WS บทที่ 251 ความโกลาหล PART 2
“ฮายา เอมิลี่ เรารีบไปกันเถอะ ที่นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว”
ไชรีนมองดูฉากที่วุ่นวายและรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจ เบื้องหน้าของเธอเป็นสองกลุ่มนักเวทย์กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดและมันเป็นการต่อสู้ระหว่างนักเวทย์ระดับหนึ่ง, สอง,สามและสี่ มันน่ากลัวเกินไป หากพวกเขาไม่ระวังอาจถูกลูกหลงจากการต่อสู้ดังนั้นควรออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เมื่อเห็นว่าเอ็มม่าไม่ขยับไปไหน ใบหน้าของเธอก็ยังเต็มไปด้วยความหวัง ไชรีนส่ายหัวแล้วพูดว่า
“เอ็มม่า อาจารย์ของคุณเป็นนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำ บางทีเขาอาจจะไม่ได้มาที่เมืองโทลเล่ด้วยซ้ำ แม้ว่าหนังสือแห่งนิดันดร์เล่มแรกจะได้รับความสนใจมากแต่ก็ไม่น่าจะทำให้นักเวทย์จากองค์กรมาสนใจมันได้ เธอตามฉันกลับไปที่ตระกูลก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะช่วยตามหาเขาอีกแรง”
ดวงตาของเอ็มม่าเป็นประกายและเธอก็ยิ้มออกมา “ขอบคุณ แม่มดไชรีนมาก ฉันจะไม่หวังอะไรมากแต่ฉันไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้พบเขา”
หลังจากนั้น เอ็มม่าก็เดินตามไชรีนไปและพวกเขาก็ค่อย ๆ ออกจากคฤหาสน์ชาเดอสันไป
…
“เมอร์ลิน มีอะไรรึเปล่า?” เลอแรนก้าถามเมอร์ลินอย่างนุ่มนวลพร้อมกับท่าทางสงสัยบนใบหน้าของเธอ
เมอร์ลินเลิกมอง เขาคิดว่าเขาเพิ่งเห็นบุคคลที่คุ้นเคยในฝูงชนแต่เขาไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เมื่อเขาต้องการตามหาบุคคลนั้น พวกเขาก็หายไปแล้ว
"ไม่มีอะไร"
เมอร์ลินส่ายหัวเบา ๆ จากนั้นจ้องมองไปที่เหล่านักเวทย์จากตระกูลชาเดอสันและดอเร็ตในขณะนี้ แม้ว่าตระกูลดอเร็ตจะมีนักเวทย์ระดับสี่สองคนแต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับพ่อมดกิลล์มากนัก
เมอร์ลินเห็นว่าพ่อมดกิลล์เต็มไปด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ เขาไม่ใช่นักเวทย์ระดับสี่ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินรู้ว่าตระกูลชาเดอสันกำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะข่าวที่ว่าหนังสือเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์มีเบาะแสเกี่ยวกับเล่มที่สองและสามเริ่มแพร่กระจายออกไป ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม มันก็จะกระตุ้นความสนใจของพ่อมดพเนจรอย่างมาก
ดังนั้น ในฝูงชนจึงมีนักเวทย์ระดับสามอยู่บ้างซึ่งดวงตาของเขามองไปยังตระกูลชาเดอสันอย่างไม่ละสายตา บางทีนักเวทย์ระดับสามเหล่านี้อาจเคลื่อนไหวในระหว่างการต่อสู้ระหว่างสองตระกูลนี้
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือนักเวทย์ระดับสี่ที่ยังไม่ได้แสดงตัว หากพวกเขาเคลื่อนไหว พ่อมดกิลล์อาจถูกกดดันอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับพวกเขาเหล่านั้น
“เมอร์ลิน ตอนนี้ผู้อาวุโสในตระกูลและพ่อมดกิลล์จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?” เลอแรนก้ากระพริบตาเบิกกว้างของเธอเบา ๆ และถามเมอร์ลิน
เมอร์ลินมองดูเธอและพึมพำกับตัวเองโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “หนังสือแห่งนิดันดร์ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลชาเดอสันจะสามารถครอบครองได้เป็นเวลานาน…”
ใบหน้าของเลอแรนก้ามืดลงเมื่อเธอเข้าใจความหมายของคำพูดของเมอร์ลิน ถึงตระกูลชาเดอสันจะต้องการครองครอบหนังสือแห่งนิดันดร์และพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการเปิดเผยคาถาในหนังสือแต่ทว่าตระกูลชาเดอสันก็ไม่อาจหนีจากความโชคร้ายหากยังไม่ยอมปล่อยมือจากหนังสือเล่มนี้
เรื่องนี้เลอแรนก้ารู้อยู่แก่ใจ แต่ทว่า เธอเป็นเพียงบริวารของเมอร์ลิน แม้เธอจะรู้อย่างคลุมเครือว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเหมือนก่อน พลังของเขาไม่ได้ด้อยไปดว่าพ่อมดกิลล์เลยแต่เธอก็ไม่สามารถเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากเขาได้
เธอทำได้เพียงสวดภาวนาในใจว่าตระกูลของเธอจะสามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติและเอาชีวิตรอดจากวิกฤตินี้ได้
…
“พ่อมดอูบิกตามข้อตกลงของเราหนังสือแห่งนิดันดร์เป็นของคุณ แต่พ่อมดกิลล์จะต้องตายและตระกูลชาเดอสันจะต้องถูกทำลาย!”
