205 - ต้นไม้โลก
205 - ต้นไม้โลก
นัยน์ตาของราชานกยูงนั้นใสราวกับน้ำ ผมของเขาเรียบลื่นดุจแพรไหม เขาดูเหมือนดอกบัวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง ประณีตและสง่างาม
“ร่วมมือกันเพื่อเข้าสู่วังทองแดง? ส่งตัวเราไปสู่ความตายด้วยกันทั้งคู่? ข้ายังใช้ชีวิตไม่เพียงพอและไม่คิดจะรนหาที่ตายไปพร้อมกับเจ้า”
ผมสีเงินของหนานกงเจิ้งปลิวไสวตามสายลม รูปร่างของเขาสูงและสง่างามในขณะที่เขายืนอยู่ในอากาศ มีสายฝนดอกไม้ล้อมรอบเขา
“เจ้าไม่ต้องการโอกาสในการเป็นผู้อมตะ? ต่อให้เจ้ามีชีวิตอีกแปดร้อยปีก็ไม่มีโอกาสดีเช่นนี้จะไม่คิดดูหน่อยเหรอ?”
ราชานกยูงยิ้มอย่างเย็นชา
“ตั้งแต่สมัยโบราณวังทองแดงได้คร่าชีวิตของยอดฝีมือระดับสูงสุดในแผ่นดินมากมายนับไม่ถ้วน ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่ประสบความสำเร็จในการเป็นอมตะ
แทนที่จะเรียกมันว่าวังเซียนข้าคิดว่ามันควรถูกเรียกว่าหลุมศพถึงจะเหมาะสมที่สุด
“ความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ เป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่จะต้องพยายาม ไม่เช่นนั้นจะมีปราชญ์ในสมัยโบราณได้อย่างไร” หนานกงเจิ้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อเราสองคนร่วมมือกัน เราสามารถเดิมพันชีวิตของเราภายในวังทองแดง ต่อสู้เพื่อโอกาสที่จะกลายเป็นอมตะ แน่นอนว่าจะดีกว่าตายในที่ที่ไม่รู้จักบางแห่ง”
ราชานกยูงยืนหันหลังให้ ท่าทีของเขาชัดเจนอย่างยิ่ง
“ข้าไม่มีใครเทียบได้ใต้สวรรค์นี้ กระบี่ของข้าชี้ไปที่ผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณ ข้าใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล มันน่าเบื่อหน่ายตรงไหน? ต่อให้ตายลงตรงนี้ข้าก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร”
“เจ้ามีช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงความฝันชั่วขณะ อีกล้านปีต่อจากนี้ใครจะยังจำเจ้าได้ ถ้าเจ้าไม่กลายเป็นผู้อมตะ ในที่สุดทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า”
“ความคิดของผู้อื่นในอนาคตอันไกลโพ้น ทำไมข้าถึงต้องเป็นห่วงเป็นใย? ข้ารู้เพียงว่าทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าคือความจริง การคิดจะเป็นผู้อมตะรังแต่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์จากความผิดหวังเสียเปล่าๆ”
หนานกงเจิ้งส่ายหัวในขณะที่พูดต่อ
“การหลบหนีจากอาณาจักรและได้รับอิสรภาพ มันเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา ทำไมเจ้าต้องโกหกตัวเองและคนอื่น ๆ ?”
ราชานกยูงหัวเราะอีกครั้ง เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
“ข้าขอถามเจ้าว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ดินแดนรกร้างตะวันออกเคยมีผู้อมตะมาก่อนหรือไม่? อย่าพูดถึงเรื่องที่อยู่ในตำราข้าอยากรู้ว่ามีหลักฐานอะไรแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีชีวิตอยู่จริงๆ”
“เจ้าก็รู้ดีว่าเจดีย์รกร้างเคยฆ่าผู้อมตะมาก่อน นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ?” หนานกงเจิ้งกล่าวอย่างมั่นใจ
“เจ้าเคยเห็นมันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า” ราชานกยูงโต้กลับ
"ไม่"
ราชานกยูงกล่าวต่อว่า
“ต่อให้ไม่เป็นเซียนข้าก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีสีสัน ค่ายังคงหนุ่มแน่นสักวันหนึ่งความแข็งแกร่งของข้าก็เพียงพอที่จะเหยียบย่ำดินแดนรกร้างตะวันออกแล้ว”
ที่ด้านข้างเย่ฟ่านยกย่องราชานกยูงที่ไม่ผูกมัดตัวเองกับอะไรและเป็นอิสระจากทุกอย่าง การเป็นอมตะนั้นไม่สำคัญสำหรับเขามากนัก
สำหรับหนานกงเจิ้งคำพูดของเขาล้วนแต่เป็นตำนานฟังดูค่อนข้างไร้สาระ ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลนี้คือมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนรกร้างตะวันออก
ดวงตากลมโตของจี้จื่อเยว่หมุนวนขณะที่นางพึมพำด้วยเสียงนุ่มนวล
“ไม่มีความยุติธรรมในโลกนี้จริงๆ! พวกเขาเป็นบุคคลในตำนานอยู่แล้ว ร้อยปีเป็นเพียงเวลาสั้นๆสำหรับพวกเขา แม้ว่าจะมีชีวิตหลายพันปี แต่พวกเขายังดูเด็กและหล่อกว่าพี่ชายของข้าอีกด้วย……”
“หนานกงเจิ้ง ทุกสิ่งที่เจ้าพูดตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ข้ากำลังทำอยู่ เจ้าคิดที่จะขัดขวางข้าหรือไม่” ราชานกยูงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผู้นำของตระกูลจี้เคยพูดกับข้าว่าถ้าข้ามีความบังเอิญได้พบเจ้า ไม่ว่าข้าจะช่วยชีวิตใครคนใดคนหนึ่งในบรรดาพี่น้องคู่นี้เขาจะมอบเด็กคนนั้นให้เป็นลูกศิษย์สืบทอดมรดกของข้า
ข้ากำลังวางแผนที่จะเข้าสู่วังทองแดงแต่ยังไม่พบใครซักคนที่จะสืบทอดมรดกของข้า เด็กหญิงคนนี้ยอดเยี่ยมกว่าพี่ชายของนางด้วยซ้ำดังนั้นนางจะเป็นศิษย์ผู้รับมรดกของข้าอย่างแน่นอน”
ดอกไม้รอบๆหนานกงเจิ้งเริ่มเบ่งบาน ทำให้เขาแสดงกลิ่นอายที่สูงทรงคล้ายกับเซียนสวรรค์ออกมา
“หนานกงเจิ้ง เจ้าต้องการจะต่อสู้จริงๆ? เจ้าควรคิดให้รอบคอบกว่านี้!” นัยน์ตาของราชานกยูงเริ่มเฉียบคมในทันทีเมื่อรัศมีอันทรงพลังราวกับภูเขาไฟพุ่งพรวดออกจากร่างกายของเขา
“ราชานกยูงเราถือได้ว่ามีชะตากรรมบางอย่าง ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดการกระทำของเจ้าและพยายามบรรลุความเป็นอมตะกับข้า มิฉะนั้นอดีตอันรุ่งโรจน์ของเจ้าจะมืดมนและหายไป” หนานกงเจิ้งยังคงพยายามชักชวนต่อไป
“คำพูดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นไปได้ไหมว่าผู้นำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลจี้คิดจะร่วมมือกับเจ้าเพื่อปราบปรามข้า” แสงอันเจิดจ้าส่องออกมาดวงตาของราชันย์นกยูง
“เขาไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่” หนานกงเจิ้งหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ไม่เพียงแต่ผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลจี้กำลังมองหาเจ้า ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่สหายเฒ่าจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงก็ยังตื่นขึ้นมาเพื่อดูแลเจ้าเป็นการส่วนตัว”
“ข้ากำลังรอเขาอยู่พอดี เมื่อ 800 ปีก่อนเขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ในตอนนี้เขาสนับสนุนให้ลูกหลานของตัวเองรังแกเผ่าพันธุ์ของข้าในตอนที่ข้ากำลังนอนหลับ” ราชานกยูงยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับกัดฟันแน่น
“เมื่อแปดร้อยปีที่แล้วข้าปกครองภาคใต้โดยไม่มีผู้ใดทัดเทียม ในตอนนี้ข้ายิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนในขณะที่เขายื่นขาเข้าไปในโลงศพก้าวนึงแล้ว มีหรือที่ข้าต้องกลัวเขา?”
“มหาอำนาจพวกนี้ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าพวกเขาจะไม่มีใครที่สามารถจัดการเจ้าได้……”
“เว้นแต่พวกเขาจะขุดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษเพื่อชุบชีวิตราชาศักดิ์สิทธิ์ที่ล่วงลับไปแล้ว!”
ดวงตาของราชานกยูงนั้นเฉียบแหลมราวกับสายฟ้า กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากในขณะที่เขาตะโกนต่อไปว่า
“หากเจ้าต้องการจะหยุดข้า จงทำด้วยกำลังของเจ้า!”
กลิ่นหอมอบอวลในอากาศขณะที่ดอกไม้หมุนวนอยู่บนท้องฟ้า สดใสและเขียวชอุ่ม หนานกงเจิ้งดูเคร่งขรึมราวกับยืนอยู่ที่นั่นราวกับเทพเจ้าแห่งดอกไม้
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอล่วงเกินแล้ว !”
“ในความเป็นจริงพวกเราพูดกันมานานเกินไปแล้วด้วยซ้ำ!”
แม้ว่าราชานกยูงจะดูเหมือนเป็นเด็กรุ่นหลังอายุเพียงสิบหกถึงสิบเจ็ดปี แต่ในความเป็นจริงพวกเขาคือบุคคลรุ่นเดียวกัน และกลิ่นอายของราชันย์นกยูงก็น่ากลัวเหมือนกระบี่ที่หลุดออกมาจากฝัก
“ซั่ว”
ตาที่สามของราชานกยูงก็เปิดขึ้นทันที ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกยิงจากหน้าผากของเขาเข้าสู่ร่างกายของจี้จื่อเยว่
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ท่านกำลังทำอะไร!” จี้จื่อเยว่กรีดร้องด้วยความตกใจ
“อย่ากังวลไป เขาแค่ทิ้งร่องรอยไว้เพื่อตามหาเจ้าในอนาคต พวกเจ้าสองคนหนีไปดีกว่า” หนานกงเจิ้งถ่ายทอดเสียงไปยังทั้งสอง
"วิ่ง!"
เย่ฟ่านดึงจี้จื่อเยว่ไปด้วยในขณะที่เขารีบขึ้นไปบนท้องฟ้า การต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตโบราณทั้งสองนี้จะทำให้สวรรค์สั่นสะเทือนและแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แม้จะบินออกไปไกลแล้ว เย่ฟ่านก็ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานมหาศาลที่อยู่ข้างหลังเขา มันบ้าคลั่งราวกับคลื่นน้ำอันกว้างใหญ่ที่กำลังซัดเข้าหาฝั่ง
เมื่อมองย้อนกลับไปจี้จื่อเยว่ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
“สวรรค์ มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาในโลกได้ยังไง!”
ที่ท้องฟ้าอันไกลโพ้นนั้น พวกเขาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่สูงบนท้องฟ้า เป็นประกายระยิบระยับและสดใสเป็นพิเศษ
“ท้องฟ้าแจ่มใสอีกแห่ง!”
ในบริเวณนั้นท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
"นี่คือ……. ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าแจ่มใส!”
อวตารของบุคคลที่ไม่มีใครเทียบได้! แท้จริงแล้วดวงดาวที่เปล่งประกายบนท้องฟ้าแจ่มใสนั้นมีลักษณะเช่นนี้เอง ดาวแต่ละดวงเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผา นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้นต้นไม้โบราณที่แผ่กิ่งก้านสาขาขนาดมหึมาขยายออกไปด้านข้างหลายร้อยลี้ พวกมันฉีกความว่างเปล่าจนสวรรค์และปฐพีเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
“นั่นคือต้นไม้โลก มันอยู่ในร่างกายของหนานกงเจิ้ง!” จี้จื่อเยว่ ตกใจ ดวงตาของนางเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