ตอนที่แล้วWS บทที่ 245 เมืองโทลเล่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 247 ก่อนเข้าสู่ความโกลาหล PART 1

WS บทที่ 246 หนังสือแห่งนิดันดร์


ในห้องมืดที่เต็มไปด้วยนักเวทย์จำนวนหนึ่ง พวกเขากำลังนั่งอย่างเคร่งเครียด

ไชรีนเหลือบมองที่พวกนักเวทย์และถามด้วยเสียงต่ำ

"เอมิลี่ คุณมาถึงเมืองโทลเล่เร็วกว่าพวกเรา คุณได้ข่าวอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม?"

เอมิลี่เป็นสาวผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าและขาที่เรียวยาวน่าดึงดูด เมื่อไชรีนถามเธอ ทุกคนก็เพ่งมองมาที่เธอในทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง เอมิลี่ตอบอย่างลังเล “เราไม่ได้รับข่าวใด ๆ เลย ข้อมูลของหนังสือแห่งนิดันดร์ยังคงเหมือนเดิมกับที่เราได้รับมาก่อนหน้านี้ สองวันต่อจากนี้ ตระกูลชาเดอสันจะเปิดเผยเนื้อหาข้างในของหนังสือแห่งนิดันดร์สู้สาธารณะ!”

“หนังสือแห่งนิดันดร์เหรอ นั่นเป็นสมบัติในตำนานนะ!”

ทันทีที่พวกเขากล่าวถึงหนังสือแห่งนิดันดร์ เหล่านักเวทย์ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างท่วมท้น พวกเขามาที่เมืองโทลเล่เพื่อมาดูหนังสือแห่งนิดันดร์

หนังสือแห่งนิดันดร์ในตำนานมีทั้งหมดสามเล่ม มันได้รับการสืบทอดมาจากจักรวรรดิมอลต้า อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครเคยเห็นของจริง อย่างมากที่สุด หลายคนเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของหนังสือแห่งนิดันดร์เท่านั้น

โดยเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์ มันจะบันทึกคาถาระดับหนึ่งถึงระดับสามที่หลากหลาย บันทึกค่อนข้างสมบูรณ์และคาถามากมายมีค่ามาก

หากตระกูลนักเวทย์ธรรมดาได้ครอบครองหนังสือแห่งนิดันดร์เล่มแรก ความสามารถของตระกูลจะดีขึ้นเป็นสิบเท่าแน่นอนหลังจากฝึกฝนเพียงสิบปี

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์เท่านั้น เล่มที่สองยิ่งน่าสนใจมากขึ้น มันบันทึกคาถาระดับสี่ถึงระดับหกที่หลากหลาย

สิ่งนี้จะจุดประกายความสนใจมากยิ่งขึ้นในหมู่นักเวทย์ เนื่องจากมีคาถาระดับหนึ่งถึงระดับสามมากมาย แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะได้รับคาถาแต่พ่อมดพเนจรก็สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม คาถาระดับสี่ถึงระดับหกเป็นสิ่งแทบไม่มีอยู่ในโลกภายนอก แม้ว่าพ่อมดพเนจรหลายคนกลายเป็นนักเวทย์ระดับสามด้วยโชคอันแท้จริง พวกเขาไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นคาถาระดับสี่ได้หากไม่มีคาถาระดับที่สี่

นอกจากนี้ แม้แต่นักเวทย์ในองค์กรบางแห่งก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคาถาระดับห้าและระดับหก

ในขณะเดียวกัน เล่มที่สามของหนังสือแห่งนิดันดร์นั้นมีความใกล้เคียงกับตำนานมาโดยตลอด ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับผู้คนที่ได้รับเล่มที่สามแม้ในช่วงสมัยของจักรวรรดิมอลต้า

อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่าเล่มที่สามบันทึกพลังปีศาจแพนโดร่าที่ลึกลับแต่ทรงพลัง พลังปีศาจแต่ละอย่างมีพลังที่น่ากลัว

