนว่า ด้วยประสบการณ์ในการทำธุรกิจมานาน เขาย่อมไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางใบหน้า และได้พูดแย้งขึ้นว่า
“เสี่ยวเย่ จะคำนวณแบบนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก แม้ตัวเลขหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนจะดูเหมือนมหาศาลมาก แต่อย่าลืมว่าในตลาดการค้า ไม่มีบริษัทไหนที่สามารถผูกขาดตลาดไว้ได้เพียงเจ้าเดียว”
เย่โม่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเฟิงกั๋วตง ก่อนจะอธิบายต่อว่า
“แต่ต่อให้ทางเราได้ส่วนแบ่งทางการตลาดแค่ครึ่งเดียว ก็จะมียอดขายสูงถึง 7.5 พันล้าน ซึ่งส่วนแบ่งที่ประธานเฟิงจะได้รับก็คือ 150 ล้านเลยทีเดียว และจากที่ผมรู้มา เวลานี้ประธานเฟิงเองก็มีทรัพย์สินอยู่ในมือกว่าสี่ร้อยล้านไม่ใช่เหรอครับ?”
เฟิงกั๋วตงนั่งจ้องปลายจมูกของตัวเอง พร้อมกับคิดคำนวณอยู่ในใจ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเย่โม่ว่า
“เสี่ยวเย่ ฉันเองก็ทำธุรกิจมาจนอายุขนาดนี้ ไม่ใช่พวกหลอกลวงต้มตุ๋น ทำไมเราไม่แบ่งกำไรหลังหกต้นทุนการผลิตแบบห้าสิบๆล่ะ แต่ฉันเสนอให้ลุงกับป้าของเธอมาทำงานในโรงงานผลิตยาของฉัน แบบนี้ เธอเองก็จะสามารถควบคุมดูแลทุกอย่างได้ด้วย”
เย่โม่ส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความมั่นคงแน่วแน่ แต่เมื่อเฟิงกั๋วตงเห็นเช่นนั้น เขาจึงได้แต่กัดฟันบอกไปอีกครั้งว่า
“เธอหก.. ฉันสี่!”
แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของประธานเฟิง เย่โม่ก็ถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยลาทันที “ประธานเฟิง พอดีเพิ่งคิดได้ว่ามีธุระต้องไปทำ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ส่วนเรื่องธุรกิจของเรา ไว้ค่อยคุยกันใหม่วันหลัง”
เมื่อเห็นเย่โม่หันหลังเดินออกไปจากห้องแบบนั้น เฟิงกั๋วตงก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี และรีบร้องตะโกนไล่หลังเย่โม่ที่เดินไปถึงหน้าประตูทันที
“ฉันสาม เธอเจ็ด! ตกลงมั๊ยเสี่ยวเย่?”
เย่โม่ที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากห้องหยุดชะงักพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเฟิงกั๋วตงว่า
“ประธานเฟิงครับ การที่ผมเสนอให้คุณ 20% ก็เพราะเห็นคุณเป็นเพื่อนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ คุณกลับหมกมุ่นและตาบอดอยู่กับการหาผลประโยชน์จากใบสั่งยาของผม นี่เป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างมาก!”
มีหรือที่นักธุรกิจผู้เฉลียวฉลาดอย่างเฟิงกั๋วตงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เย่โม่พูด ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดประโยคนั้นก็คือ ใบสั่งยานั่นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่สมบัติที่แท้จริงนั้นคือตัวเขา - เย่โม่นี่ต่างหากเล่า เขานับเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองอย่างแท้จริง!
