ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 1 ระบบทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด
ตอนที่ 1 ระบบทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด
เย่โม่ตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน…
ในความฝันนั้น ร่างของเขากำลังร่วงหล่นลงไปในห้วงมิติที่มืดมิด ที่นอกเหนือจากความเหน็บหนาวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
ร่างของเขายังคงร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ ราวกับว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุด…
ไม่รู้ว่าเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ จุดสว่างเล็กๆ จำนวนห้าสีห้าจุดก็ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางห้วงมิติที่มืดมิดนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าสู่กลางหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว
[เปิดใช้งานระบบที่แข็งแกร่งที่สุด…]
[ดูดซับพลังงาน…]
[ดูดซับพลังงานเรียบร้อยแล้ว]
[ตรวจพบจิตวิญญาณที่อ่อนแอ]
[เริ่มการผูกโฮสท์…]
“ระบบที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
เย่โม่ที่ยังคงหลับอยู่ในความฝันเนิ่นนาน จู่ๆ ก็มีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับระบบที่แข็งแกร่งที่สุดปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา!
ระบบทักษะแข็งแกร่งที่สุดนี้ คือผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากโลกระดับสูง ด้วยระบบนี้ มันสามารถทำการดึงทักษะที่แตกต่างกันจากโลกต่างๆในจักรวาลมารวมกัน โดยทักษะต่างๆนั้นจะแยกออกได้เป็นสามประเภทด้วยกันคือ – ทักษะชีวิต ทักษะการต่อสู้ และทักษะพิเศษ!
ทักษะการใช้ชีวิตก็ได้แก่ การดูดวงชะตา การเขียนอักษรวาดภาพ การร้องเพลง การทำอาหาร การขับรถ การพนัน การแพทย์ และอื่นๆอีกมากมาย
ส่วนทักษะการต่อสู้นั้น ก็หมายถึงการต่อสู้ด้วยอาวุธ การต่อสู้ด้วยมือเปล่า วิชานินจา และทักษะการต่อสู้อื่นๆ
และท้ายที่สุดก็คือทักษะพิเศษ ก็คือทักษะที่ได้จากของวิเศษในตำนาน ตัวละคร หรือโลกของเกมนั่นเอง
เย่โม่กำลังเรียบเรียงและทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้รับมา และเวลานี้ เขาก็กำลังรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างมาก!
“สวัสดีระบบ นี่นายอยู่ในร่างกายของฉันแล้วใช่มั๊ย?”
[สวัสดีโฮสท์ ระบบได้ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของคุณแล้ว ไม่แปลกที่คุณจะเข้าใจว่าระบบอยู่ในร่างของคุณ!]
“ดี! งั้นช่วยอธิบายหน้าที่ของนายให้ฉันฟังหน่อยจะได้มั๊ย?”
[ข้อมูลพื้นฐานก่อนหน้าได้ถูกโหลดเข้าสู่สมองของคุณแล้ว มาฟังข้อมูลเสริมกันเลยนะครับ]
[ทักษะชีวิตที่เลือกโดยระบบจะแบ่งออกเป็นสามระดับคือ ระดับปรมาจารย์ ระดับสุดยอดปรมาจารย์ และระดับเหนือธรรมชาติ เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างของระดับทั้งสามได้ง่ายขึ้น ขอยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ทักษะทางการแพทย์ระดับปรมาจารย์นั้น เทียบเท่ากับหมอที่เก่งที่สุดในประเทศ แต่ทักษะทางการแพทย์ระดับสุดยอดปรมาจารย์นั้น เทียบเท่ากับหมอที่เก่งที่สุดในโลก ส่วนระดับเหนือธรรมชาติคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีก]
[สำหรับทักษะการต่อสู้กับทักษะพิเศษนั้น จะขึ้นอยู่กับระดับพลังของทักษะ]
[อ่อ.. โฮสท์! ตัวระบบเองก็สามารถอัพเกรดได้ด้วยเช่นกัน และเฉพาะการอัพเกรดแต่ละครั้งเท่านั้น ที่ระบบจะเลือกทักษะอื่นๆได้]
“ถ้าอย่างงั้น ฉันจะสามารถอัพเกรดระบบได้ยังไง?”
[เรื่องนั้นง่ายมา ขอเพียงแค่โฮสท์ทำภารกิจนั้นๆสำเร็จ ก็จะได้รับคะแนน โฮสท์ก็จะสามารถอัพเกรดระบบทักษะได้แล้ว]
[ทุกครั้งที่ทักษะเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น ก็จะสามารถอัพเกรดระบบทักษะได้ และจะรับทักษะที่สอง แต่ฉันขอเตือนโฮสท์ไว้ว่า ในตอนนี้แม้จะสามารถทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็จะสามารถดึงเฉพาะทักษะชีวิตมาใช้ได้ ส่วนทักษะการต่อสู้นั้นจะสามารถดึงมาใช้ได้เมื่อเข้าสู่ระดับ LV5 แล้วเท่านั้น ในขณะที่ทักษะพิเศษจะสามารถดึงมาใช้ได้เมื่อเข้าสู่ระดับ LV10 แล้ว]
“ระบบ แบบนี้ก็หมายความว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่สามารถดึงทักษะอะไรออกมาใช้ได้เลยสินะ?”
[ถูกต้อง แต่โฮสท์ไม่จำเป็นต้องกังวลไป ระบบจะให้รางวัลกับคุณในฐานะผู้เล่นมือใหม่!]
“โอ้? รางวัลของผู้เล่นมือใหม่เป็นอะไรงั้นหรอ?”
[รางวัลสำหรับผู้เล่นมือใหม่ก็คือไอเท็ม หรือความสามารถที่ระบบจะสุ่มเลือกให้จากจักรวาล หากโชคดี ก็อาจได้รับสายเลือดของสัตว์เทพ หรือเครื่องมือเทพ แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจได้เพียงแค่ถุงน่องที่หญิงงามสวมใส่หนึ่งคู่!]
“เอ่อ.. งั้นอย่าเสียเวลาดีกว่า รีบๆ สุ่มเลือกรางวัลของผู้เล่นมือใหม่ให้ฉันเร็วเข้า!”
[รับคำสั่งโฮสท์.. สแกนจักรวาล.. เริ่มการสุ่มเลือก… ติ๊ง! ดึงเซรุ่มกัปตันอเมริกาเวอร์ชั่นต่ำ… ติ๊ง! ได้รับทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์… การสุ่มเลือกเสร็จสิ้น!]
“ระบบ ฉันพอจะเข้าใจไอ้ทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์นะ แต่อะไรคือเซรุ่มกัปตันอเมริกา???”
[โฮสท์ เซุร่มกัปตันอเมริกาถูกดึงมาจากโลกที่เรียกว่ามาร์เวล มันสามารถปรับสมรรถภาพทางกายของคุณให้เหนือขีดจำกัดของมนุษย์ แต่เนื่องจากเป็นเซรุ่มในเวอร์ชั่นต่ำ จึงด้อยกว่าเวอร์ชั่นล่าสุด]
“แล้วเซรุ่มในเวอร์ชั่นนี้ จะทำให้ร่างกายของฉันแข็งแกร่งยังไงบ้างล่ะ?”
[มันจะปรับร่างกายของคุณให้แข็งแกร่งขึ้น จนสามารถวิ่งได้เร็วถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอัตราความเร็วนี้นับว่าเหนือกว่าม้าที่วิ่งเร็วที่สุด สามารถกระโดดได้สูงถึง 1.5 เมตร และกระโดดได้ไกลถึง 4 เมตร ซึ่งนับว่าเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปถึงสองเท่า แม้แต่มีดหรือดาบก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่…]
เย่โม่ฟังแล้วก็ถึงกับตกตะลึง เขาได้แต่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่มัน.. นี่คือเวอร์ชั่นต่ำสุดแล้วงั้นเหรอ? แค่นี้ก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาตั้งมากแล้ว!”
[โฮสท์พร้อมที่จะรับรางวัลแล้วใช่ไหม?]
“พร้อม ฉันพร้อมแล้ว!”
[ในขั้นตอนนี้จะเจ็บปวดเล็กน้อย โปรดรอ…]
[เริ่มจากการดาวน์โหลดทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์ลงไปในร่างกาย]
[เริ่มดาวน์โหลดเซรุ่มกัปตันอเมริกาเวอร์ชั่นต่ำสุดลงไปในร่างกาย]
ความเจ็บปวดราวกับถูกของแหลมคมทิ่มแทงเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณเริ่มปรากฏขึ้น!
“อ๊าก!!”
เย่โม่กรีดร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะตกใจตื่นพร้อมกับหายใจถี่แรง!
“โม่..! ในที่สุดนายก็รู้สึกตัวแล้ว!”
ในเวลานั้น เย่เจียเจียที่กำลังเช็ดทำความสะอาดร่างกายของเย่โม่อยู่ข้างเตียงนั้น ก็ถึงกับกระโดดหนีออกมาด้วยความตกใจ แต่หลังจากตั้งสติได้ ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นมีความสุขอย่างมาก พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ
“โม่รู้สึกตัวแล้ว!”
เวลานี้ เย่โม่รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง เขารู้สึกราวกับว่า กำลังถูกเข็มแหลมนับไม่ถ้วนทิ่มแทงอยู่ตามร่างกาย มันเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุด!
เสียงหายใจหอบอย่างหนักดังออกมาจากร่างของเย่โม่ที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติ เมื่อครู่เขาคิดว่าตนเองคงจะต้องร่างกายแหลกสลายไปแล้ว!
แต่เมื่อนึกถึงระบบที่ได้รับในระหว่างที่นอนโคม่าอยู่นั้น เย่โม่ก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจไม่ได้
‘เฮ้อ! ที่แท้ก็แค่ความฝัน!’
แต่หลังจากที่คิดเช่นนั้น จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเย่โม่
[โฮสท์! นี่ไม่ใช่ความฝัน และความเจ็บปวดตามร่างกายที่คุณได้รับอยู่ในเวลานี้ เกิดจากการฉีดเซรุ่มเวอร์ชั่นต่ำสุดเข้าไปในร่างกายนั่นเอง]
“ระบบ นี่นายอยู่ที่ไหน? นี่.. นี่ฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆน่ะเหรอ? นี่เป็นเรื่องจริงใช่มั๊ย?”
เย่โม่ดีใจอย่างที่สุดเมื่อได้ยินเสียงของระบบดังขึ้นในหัวของตนเอง
[ถูกต้อง! ผมยังอยู่ที่นี่เสมอ คุณสามารถสื่อสารกับผมผ่านทางจิตใจได้ เวลานี้ ระบบทักษะการแพทย์ระดับปรมาจารย์ได้ถูกถ่ายเทไปยังร่างของคุณแล้ว คุณน่าจะต้องสัมผัสได้!]
เย่โม่พยายามสะกดกลั้นความาดีอกดีใจไว้ เมื่อพบว่า เวลานี้ได้มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ และวิธีการรักษามากมายปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา
จากนั้น เย่โม่ก็ได้ทดลองยกกำปั้นขึ้นชกไปกลางอากาศ เพียงแค่เป็นหมัดธรรมดา แต่กลับสามารถสร้างคลื่นรุนแรงขึ้นกลางห้วงอากาศจนสามารถแทงทะลุเข้าไปในรูหูได้
‘แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งมากจริงๆด้วย!’
เวลานี้ เย่โม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งต่างจากเดิมมาก ซึ่งเขาสามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดี
“โม่! รู้สึกตัวแล้วเหรอ? สวรรค์! นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากจริงๆ!”
ในเวลานั้นเอง ผู้หญิงสองคนก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ หนึ่งในนั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ชื่อว่าเย่เจียเจีย ส่วนอีกคนก็คือป้าสะใภ้ชื่อว่าเจียงหมิน
เจียงหมินเห็นเย่โม่กำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้างุนงง ดวงตาของเธอทั้งสองข้างถึงกับแดงก่ำด้วยความเจ็บปวดใจ
“สวรรค์! โม่ของป้ารู้สึกตัวแล้วจริงๆด้วย!”
เย่เจียเจียเองที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ได้แต่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาไปด้วย แล้วก็หัวเราะไปด้วย
เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ดวงตาของเย่โม่ก็ร้อนผ่าวขึ้นทันที
จากการบอกเล่าพร้อมกับน้ำหูน้ำตาของเจียงหมิน ในที่สุดเย่โม่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังจากหมดสติ ในระหว่างนั้นเขาถูกผู้ใจบุญที่สัญจรผ่านมานำตัวส่งไปที่โรงพยาบาลโดย แต่การปฐมพยาบาลเบื้องต้นดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร หมอบอกว่าเลือดในสมองของเขาเริ่มมีการจับตัวเป็นลิ่มเลือด ทำให้ลิ่มเลือดไปกดทับเส้นประสาท
แต่เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลนั้นทำให้เงินออมของสกุลเย่ร่อยหรอลงจนไม่เหลือ ส่วนคนที่ทำร้ายเขานั้นก็เพียงแค่ให้ค่าทำขวัญ 20,000 หยวนแล้วก็หายหัวไปเลย ท้ายที่สุด พวกเขาไม่มีเงินที่จะรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล จึงได้แต่ต้องนำตัวเย่โม่กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และรอคอยให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นเท่านั้น
เย่โม่เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ป้าหมิน น้องเจียเจีย ผมทำให้ทุกคนต้องลำบาก!”
เจียงหมินรีบเข้าไปลูบแผ่นหลังของเย่โม่เป็นการปลอบประโลม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เด็กโง่! พวกเราต่างก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ลำบ่งลำบากอะไรกันล่ะ ไม่ต้องคิดมากนะ!”
“ครับ!”
เย่โม่พยักหน้าหงึกๆ แต่แล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับร้องถามออกไปว่า “แล้วคุณลุงล่ะครับ?”
“ลุงไปที่ไซต์งานก่อสร้างจ้ะ”
เจียงหมินร้องตอบเย่โม่ ก่อนจะหันไปสั่งลูกสาวว่า “เจียเจีย โทรหาพ่อเร็วเข้าบอกให้รีบกลับมา จะได้พาโม่ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล”
เย่โม่รู้ดีว่าฐานะของครอบครัวลุงกับป้าสะใภ้นั้นค่อนข้างยากจน และต้องใช้เงินไปจำนวนมากมายกับการรักษาที่ผ่าน เขาจึงได้แต่ร้องบอกไปว่า
“ป้าครับ ไม่ต้องไปตรวจก็ได้ครับ ผมหายดีแล้ว!”
แต่มีหรือที่เจียงหมินจะยอมฟังคำพูดของเขา เธอรีบหันกลับไปตอบเย่โม่ทันที “จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน? ยังไงก็ต้องไปตรวจดูให้แน่ใจ!”
“เจียเจีย แล้วนี่ยังยืนเฉยอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปโทรบอกพ่ออีก?”
…….
ราวสี่สิบนาทีต่อมา เย่เจี้ยนกัวที่ร่างกายเปื้อนไปด้วยฝุ่นก็วิ่งเข้ามากอดเย่โม่ไว้ พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้เย่โม่ถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อตอนอายุแปดขวบ พ่อแม่ของเย่โม่ได้เสียชีวิตเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถทั้งคู่ และนับตั้งแต่นั้นมา เย่เจี้ยนกัวก็ได้รับเย่โม่มาเลี้ยงดูราวกับเป็นลูกตัวเอง!
เย่เจี้ยนกัวได้ช่วยพยุงร่างของเย่โม่ขึ้นรถตู้ และในตอนนั้นเองเขาจึงได้รู้ว่า ตนเองกลับมาอยู่ที่บ้านหลังเก่าในเมืองจินหม่า
‘นี่ลุงขายบ้านที่ฉางเฟิงไปแล้วเหรอครับ?’
เพื่อนบ้านที่ชื่อหลิวฝูกุ่ยนั้นเป็นคนช่างพูด ตลอดทางก็ได้เล่าเรื่องที่ลุงของเขาได้ขายบ้านในฉางเฟิงไปแล้วเพราะไม่มีเงินพอจ่ายค่ารักษา มิหนำซ้ำยังต้องไปหยิบยืมเงินจากญาตอีกสามคน และเพื่อนฝูงอีกสี่คนด้วย
เย่เจี้ยนกัวพยายามที่จะห้ามปรามหลิวฝูกุ่ยให้หยุดพูด แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ และเอาแต่พูดเพ้อเจ้อไปตลอดทาง!
“ไอ้คนแซ่จาง!”
เย่โม่เค้นคำพูดรอดไรฟันอย่างเคียดแค้น ใบหน้าของคนคนหนึ่งที่เขาไม่มีวันจะลืมเลือน ได้ปรากฏขึ้นในหัวของเย่โม่ทันที!
“จางเชา!”
“แกถึงกับหาคนมาฆ่าฉันเชียวเหรอ? ฉันจะไม่อดทนอีกต่อไป แกจะต้องได้รับการตอบโต้อย่างสาสม!”
“แกร่ำรวยมีเงินทองมีอำนาจแล้วยังไง? ถ้าชาตินี้ฉันกำจัดแกออกจากชีวิตไม่ได้ ฉันจะไม่มีทางตายตาหลับแน่!”