แต่น่าเศร้าที่เล่มที่สามเป็นตำนานมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยของจักรวรรดิมอลต้า หลังจากสามพันหกร้อยปี เล่มที่สามของหนังสือแห่งนิดันดร์ไม่ปรากฏชื่อขึ้นมาอีกเลย

ไชรีนพยักหน้าและพูดต่อ "เอมิลี่ ทาเฟล คุณรู้ไหมว่าทำไมตระกูลชาเดอสันถึงเลือกที่จะเปิดเผยหนังสือเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์ต่อสาธารณะอย่างนี้"

หากได้รับหนังสือแห่งนิดันดร์ ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลจะดีขึ้นอย่างมากหลังจากฝึกฝนอย่างระมัดระวังเป็นเวลาหลายปี แต่ตระกูลชาเดอสันกลับเลือกที่จะเปิดเผยหนังสือแห่งนิดันดร์อันล้ำค่านี้ เป็นเรื่องที่เธอความคาดคิดของเธอไปมาก

เอมิลี่ส่ายหัวเล็กน้อย “เรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายตั้งแต่วินาทีแรกที่ประกาศออกมาและเหตุผลที่ทำอย่างนั้นก็เดาไม่ยาก เนื่องจากเป็นเพราะหนังสือแห่งนิดันดร์ แม้ว่าจะเล่มแรกแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลชาเดอสันจะสามารถครอบครองได้”

“แม้ว่าจะมีเพียงเวทมนตร์ระดับแรกถึงระดับสามเท่านั้นในเล่มแรก แต่ตระกูลนักเวทย์จำนวนมากต้องการมัน เหนือสิ่งอื่นใด ตระกูล ดอเร็ตซึ่งเป็นตระกูลนักเวทย์อีกกลุ่มหนึ่งในเมืองโทลเล่ได้รวบรวมพ่อมดพเนจรมากมาย พวกเขาได้รวบรวมนักเวทย์ระดับสามที่แข็งแกร่งสองสามคนเพื่อกดดันตระกูลชาเดอสัน พวกเขาต้องการให้ตระกูลชาเดอสันส่งมอบหนังสือแห่งนิดันดร์เล่มแรกมาให้พวกเขา

อย่างไรก็ตาม ตระกูลชาเดอสันก็ตอบโต้อย่างชาญฉลาดเช่นกัน พวกเขาตอบโต้ด้วยการตัดสินใจที่จะประกาศว่าพวกเขาจะเปิดเผยหนังสือแห่งนิดันดร์ในเมืองโทลเล่ต่อสาธารณะ ในขณะนั้น คาถาในหนังสือแห่งนิดันดร์จะแสดงให้ทุกคนและตระกูลดอเร็ตได้เห็น พวกเขาจะไม่สามารถรั้งพ่อมดพเนจรได้อีกต่อไป ด้วยวิธีนี้ ตระกูลชาเดอสันจะสามารถเอาชนะวิกฤตินี้ได้” เอมิลี่อธิบายข้อมูลที่เธอรวบรวมมาจากเมืองโทลเล่อย่างรอบคอบ

ไชรีนพยักหน้า เนื่องจากตระกูลดอเร็ตที่กดดันตระกูลชาเดอสันจึงทำให้ตระกูลชาเดอสันไม่สามารถเก็บหนังสือเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์ไว้กับตัวเองได้อีกต่อไปแต่ทางตระกูลชาเดอสันได้ตอบโต้ด้วยการเปิดเผยมันต่อสาธารณะ เท่านี้ก็ทำให้ตระกูลชาเดอสันก็รอดพ้นจากการทำลายจากตระกูลดอเร็ตได้

นี่เป็นวิธีที่ตระกูลนักเวทย์เอาตัวรอดในโลกนี้อย่างแท้จริง ไชรีนก็มาจากตระกูลนักเวทย์ด้วย เธอเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันทีหลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง

“ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลนี้ทำให้เรามีโอกาสอันล้ำค่ามาหาพวกเราแบบไม่คาดคิด มันทำให้เราสามารถเห็นข้างในหนังสือแห่งนิดันดร์ได้” ไชรีนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง เราต้องรออีกสองวันเพื่อให้ตระกูลชาเดอสันเปิดเผยหนังสือแห่งนิดันดร์!”