แม้ว่าเฟิงกั๋วตงจะไม่รู้ภูมิหลังของเย่โม่มากมายนัก แต่จากสัญชาติญาณทำให้เขามั่นใจว่า เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ ต้องไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
คลื่นรุนแรงกระเพื่อมขึ้นภายในจิตใจของเฟิงกั๋วตงอย่างต่อเนื่อง เขารีบวิ่งตรงเข้าไปจับแขนของเย่โม่ไว้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ตกลง! ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถือซะว่าที่ผ่านมาฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน เธอให้ลุงกับป้าเข้ามาทำงานในโรงงานของฉันได้เลย ฉันจะให้เงินเดือนพวกเขาคนละหนึ่งหมื่นหยวน!”
หลังจากยืนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิงกั๋วตงก็ร้องบอกเย่โม่ต่อว่า “ส่วนเรื่องบ้านนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อเลยแม้แต่หยวนเดียว ฉันมีบ้านขนาด 180 ตารางเมตรอยู่หนึ่งหลังพอดี ฉันขอมอบให้เธอเป็นของขวัญก็แล้วกัน!”
เย่โม่ยิ้มให้กับเฟิงกั๋วตงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประธานเฟิง คุณสมเป็นนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาดจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในวันนี้แน่!”
“ส่วนเรื่องบ้าน ผมขอบคุณในความหวังดีของคุณ แต่เอาเป็นว่าผมขอยืมเงินคุณจะดีกว่า และเมื่อถึงเวลา คุณก็สามารถออกจากส่วนแบ่งผลกำไรของผมได้”
เฟิงกั๋วตงทำธุรกิจมาจนอายุขนาดนี้แล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร เขารีบบอกกับเย่โม่ไปว่า
“เสี่ยวเย่ หลังจากตกแต่งบ้านหลังนี้เสร็จ ฉันเองก็ไม่เคยได้ไปอยู่เลย ได้แต่ทิ้งไว้แบบนั้น บ้านทิ้งร้างไม่มีคนไปอยู่ก็ใช่ว่าจะดีนี่นา...”
เย่โม่เข้าใจความคิดของเฟิงกั๋วตงดี ขอเพียงเฟิงกั๋วตงไม่ยกให้เขาฟรีๆ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า
“ประธานเฟิง บ้านของคุณน่าจะไม่ใช่ราคาถูกๆสินะ? แต่ตอนนี้ผมมีเงินอยู่แค่ห้าแสนสามหมื่นหยวน…”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยวเย่ ความจริงบ้านหลังนี้จะเรียกว่าได้มาฟรีๆก็ไม่น่าจะผิดนัก ฉันแค่แนะนำเจ้าของโครงการให้รู้จักกับหัวแผนกก่อสร้างของสำนักงานเทศบาลมณฑล เขาก็มอบบ้านหลังนี้ให้ฉันเป็นของขวัญ อีกอย่าง วันนั้นฉันก็แค่จ่ายค่าอาหารไปสี่ห้าพันหยวนเท่านั้นเอง”
“ตกลง! ในเมื่อประธานเฟิงมีน้ำใจ ผมก็จะขอรับไว้ในราคา 530,000 หยวน นี่ครับเงินทั้งหมด!”
หลังจากพูดจบ เย่โม่ก็ได้เปิดกระเป๋าเป้ หยิบธนบัตรที่อยู่ด้านในออกมาทันที
เฟิงกั๋วตงนำเงินทั้งหมดไปเก็บไว้ในตู้เซฟ ก่อนจะนำเงินจำนวนสามหมื่นหยวนมาคืนให้กับเย่โม่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เสี่ยวเย่ ฉันคิดค่าบ้านแค่ห้าแสนหยวน ส่วนเงินสามหมื่นนี่เธอเอาไปคืนเถอะ”
ต้องบอกว่าวิธีการต่อรองของเฟิงกั๋วตงนั้น นับว่าชาญฉลาดและมีลูกล่อลูกชนอย่างไร้ที่ติ เพราะนั่นสามารถทำให้เย่โม่รู้สึกซาบซึ้งใจมากทีเดียว เขารับเงินจำนวนสามหมื่นหยวนกลับคืนมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนจะนำมันเก็บเข้าไปในกระเป๋าเป้ตามเดิม