พ่อมดซาบิสจากตระกูลดอเร็ตกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นความผันผวนของธาตุรุนแรงขึ้นรอบตัวเขา เขาพร้อมที่จะร่ายคาถาที่แข็งแกร่งที่สุดและต่อสู้กับพ่อมดกิลล์อย่างเต็มความสามารถ
พ่อมดอูบิกกัดฟันอย่างดุเดือด ดวงตาของเขามองตรงไปที่หนังสือแห่งนิดันดร์ในมือของพ่อมดกิลล์ด้วยความโลภ ลมกระโชกแรงพัดปกคลุมร่างกายของเขาทันที ขณะที่เขาโบกมือพร้อมกับคำรามเสียงแหบ
"ฆ่ามัน!"
*หวู่ม!!*
เงาสีดำวาบออกมาจากฝูงชนและพุ่งตรงไปยังพ่อมดกิลล์ มันเป็นโฮมุนครุสของพ่อมดอูบิกที่เขาซ่อนไว้จนถึงตอนนี้เพื่อโจมตีทีเผลอและตั้งใจและได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
"ตายซะ!"
หลังจากการโจมตีของโฮมุนครุสของพ่ออูบิก พ่อมดซาบิส ก็ยื่นนิ้วออกมาและในทันใดนั้น ผลึกน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว เคลื่อนตัวไปทางพ่อมดกิลล์
ทางด้านพ่อมดกิลล์ดูสงบมาก เขามองไปที่นักเวทย์ระดับสี่สองคนและโฮมุนครุส เขาไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย จากนั้นความผันผวนของธาตุดินได้ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาแล้วเขาก็ร่ายลูกบอลเพลิงขึ้นมาเผาอากาศจนบิดเบี้ยว
ทุกการเคลื่อนไหวของนักเวทย์ระดับสี่ทั้งสามมีพลังมหาศาลและพลังทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกเขาเลย นี่เป็นสงครามที่แท้จริงและเมื่อเวทมนตร์ของพวกเขาถูกร่าย แม้แต่ป้อมปราการก็ไม่สามารถต้านทานพวกมันได้
มีเพียงพ่อมดระดับสี่เท่านั้นที่สามารถถือเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
"ไรนด์ ตระกูลชาเดอสันของแกจะไม่สามารถหนีจากชะตากรรมนี้ได้ ยังไงวันนี้ตระกูลชาเดอสันจะต้องหายไป!"พ่อมดไรมุนโดกล่าวพลางจ้องมองไปที่ไรนด์
ตอนนี้นักเวทย์ระดับที่สี่ได้เริ่มการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้ว เขาใช้มือข้างเดียวส่งสัญญาณและนักเวทย์หลายร้อยคนเริ่มร่ายคาถาอย่างบ้าคลั่ง นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลนักเวทย์และเป็นภาพที่น่าตื่นตาที่สุดที่เมอร์ลินเคยเห็นมา
แม้แต่การต่อสู้ระหว่างไวส์กับตระกูลไรท์ จะไม่อลังการเท่าฉากปัจจุบัน นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามอย่างแท้จริง บางทีสงคราม ‘โรงเชือด’ ระหว่างอาณาจักรแบล็กมูนและอาณาจักรแห่งแสงก็คงคล้ายกัน
ณ ตอนนี้ด้านหน้าคฤหาสน์ชาเดอสันไม่ต่างจากสนามรบ ทางตระกูลดอเร็ตได้ระดมกำลังทั้งหมดบุกโจมตีตระกูลชาเดอสัน พวกเขามั่นใจว่าวันนี้ตระกูลชาเดอสันต้องพังพินาศด้วยกำลังพลและข่าวที่พวกเขาเผยแพรออกไปว่าหนังสือแห่งนิดันดร์เล่มแรกมีร่องรอยของเล่มที่สองและเล่มที่สาม ด้วยเหตุนี้นักเวทย์ระดับสามบางคนจึงกำลังรอโอกาสที่จะเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ตระกูลชาเดอสันจึงกำลังเผชิญกับอันตรายอย่างใหญ่หลวง ณ จุดนี้ นักเวทย์หลายคนได้รับผลกระทบจากคาถาที่ถูกร่ายออกมาอย่างบ้าคลั่งไปทั่วท้องฟ้าและจำนวนนักเวทย์ในตระกูลขาเดอสันเริ่มลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว
ทางด้านเมอร์ลิน เขาดูไม่หวั่นไหวเมื่อเผชิญกับสงครามข้างหน้าแต่ไม่ใช่กับเลอแรนก้าสีหน้าของเธอขาวซีดมาก บางทีเธออาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าสงครามที่โหดร้ายเช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอและเป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับเธออย่างใกล้ชิด
นอกจากเลอรนก้า พ่อมดพเนจรคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้ามาดูหนังสือแห่งนิดันดร์ ในตอนแรกพวกเขาไม่คิดว่าพวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้ที่ไร้ความปรานีเช่นนี้ หลายคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พ่อมดระดับหนึ่ง ระดับสองหรือแม้แต่พ่อมดระดับสามที่มีพลังมากกว่าพวกเขาพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย
“หืม? มีคนอื่นกำลังเคลื่อนไหว!”
เมอร์ลินผู้เฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของฉากอย่างใกล้ชิด หรี่ตาลง เขารับรู้ถึงร่างสองร่างที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหันพร้อมกับความผันผวนของธาตุที่รุนแรงเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา
หนึ่งคือความผันผวนของธาตุน้ำแข็ง อีกอันคือความผันผวนของธาตุไฟ ความผันผวนของธาตุทั้งสองอยู่ที่จุดสูงสุดของนักเวทย์ระดับสี่ บุคคลสองคนนี้ที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน
"หนังสือแห่งนิดันดร์! ต้องเป็นของฉัน"
หนึ่งในนักเวทย์เปล่งเสียงคำรามและพลังธาตุไฟกระจายออกกลายเป็นทะเลเพลิงล้อมรอบตัวเขา เป้าหมายของเขาคือหนังสือแห่งนิดันดร์ในมือของพ่อมดกิลล์
พวกเขาทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเป็นเวลานาน เมื่อเห็นจังหวะพวกเขาก็เคลื่อนไหวทันที
ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดกิลล์หรือพ่อมดอูบิกหรือแม้แต่พ่อมดซาบิส ทุกคนก็ไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีได้อีกต่อไป พวกเขาทำได้เพียงร่ายเวทย์ป้องกันที่จุดสูงสุดโดยใช้กำลังทั้งหมดซึ่งทำให้นักเวทย์ทั้งสองคนแทรกซึมเข้ามาโดยไม่มีใครห้ามได้ พวกเขาปรากฏเบื้องหน้าพ่อมดกิลล์และใช้พลังธาตุลมดึงเอาหนังสือแห่งนิดันดร์ไปจากมือของพ่อมดกิลล์
หนังสือแห่งนิดันดร์ถูกกวาดขึ้นไปในอากาศและตกลงไปพร้อมกับเสียงดังกึกก้องอยู่ข้างหลังพวกเขา
“ฮึ่ม พลังน้ำแข็ง!”
นักเวทย์สองคนที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันดูเหมือนจะไม่ได้ทำงานร่วมกัน พวกเขาหันไปหากันและกันและเริ่มร่ายคาถาของตนเอง ทั้งคู่ต้องการหนังสือแห่งนิดันดร์
“ให้ตายเถอะ หนังสือแห่งนิดันดร์มันเป็นของฉัน!”
หัวใจของพ่อมดอูบิกเดือดดาลไปด้วยความโกรธ เขาและซาบิสได้ใช้พลังมหาศาลเพื่อค่อย ๆ ปราบพ่อมดกิลล์ ในตอนแรกเขาคิดว่าพวกเขาจะได้รับหนังสือแห่งนิดันดร์โดยไม่มีปัญหาแต่ไม่คาดคิดว่าบุคคลลึกลับสองคนนี้จะคว้ามันไปได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตามอูบิกอยู่ไกลเกินไป ตอนนี้นักเวทย์ผู้ลึกลับสองคนได้เริ่มเผชิญหน้ากันแต่ละคนร่ายคาถาเพื่อชิงหนังสือแห่งนิรันดร์
หนังสือแห่งนิดันดร์ถูกเวทมนตร์ธาตุดึงไปอีกครั้งและถูกโยนขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นระหว่างนักเวทย์ระดับสี่ทั้งสอง
*ตุบ*
หนังสือแห่งนิดันดร์ตกลงบนพื้นด้วยเสียงอันดัง ขณะที่นักเวทย์ระดับสี่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าและต่อสู้เพื่อมัน พวกเขาสังเกตเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่มีรูปร่างอรชรและมัดผมหางม้าสีทองสวมรองเท้าบู๊ตหนังหนาคู่หนึ่งกำลังค่อย ๆ เดินไปที่หนังสือแห่งนิดันดร์
ผู้หญิงคนนั้นยังสวมหมวกสีดำแปลก ๆ ซึ่งมีขนนกติดอยู่ ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ เธอเหลือบมองอย่างเงียบ ๆ ไปที่หนังสือแห่งนิดันดร์ที่วางอยู่แทบเท้าของเธอ จากนั้นเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปที่ฝูงชนราวกับว่าเธอกำลังมองหาอะไรบางอย่าง