เหล่านักเวทย์รุ่นเยาว์ยังคงพูดคุยกันด้วยท่าทางตื่นเต้น มีเพียงเอ็มม่าเท่านั้นที่จ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดด้วยความเศร้าสอย ร่างชุดดำในเมืองเดอตัสยังคงฝังอยู่ในใจของเธอ...

ภายใต้ม่านแห่งราตรี ร่างหนึ่งผุดขึ้นมาจากป่า

*พรึ่บ!!*

ร่างนั้นถอนหายใจยาวและพึมพำขณะที่เธอหันหน้าเข้าหากำแพงสูง "เมืองโทลเล่ ในที่สุดฉันก็มาถึงซะที นี่ฉันต้องถ่อมาจากเมืองโฟลตติ้งเผื่อที่จะมาที่นี่ เมอร์ลิน แกคือคู่ต่อสู้ที่หาตัวจับยากจริง ๆ!"

เมื่อมองใกล้ ๆ ร่างนี้เป็นผู้หญิงและเป็นผู้หญิงที่สวยมาก

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวสวยคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาของเธอเฉียบแหลมและน่ากลัว ผมสีบลอนด์ยาวของเธอถูกหวีกลับและมัดเป็นหางม้า

บนหัวของเธอมีหมวกสีดำที่ดูแปลกตาซึ่งประดับด้วยขนนก

นักเวทย์ที่คุ้นเคยกับออสมูจะเข้าใจได้ทันทีว่าผู้หญิงสวยคนนี้ที่สวมชุดแปลก ๆ นี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอคือบลูเบิร์ด นักฆ่าเลือดเย็นแห่งออซมูที่สังหารนักเวทย์มานับไม่ถ้วน

บลูเบิร์ดเป็นโค้ดเนม ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเธอ ตั้งแต่เวลาที่เธอปรากฏตัว เธอก็เป็นที่รู้จักในนามบลูเบิร์ด!

ไม่เพียงแต่บลูเบิร์ดแข็งแกร่งเท่านั้นแต่เธอยังโหดร้ายและไร้ความปรานีอีกด้วย เธอมีวิธีของเธอในการฆ่าเหล่านักเวทย์ เธอมีความสุขในการสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและจะทรมานเหยื่อของเธอจนตาย

ดังนั้น นักเวทย์หลายคนจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ทันทีที่มีการกล่าวถึงชื่อบลูเบิร์ด

*หวู่ม!!*

บลูเบิร์ดเหลือบมองไปที่กำแพงสูงตรงหน้าเธอ จากนั้น ความผันผวนเล็กน้อยของพลังธาตุลมก็ปรากฏขึ้นบนตัวเธอและร่างของเธอก็พุ่งไปข้างหน้าทันที ในชั่วพริบตา เธอก็หายตัวไปในยามค่ำคืน …

"ก็ได้ ๆ รอฉันอยู่ตรงนี้นะ"

เสียงของเมอร์ลินมาจากรถม้า หลังจากนั้น รถม้าก็หยุดลงอย่างช้า ๆ เมอร์ลินออกมาจากรถม้าและเงยหน้าขึ้นมองไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่

นี่เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่อย่างแท้จริง มีอาคารมากมายในนั้นและดูเหมือนว่าจะได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวดจากนักดาบธาตุสองสามคนยืนอยู่ข้างนอก

นักดาบธาตุเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นนักดาบธาตุระดับสาม ถ้าในเมืองแบล็กวอแตอร์ พวกเขาจะถูกมองว่าแข็งแกร่งอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการลาดตระเวนและคุ้มกันในเมืองโทลเล่เท่านั้น

นักดาบธาตุที่ไม่ได้เป็นระดับสี่ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรนักเวทย์ได้ ดังนั้นพวกเขาเหล่านี้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับสี่จึงไม่สามารถเทียบได้กับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นที่เพิ่งสร้างคาถา

เมอร์ลินตรงไปที่ทางเข้าคฤหาสน์แต่เขาถูกขัดขวางโดยนักดาบธาตุ

พวกเขามองเมอร์ลินอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรับรู้ว่าเมอร์ลินสวมเสื้อคลุมของพ่อมดและเป็นนักเวทย์ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงความเคารพต่อเขา

“ท่านนักเวทย์ขอรับ ท่านมาที่คฤหาสน์ชาเดอสันมีธุระอันใดหรือขอรับ?”

