ตอนที่แล้วระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 1 ระบบทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไประบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 3 เกิดเรื่องแล้ว

ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 2 ภารกิจของระบบปรากฏ


ตอนที่ 2 ภารกิจของระบบปรากฏ

เย่เจี้ยนกัวเห็นเย่โม่นิ่งเงียบไป จึงคิดว่าเย่โม่กำลังนึกตำหนิตัวเองอยู่ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“โม่เอ้ย อย่าคิดมากไปเลยนะ! มีลุงอยู่ทั้งคน เดี๋ยวก็หาเงินมาคืนเขาได้น่า! ขอเพียงแค่เธอหายดี แล้วกลับไปเรียนได้ตามเดิม ต่อไปเธอก็จะเป็นความหวังของสกุลเย่เรารู้มั๊ย วันข้างหน้าเธอจะได้นำชื่อเสียงเกียรติยศมาให้วงศ์ตระกูลได้แน่”

“คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะต้องทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน!”

เย่โม่กำหมัดแน่นขณะเอ่ยบอก และนี่คือคำมั่นสัญญาของเขา!

เย่เจี้ยนกัวยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะหัวเราะร่วน “ฮ่าๆๆ ได้ๆ ลุงกับป้าจะรอคอยวันที่มีชีวิตดีขึ้นนะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เจี้ยนกัวสว่างไสวมากยิ่งขึ้นหลังออกมาจากโรงพยาบาล นั่นเพราะผลการตรวจร่างกายของเย่โม่กลับดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ นั่นเพราะร่างกายของเย่โม่ไม่เพียงไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ผลจากการตรวจร่างกายยังพบว่า ร่างกายของเขานั้นแข็งแรงเสียยิ่งกว่าทหารที่ผ่านการฝึกฝนในกองทัพมาเป็นเวลานานเสียอีก จนกระทั่งหมอที่ทำการตรวจถึงกับต้องประหลาดใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน เย่เจี้ยนกัวจึงได้บอกเล่าผลการตรวจของเย่โม่ให้เจียงหมินกับลูกสาวฟัง ทั้งคู่ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของคนทั้งสองเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ภาพความห่วงใยของผู้หญิงสองคนตรงหน้านั้น เย่โม่ได้เห็นด้วยตา ได้บันทึกไว้ในสมอง แลได้ฝังแน่นไว้ในจิตวิญญาณของตนเอง

กลางดึก.. เย่โม่นอนอยู่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เขาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้ว่าจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม

เขานึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองได้ครอบครองความสามารถพิเศษ จึงได้ลุกขึ้นจากเตียง และแอบวิ่งไปที่ภูเขาด้านหลังบ้านอย่างเงียบๆ

แม้ยามนี้จะมืดค่ำดึกดื่นมากแล้ว แต่เย่โม่ก็ได้อาศัยแสงสลัวจากดวงจันทร์ นำทางตนเองเข้าไปกลางป่าหนาทึบที่อยู่บนเขา หลังจากวิ่งไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนมาเป็นกระโดดขึ้นต้นไม้ แล้วกระโจนจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งไม่ต่างจากลิง

หลังจากที่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เย่โม่ก็เริ่มทำการต่อสู้ด้วยการชกลม เหมือนกับที่เขาเคยเรียนรู้มาจากทีวี เวลานี้ เขาเหมือนคนที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และไม่มีที่ระบายออก

ปัง!

เย่โม่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากจนเผลอไปชกเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่า บริเวณของต้นไม้ที่โดนหมัดของเขาเข้าไปนั้น ได้เกิดรอยแตกซึ่งมีลักษณะคล้ายกับใยแมงมุมขึ้น และมันได้ขยายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเพียงแค่พริบตา ต้นไม้ใหญ่นั้นก็ได้ล้มลงใส่เข้าในทันที ทำให้เขาไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ทัน

“ชิบหายแล้ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ต้นไม้ใหญ่ถึงกับล้มเชียวเหรอนี่?”

เย่โม่ตกใจจนแทบช็อค และรีบยกมือขึ้นรับไว้ทันที!

“ห๊ะ?! ทำไมต้นไม้ถึงได้เบาแบบนี้ล่ะ?”

เย่โม่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาจ้องมองมือทั้งสองข้างของตัวเองพร้อมกับพึมพำต่อ “นี่ฉันสามารถรับต้นไม้ที่หนักหลายร้อยกิโลได้ด้วยง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ?”

จากนั้น เขาก็ได้ผลักต้นไม้ใหญ่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “ดูท่า.. หินก้อนนนั้นคงจะหนักไม่เบาเหมือนกัน?”

เย่โม่ยกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกในขณะที่ใช้ความคิด สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่ามันจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว

เย่โม่เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับก้มลงใช้มือทั้งสองข้างโอบหินก้อนนั้นไว้ และยกขึ้นมาทันที

“พระเจ้า!”

เขาร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ที่ตนเองสามารถยกหินที่หนักกว่าสามร้อยกิโลกรัมนี้ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

เย่โม่ตกตะลึงในตอนแรก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นดีอกดีใจ แม้เขาจะรู้ว่าตนเองได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังมากมายถึงขนาดนี้

เย่โม่แอบกำหมัดแน่น และรับรู้ได้ถึงพลังที่ระเบิดออกมาจากมือทั้งสองข้างของตนเอง เขาถอนหายใจด้วยความตกใจ และได้แต่แอบคิดว่า เซรุ่มกัปตันอเมริกาที่ระบบสุ่มเลือกให้นั้นจะอัศจรรย์มากถึงเพียงนี้ มันทำให้เขาแข็งแกร่งไม่ต่างจากวัวหนุ่ม และเปรียบได้กับแม่ทัพที่แข็งแกร่งในสมัยโบราณเลยทีเดียว

เย่โม่ได้แต่แอบคิดในใจว่า ด้วยสมรรถภาพร่างกายของตนเองที่เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เขาเสมือนมีอาวุธชั้นยอดอยู่ในมือ

“ถ้าเป็นแบบนี้ หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันก็น่าจะขอทุนนักกีฬาได้สินะ? ได้ยินมาว่าพวกนักศึกษาที่ได้เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ล้วนกลายเป็นคนดังไปเลย! เอ.. พวกเขาถูกเรียกว่าอะไรนะ? อ่อ.. เทพๆ”

หลังจากคิดได้แบบนั้น เย่โม่ก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่เมื่อนึกถึงความจริงเขาก็ถึงกับนิ่งเงียบไป และได้แต่รำพึงรำพันว่า

“เย่โม่! นี่แกยังคิดจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอีกงั้นเหรอ? เชอะ! ค่าเทอมก็ไม่ใช่น้อยๆเลย สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องหาเงินก่อนต่างหากล่ะ!”

ไม่รู้ว่าที่เส้นขอบฟ้าห่างไกลออกไปนั้น เริ่มมีแสงสว่างสีขาวเป็นเส้นโค้งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด และนั่นคือสัญญาณว่าค่ำคืนได้ล่วงเลยผ่านไปแล้ว รุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะมาเยือน

เย่โม่จึงได้วิ่งลงเขากลับไปที่บ้าน แต่ในขณะที่กำลังจะปิดประตูนั้น เขาก็ได้หันไปเห็นเจียงหมินกำลังแบกของเดินกลับมาแต่ไกล จึงรีบวิ่งออกไปช่วยเธอถือของทันทีปากก็ร้องตะโกนเรียนป้า เมื่อเข้าไปใกล้ เย่โม่ก็สังเกตเห็นว่ายังมีปี่แป่เหลืออยู่ไม่น้อย

ที่สวนข้างบ้านหลังนี้มีต้นปี่แป่อยู่มากมาย ซึ่งย่าของเย่โม่ได้ปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และในช่วนต้นพฤษภาคมนี้ก็ได้เวลาที่ปี่แป่เติบโตเต็มที่ เจียงหมินจึงได้ตื่นแต่เช้ามาเก็บ และนำไปขายที่ตลาดในเมืองใกล้ๆ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายภายในครอบครัว

เย่โม่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ดวงตาร้อนผ่าวอีกครั้ง เขาได้แต่จ้องมองป้าสะใภ้ที่ต้องทำงานอย่างหนัก และภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนนี้ เธอถึงกับดูมีอายุขึ้นจากเดิมมาก กระทั่งขมับทั้งสองข้างก็เริ่มมีผมขาวแซมออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

เดิมที บ้านของลุงเขายังนับว่าพอมีเงินไม่ลำบากลำบนอะไรนัก แต่ที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ เวลานี้เย่โม่รู้สึกผิดอย่างมหันต์จนไม่อาจพรรณนาออกมาได้!

เจียงหมินวางตระกร้าในมือลง แล้วจึงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มห้าผากพร้อมกับหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ นี่โม่ อย่าดูถูกปี่แป่ลูกเล็กๆนี่เชียวนะ มันขายได้ง่ายมากเลยรู้มั๊ย ป้าขายแค่ช่วงเช้ายังได้มาตั้งสองร้อยหยวน เฮ้อ.. แต่น่าเสียดายไปหน่อย เพราะวันนี้มีคนเอาผักผลไม้มาขายเยอะแยะ ไม่งั้นป้าคงจะขายได้มากกว่านี้แน่”

เย่โม่ต้องบังคับตัวเองให้ฝืนยิ้ม ก่อนจะค่อยๆพยุงเจียงหมินพร้อมกับช่วยยกตระกร้ากลับไปที่บ้าน ระหว่างที่เดินนั้น จู่ๆเย่โม่ก็พูดขึ้นว่า

“ป้าครับ รอผมหน่อยนะครับ ผมจะทำให้ป้ามีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้! ผมจะทำให้ป้าได้อยู่อย่างสบาย!”

เจียงหมินถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเย่โม่ จากนั้นจึงหันกลับมาเอามือลูบศรีษะของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ พร้อมกับเอ่ยบอกไปว่า

“ป้ากับลุงยังไม่แก่สักหน่อย ยังทำงานได้อีกตั้งหลายปี สิ่งที่เธอควรทำคือตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆให้ได้ โอ้ใช่แล้ว! เดี๋ยวเธอพักผ่อนต่ออีกสักสองสามวันให้หายดี แล้วก็ต้องรีบกลับไปเรียนต่อได้แล้วนะ!”

“เอ่อ.. ป้าครับ ผมไม่เรียนหนังสือได้มั๊ยครับ?”

หลังจากที่เย่โม่พูดจบประโยค เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าของเจียงหมินเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีนัก พร้อมกับร้องบอกเขาว่า

“อีกแค่เดือนเดียวก็จะสอบเอนทรานซ์แล้วนะ ยังไงก็ต้องไปเรียน!”

ความจริงแล้วที่เย่โม่ไม่อยากเรียนต่อนั้น เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเพิ่มภาระให้กับครอบครัวอีก แต่เจียงหมินกลับคิดว่าเย่โม่ยังคงหวาดกลัวคนสกุลจ้าวที่สั่งคนมารุมทำร้ายเขา เจียงหมินจึงได้แต่โมโหเดือดดาลขึ้นมา แต่เธอก็ไม่มีอำนาจที่จะไปทำอะไรคนพวกนั้นได้

เธอเอาเรื่องอะไรกับคนแซ่จ้าวนั่นไม่ได้เลย เพราะพ่อแม่ของเขาไม่เพียงร่ำรวยมีเงินทอง แต่ยังเป็นที่มีอำนาจอิทธิพลในเมืองนี้อีกด้วย การมีเรื่องกับเขาจึงไม่ต่างจากการเอาไม่ซี่ไปงัดไม้ซุง อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ!

เจียงหมินได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็ได้ๆ ถ้าเธอกลัวคนแซ่จ้าวนั่นจริงๆ ก็ทบทวนหนังสืออยู่ที่บ้านก็แล้วกัน แต่ก็ไม่ต้องกดดันตัวเองมากล่ะ ถ้าปีนี้สอบเข้าไม่ได้ ก็ค่อยสอบใหม่ปีหน้า”

เวลานี้เย่โม่ได้รับระบบทักษะมาแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะร่ำเรียนอะไรอีก ต่อให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะสามารถก่อร่างสร้างตัว และแข่งขันกับสกุลจ้าวที่มีอำนาจล้นพ้นในเมืองนี้ได้?

แต่เพื่อทำให้เจียงหมินสบายใจ เขาจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ

เมื่อทั้งคู่เข้าไปในบ้าน เย่เจี้ยนกัวก็ได้ออกไปไซต์งานก่อสร้างแล้ว ส่วนน้องสาวของเขาเย่เจียเจียก็ไปโรงเรียนแล้วเช่นกัน

หลังจากทานอาหารเช้าง่ายๆเรียบร้อยแล้ว เจียงหมินจึงได้สอนเย่โม่ทำสวนปลูกผัก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลอกเปลือกปี่แป่นั้น ข้อความจากระบบก็ได้ปรากฏขึ้นในหัวของเขา

------------

ปีแป๋เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ถึง ขนาดเล็ก บ้างใช้เป็นไม้ประดับตกแต่ง แต่ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อเป็นไม้ผลสำหรับรับประทานเป็นไม้ผลพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่น แต่เดิมมีถิ่นกำเนิดแท้จริงอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน มักนิยมปลูกเฉพาะในพื้นที่สูง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด