ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 3 เกิดเรื่องแล้ว
ตอนที่ 3 เกิดเรื่องแล้ว
[บี๊บ! ระบบประกาศภารกิจ : ให้โฮสท์ใช้ความสามารถของตนเองหาเงิน เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัวโดยเร็วที่สุด โฮสท์จะรับทำภารกิจนี้หรือไม่?]
เย่โม่ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “รับ! ว่าแต่ภารกิจนี้จะได้รับคะแนนกี่คะแนน?”
[ระบบจะให้คะแนนตามความเหมาะสมกับจำนวนเงินที่หาได้ และวิธีการที่โฮสท์ใช้หาเงิน]
“ถ้างั้นก็ช่วยบอกฉันทีว่า ฉันต้องใช้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะสามารถพัฒนาขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้?”
[สำหรับทักษะชีวิต – ต้องการ 10 คะแนนเพื่อพัฒนาจากระดับปรมาจารย์เข้าสู่ระดับสุดยอดปรมาจารย์ และต้องการ 20 คะแนนเพื่อเข้าสู่ระดับเหนือธรรมชาติ]
[สำหรับทักษะต่อสู้และทักษะพิเศษ - จะมีการประเมินตามสถานการณ์จริง]
เย่โม่พยักหน้าเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเข้าใจทุกอย่างดี จากนั้น จึงเริ่มปลอกปี่แป่ต่อพร้อมกับครุ่นคิดวิธีหาเงินไปด้วย
แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ลุงหวังที่อยู่ข้างบ้านก็ได้วิ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พร้อมกับร้องตะโกนบอกเย่โม่ว่า
“โม่! เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องกับป้าเจียงหมินของเธอแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
เย่โม่ร้องร้องตะโกนถามกลับไปด้วยใจที่เต้นระรัว ปี่แป่ในมือของเขาร่วงหล่นลงพื้นทันที
ลุงหวังยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตามใบหน้า พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เย่โม่ฟังคร่าวๆ
“ป้าเจียงหมินของเธอกำลังรดน้ำผักอยู่ดีๆ แต่ทำไปยังไม่ถึงครึ่ง ก็ถูกไอ้พวกคนแซ่จ้าวอู่มันมาขวางไว้ก่อน”
เนื่องจากสกุลจ้าวอู่มีนาข้าวอยู่ทางต้นน้ำพอดี และพวกเขาก็ต้องการยึดครองแหล่งน้ำไว้เพียงคนเดียว เจียงหมินจึงได้ไปต่อว่า และโต้เถียงกับคนพวกนั้น แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าคนสกุลจ้าวอู่จะลงมือทำร้ายเธอทันที
แล้วผู้หญิงอ่อนแอกว่าอย่างเจียงหมิน จะสามารถรับมือกับลูกชายและคนของสกุลจ้าวอีกสามคนได้อย่างไรกัน? ด้วยเหตุนี้ ลุงหวังข้างบ้านเห็นเข้าก็เลยรีบวิ่งมาบอกเย่โม่ทันที
หลังจากที่เย่โม่ได้ยิน เขาก็รีบวิ่งออกไปดูทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า พวกเคนแซ่จ้าวอู่จะไร้ยางอายจนกล้ารังแกป้าสะใภ้ของเขาในขณะที่ลุงไม่อยู่บ้านแบบนี้
เมื่อเย่โม่ไปถึง ก็เห็นคนพวกนั้นกำลงล้อมป้าสะใภ้ของเขาอยู่พอดี ปากก็แย่งกันรุมร้องตะโกนใส่หน้าเจียงหมินว่า
“นี่พี่เจียงหมิน ครั้งนี้เป็นความผิดของคุณนะ จ้าวอู่แค่ผลักคุณเบาๆเท่านั้น แต่คุณกลับล้มลงไปกองกับพื้นเอง นี่คงแกล้งเจ็บตัวเรียกร้องค่าเสียหายสินะ? ไม่ได้ผลหรอกน่า!”
“อีกอย่างตระกูลจ้าวอู่ของเราก็อยู่ที่จินหม่ามากันหลายชั่วอายุคนแล้ว พี่เจียงหมิน อย่ามาพยายามสร้างความเสื่อมเสียให้กับตระกูลของเราจะดีกว่า!”
“หลีกทาง!”
เสียงร้องตะโกนของเย่โม่ดังคำรามขึ้นอย่างดุดัน เขาเดินชนเข้ากับร่างที่กำลังยืนล้อมเจียงหมินอยู่ หลังจากแทรกตัวเข้าไปด้านในได้แล้ว จึงได้เห็นเจียงหมินกำลังนอนอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด ตามร่างกายยังมีรอยฝ่าเท้าปรากฏอยู่หลายรอย และเธอก็กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ป้าครับ!”
เย่โม่ดวงตาร้อนผ่าวและแดงก่ำขึ้นมาทันที เขารีบวิ่งเข้าไปสำรวจดูว่าป้าสะใภ้ได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง และพบว่าที่ขาข้างขวามีรอยฟกช้ำอยู่เต็มไปหมด เส้นเลือดตามลำคอและขมับของเย่โม่ปูดโปนขึ้นมาทันที เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
“อ้าว.. เย่โม่เองเหรอ? เธอมาได้ทันเวลาพอดี”
“เห้ย.. เย่โม่เองเหรอ? นึกว่าใคร? แกมาได้ถูกจังหวะพอดี เร็วๆเข้า รีบพาป้าของแกกลับไปได้แล้ว จำไว้ว่าอย่ามาทำเป็นใหญ่แถวนี้อีกรู้มั๊ย? แล้วอย่าคิดว่าคนที่มุงดูอยู่จะเข้าข้างพวกแกล่ะ ให้มันรู้บ้างว่าแถวนี้ใครใหญ่!”
ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ร้องตะโกนบอกเย่โม่ด้วยสีหน้าท่าทางยะโสโอหัง
“เห็นแกที่พวกเราเป็นคนในบ้านเดียวกัน ฉันจะไม่แจ้งความป้าของแกข้อหาบุกรุก แต่รีบๆพาป้าของแกออกไปจากที่นี่ซะ!”
นับตั้งแต่เด็กมา ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้อาศัยอำนาจบารมีของผู้เป็นพ่อ ทำตัวเป็นอันธพาลและเผด็จการภายในเมืองนี้มาโดยตลอด หากไม่มีอำนาจอิทธิพลของพ่อคุ้มกะลาหัว เขาก็เป็นได้เพียงแค่พวกนักเลงหัวไม้ไร้ราคาเท่านั้น
กระทั่งเจียงหมินเป็นฝ่ายถูกพวกมันทำร้ายร่างกายแท้ๆ แต่กลับถูกพวกมันใช้อำนาจว่าเธอเป็นผู้บุกรุก และยังจะฟ้องเธอหากเธอไม่รีบออกไปจากบริเวณนั้น
แต่หลังจากพูดออกไปแล้ว จ้าวอู่กลับรู้สึกว่า เย่โมในวันนี้ดูเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้เขาถึงกับชะงักไปในทันที และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกหลังจากที่ได้เห็นสายตาเคียดแค้นของเย่โม่ ที่กำลังจ้องมองมาทางตนเองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จ้าวอู่ถึงกับหวาดกลัวจนต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที
แต่เมื่อเห็นว่า เวลานี้มีผู้คนมุงดูอยู่มากมายหลายคน เขาจึงไม่อยากเสียหน้า และรีบร้องตะโกนออกไปเสียงดังแกล้งทำเป็นว่าไม่กลัว
“ไอ้สารเลว! แกมายืนจ้องหน้าฉันทำไมกันห๊ะ? ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไง? ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่ง…”
ปัง!
ยังไม่ทันที่จ้าวอู่จะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ เย่โม่ก็ไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้อีก เขายกมือขึ้นตบเข้าไปที่ใบหน้าของจ้าวอู่ทันที และด้วยความโมโห ทำให้เขาลืมนึกถึงพละกำลังและร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การตอบหน้าปกติ แต่ร่างของจ้าวอู่ก็ถึงกับลอยละลิ่วออกไปกลางอากาศ!
ในเวลานั้นเอง ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างก็พากันยืนแน่นิ่งด้วยความตกตะลึง บรรยากาศภายในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ แม้กระทั่งเจียงหมินที่ยืนอยู่ข้างๆเย่โม่เวลานี้ยังถึงกับนิ่งงันไปเช่นกัน เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่า เย่โม่ที่ปกติมีนิสัยรักสงบไม่ยุ่งกับใคร จู่ๆจะกลายเป็นคนอารมณ์หุนหันพลันแล่นแบบนี้
“จ้าวอู่! นี่แกคิดว่าสกุลเย่ของฉันเป็นอะไร? นึกอยากจะเหยียบย่ำกันตามใจชอบยังไงก็ได้งั้นเหรอ? ฉันขอเตือนไว้ก่อน ถ้าใครยังขืนที่จะข่มเหงรังแกคนสกุลเย่อีกล่ะก็ พวกมันจะต้องนอนกระอักเลือดแน่!”
น้ำเสียงของเย่โม่ที่พูดออกไปนั้นฟังดูเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็ได้ประคองร่างของเจียงหมินเดินออกไปอย่างช้าๆ จ้าวอู่เห็นเช่นนั้นจึงได้ร้องตะโกนไล่หลังด้วยความเดือดดาลใจ
“เย่โม่! แกรู้ตัวบ้างมั๊ยว่าทำอะไรลงไป? แกลืมไปแล้วหรือไงว่า พ่อของฉันเป็นถึงข้าราชการระดับสูงของเมืองนี้เชียวนะ? พ่อของฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
พวกนักเลงหัวไม้ที่เอาแต่ข่มเหงรังแกคนที่อ่อนแอกว่า มักจะหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองเสมอ พวกมันจ้องมองเย่โม่ด้วยแววตาหวาดกลัว รวมถึงจ้าวอู่ด้วย เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า นักเรียนมัธยมปลายที่อ่อนแอคนหนึ่ง จู่ๆจะกลับกลายมามีพละกำลังที่มากมายขนาดนี้ได้!
ความจริงแล้ว เมื่อครู่เย่โม่ยังไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมดของตนเอง ไม่อย่างนั้น หัวสุนัขของจ้าวอู่คงต้องระเบิดเป็นเสี่ยงแน่!
แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเย่โม่จะดูไม่แข็งแรงอะไรนัก แต่ความหนาแน่น และแข็งแกร่งของเซลภายในกล้ามเนื้อนั้นกลับสูงมาก ประหนึ่งว่ามีใยเหล็กเสริมพันแน่นอยู่ด้านใน
เย่โม่ไม่สนใจคำข่มขู่ของจ้าวอู่นัก เขกหันหลังกลับไป และคิดที่จะเข้าไปชกไอ้คนชั่วช้าสารเลวนั่นอีกครั้ง แต่กลับถูกเจียงหมินห้ามไว้เสียก่อน
“หยุดนะโม่! อย่าทำอะไรเขาอีก!”
ก่อนที่เย่โม่จะส่งร่างของจ้าวอู่ให้ลอยละลิ่วไปกลางอากาศเพียงแค่การตบหนึ่งฉาดนั้น เจียงหมินยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงไม่สามารถห้ามเย่โม่ไว้ได้ทัน แต่ในเมื่อตอนนี้เธอจับตามองหลานชายอยู่ตลอด มีหรือที่จะยอมให้เย่โม่ทำเรื่องแบบนั้นได้อีก?
เพราะไม่ว่าจ้าวอู่จะเกเรและชั่วช้ามากแค่ไหน เขาก็เป็นลูกชายของผู้อำนวยการสำนักงานพลเรือนประจำเมืองนี้อยู่ดี!
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเจียงหมินก็เป็นฝ่ายหันหลังกลับมาขอโทษจ้าวอู่เสียเอง “ฉันขอโทษนะคะ เมื่อครู่ฉันสะดุดขาตัวเองหกล้ม แต่หลานชายเข้าใจผิดก็เลยทำรุนแรงกับคุณไป!”
เมื่อเห็นเจียงหมินเป็นฝ่ายของโทษตัวเองเช่นนี้ จ้าวอู่ก็ยิ่งเหิมเกริมหนักกว่าเดิม เขาถุยน้ำลายลงพื้นพร้อมกับพูดจาอาฆาตมาดร้ายว่า
“พวกแกคอยดูก็แล้วกัน เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่!”
“เอ่อ…”
จ้าวอู่ถึงกับอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดต่อเมื่อเห็นสายตาของเย่โม่ที่จ้องมองมาแน่นิ่ง เขารีบลุกขึ้นยืนและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เจียงหมินได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินว่าจ้าวอู่ไม่ยอมปล่อยตัวเองไป ส่วนเย่โม่นั้นยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง และช่วยพยุงร่างของเจียงหมินกลับบ้านท่ามกลางสายตาของผู้คน