เมอร์ลินตอบอย่างใจเย็น "ฉันมาตามหาเลอแรนก้า!"

“คุณหญิงเลอแรนก้า?”

นักดาบธาตุมองเมอร์ลินด้วยท่าทางแปลก ๆ แต่กลับแสดงท่าทางปกติในภายหลัง ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับเมอร์ลินด้วยความเคารพว่า "โปรดให้เวลาผมสักครู่ขอรับ เราจะแจ้งคุณหญิงเลอแรนก้าทราบโดยเร็ว"

เมอร์ลินพยักหน้า แล้วยืนอยู่นอกคฤหาสน์ขณะที่เขารออย่างเงียบ ๆ

ในขณะที่เขารอ เมอร์ลินจ้องมองไปที่คฤหาสน์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังจิตของเขาแต่เขาก็รู้สึกได้เล็กน้อยว่ามีนักเวทย์มากมายภายในคฤหาสน์

ภายคฤหาสน์จะดูสงบแต่ข้างแล้วข้างในเต็มไปด้วยความวุ่นวาย การรักษาความปลอดภัยที่นี่ก็แน่นมากเช่นกัน เมอร์ลินไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลชาเดอสัน เนื่องจากเขาเพิ่งมาถึงเมืองโทลเล่

“คุณหญิงเลอแรนก้า พ่อมดท่านนี้ต้องการพบคุณ”

ในไม่ช้า นักดาบธาตุก็พาแม่มดคนหนึ่งออกมาข้างนอก

แม่มดดูเหมือนจะหมดแรง ด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ศีรษะของเธอถูกคลุมไว้ใต้หมวกคลุมขนาดใหญ่ มีเพียงสายตาที่พิเศษของเมอร์ลินเท่านั้นที่สามารถอ่านสีหน้าของเธอได้

“พ่อมดเมอร์ลิน?” แม่มดอุทานด้วยความตกใจ ต่อจากนั้น เธอดึงหมวกคลุมขนาดใหญ่ลงเพื่อเผยให้เห็นท่าทางเหนื่อย ๆ ของเธอ

“แม่มดเลอแรนก้า ในที่สุดเราก็ได้พบกัน!” เมอร์ลินเผยรอยยิ้มเบา ๆ ขณะที่เขาตอบอย่างใจเย็น

เลอแรนก้ารีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเพื่อตรวจสอบเมอร์ลิน ต่อจากนั้น ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างและมีความคาดหวังปรากฏบนใบหน้าของเธอ "พ่อมดเมอร์ลิน คุณ...คุณกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งแล้วหรือยัง"

ดูเหมือนเลอแรนก้าจะไม่รู้เรื่องของเมอร์ลิน เธอจึงถามเรื่องนี้

เมอร์ลินพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถูกต้อง ฉันเป็นสมาชิกทางการของดินแดมนต์ดำแล้ว ฉันยังคงจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณในตอนนั้นได้!”

เมอร์ลินสัญญาว่าจะให้เลอแรนก้าเป็นบริวารของเขา หลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งและเป็นสมาชิกทางการของดินแดมนต์ดำ

นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเลอแรนก้า เมื่อเธอออกจากดินแดนมนต์ดำอย่างไม่เต็มใจ เธอไม่คาดหวังว่าความปรารถนาสุดท้ายของเธอจะกลายเป็นความจริง

ทันใดนั้นสีหน้าเลอแรนก้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์ เธอจ้องไปที่เมอร์ลินและไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเธอเป็นเวลานาน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด