WS บทที่ 245 เมืองโทลเล่
บนถนนบนภูเขาที่ขรุขระ เมอร์ลินยังคงนั่งอยู่ในรถม้า เขามักจะยื่นหน้าออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูใบไม้ที่ร่วงหล่นซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแต่เขาไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกถึงความร้อนในอากาศแทน
“ฉันได้ยินมาว่าเมืองแห่งอัคคีอยู่ในสถานที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมาก สภาพแวดล้อมโดยรอบดูราวกับถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟ จึงตั้งชื่อให้มันว่าเมืองแห่งอัคคี ถ้ามีโอกาสฉันจะต้องไปที่นั่นสักครั้ง”
เมอร์ลินพึมพำเสียงต่ำในรถม้า เขารู้ว่าเขาได้เข้าสู่พื้นที่อิทธิพลของเมืองแห่งอัคคีแล้ว อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือคุณลักษณะที่ชัดเจนที่สุดของเมืองแห่งอัคคี
เมอร์ลินยังสัมผัสได้ว่าโครงสร้างเวทมนต์ของคาถาลูไฟกับเพลิงพิโรธในจิตใต้สำนึกของเขาได้เพิ่มความเร็วในการดูดซับธาตุไฟ ยิ่งไปกว่านั้น พลังเวทย์ของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พลังธาตุไฟในเมืองแฟ่งอัคคีนั้นมีความสมบูรณ์ยิ่งกว่าภูมิภาคอื่น
นิ้วของเมอร์ลินเลื่อนผ่านแผนที่และในที่สุดก็หยุดที่เมืองโทลเล่
“ดูเหมือนว่าฉันจะไปถึงเมืองโทลเล่ในอีกครึ่งวัน!”
ตั้งแต่ที่เมอร์ลินออกจากเมืองโฟลตติ้ง เขาก็เดินทางมาเกือบยี่สิบวันแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะใช้เวลาเพียงสองสามวันกว่าจะถึงเมืองโทลเล่
อย่างไรก็ดี มีถนนบนภูเขาที่ยากลำบากมากเกินไปตลอดการเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถเดินทางได้เฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น เขาต้องหาที่พักผ่อนในตอนกลางคืน ดังนั้นเขาจึงเสียเวลาเดินทางค่อนข้างมาก
โชคดีที่เมอร์ลินไม่รีบเร่งเวลา ในช่วงเวลานี้ เขาได้ดื่มน้ำยามนตราอสูรจนหมด อัตราการเพิ่มขึ้นของพลังจิตนั้นมีประสิทธิภาพน้อยกว่าตอนที่เขาทานยาครั้งแรก
ซึ่งในระหว่างนี้มันได้พิสูจน์ว่าตัวน้ำยามนตราอสูรนั้นผลลัพธ์ของมันลดลงไปเรื่อย ๆ โชคดีที่เขาได้รับพื้นที่มิติของเบลล์ซึ่งช่วยให้เขาเพิ่มพลังจิตจิตแทนที่การดื่มน้ำยามนตราอสูร การทำสมาธิในนั้นช่วยให้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า
"รอกันอีกนิดก่อนที่จะรวมพลังจิตในห้วงมิติกับพลังจิตของฉัน จากนั้นฉันอาจบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นในการสร้างคาถาระดับสอง สายธารแห่งความมืด!"
เมอร์ลินได้เลือกคาถาธาตุมืดที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุดในหอคอยอเวจี ในตอนแรกเขาไม่ได้อยากจะสร้างคาถาบทนี้เพราะมันจะต้องใช้พลังจิตจำนวนมหาศาลในการสร้างมันขึ้นมา แม้ว่าเขาจะทำมันสำเร็จ เขาก็ต้องแบ่งปันพลังจิตส่วนใหญ่ไปคงรูปตัวคาถานี้ไว้ทำให้ไม่อาจสร้างคาถาอันอื่นได้ในระยะอันสั้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเมอร์ลินไม่ได้แลกเปลี่ยนคาถาระดับสองอื่น ๆ จากดินแดนมนต์ดำและตอนนี้เขามีเพียงคาถาระดับสองเพียงแค่บทเดียวเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจว่าหากพลังจิตของเขาเพียงพอในภายหลัง เขาจะเลือกสร้างสายธารแห่งความมืดโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งวัน รถม้าเข้ามาใกล้เมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงอย่างช้า ๆ
ที่นี่คือเมืองโทลเล่ เมอร์ลินสามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีนักเวทย์และคนธรรมดาจำนวนมากที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมือง
สิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเมอร์ลิน เนื่องจากเขารู้ว่าโดยทั่วไปแล้วนักเวทย์มักหยิ่งผยองและมีความอวดเบ่งอย่างชัดเจนมากเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาแตกต่างจากพวกคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ในกรณีของเมืองโทลเล่ที่นักเวทย์กับคนธรรมดาอาศัยอยู่ร่วมกันจึงเป็นอะไรที่หายากมาก
แม้จะยังคงไว้ซึ่งความคารพต่อนักเวทย์อยู่บ้างอย่างเช่น เมื่อคนธรรมดาบางคนพบกับนักเวทย์ที่สวมเสื้อคลุมของพ่อมด พวกเขาจะยิ้มและโค้งคำนับด้วยความเคารพเพื่อแสดงแสดงความเคารพต่อนักเวทย์ เป็นต้น
"น่าสนใจ กฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันและการใช้เวทมนตร์ที่เท่าเทียมกัน เมืองโทลเล่ น่าสนใจจริงๆ!"
ความสนใจของเมอร์ลินถูกกระตุ้นโดยเมืองโทลเล่ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวผ่านกำแพงเมืองโทลเลอย่างช้า ๆ
เมืองโทลเล่มีผู้คนพลุกพล่าน พ่อค้าเร่และนักเวทย์หลายคนกำลังโฆษณาสินค้าของตนด้วยเสียงที่ดัง ไม่มีนักเวทย์คนใดที่ดูเหมือนจะหยิ่งในสถานที่นี้ เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าว เมอร์ลินก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับมาที่เมืองแบล็ควอเตอร์
อย่างไรก็ตาม การผันผวนของพลังธาตุที่ซึมออกมาจากเวทมนตร์คาถาทำให้เมอร์ลินตระหนักว่าเมืองโทลเล่เป็นสถานที่ที่พิเศษมาก มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมืองโฟลตติ้งซึ่งกำหนดให้ต้องเป็นนักเวทย์เท่านั้นที่จะเข้าเมืองได้เลยแทบไม่มีคนธรรมดาในเมืองโฟลตติ้งเลย
แม้แต่คนขับรถม้าของเมอร์ลินก็ยังได้รับการว่าจ้างจากนอกเมืองโฟลตติ้งโดยตระกูลเดลแมน
หากเปรียบเทียบระหว่างเมืองโฟลตติ้งกับเมืองโทลเล่ เมืองโทลเล่นั้นมีคนธรรมดาปฏิบัติกับนักเวทย์เฉกเช่นคนปกติโดยปราศจากปราศจากความกลัวและความวิตกกังวล พ่อค้าเร่บางคนสามารถต่อรองราคากับนักเวทย์ได้
เมอร์ลินไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิสัมพันธ์อย่างสันติระหว่างนักเวทย์กับคนธรรมดาเป็นสิ่งที่เมอร์ลินต้องการจะปฏิบัติ พวกเขามีพื้นฐานที่เหมือนกัน แม้ว่านักเวทย์จะมีพลังมากกว่าแต่พวกเขายังคงเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและจิตใจ
"หลังจากพบกับเลอแรนก้า ฉันจะอยู่เมืองโทลเล่ต่ออีกสักพัก"
เมอร์ลินพึมพำ จากนั้นเขาก็ส่งคนขับรถม้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลชาเดอสันที่เลอแรนก้าอยู่
“ท่านเมอร์ลิน ผมพบแล้ว! ตระกูลชาเดอสันอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากที่นี่”
คนขับรถม้าได้รับข้อมูลแล้วและตอนนี้ก็รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของตระกูลชาเดอสันแล้ว เมอร์ลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
"ไปที่ตระกูลชาเดอสันกันเถอะ!"
จากนั้นเมอร์ลินก็ดึงม่านลงและรถม้าก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
…
หน้าสนามเล็กๆ ในเมืองโทลเล่ ชายและหญิงที่มีผมยาวสีดำดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ถอนหายใจโล่งอกหลังจากเห็นสนาม
“น่าจะอยู่ที่นี่นะ ที่ที่เราสัญญาว่าจะเจอกัน ฮายา ไปกันเถอะ”
ร่างทั้งสองนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไชรีนและฮายา พวกเขามาที่เมืองโทลเล่ด้วยเช่นกกันแต่ดูเหมือนพวกเขาจะนัดพบใครสักคนที่นี่
ฮายาพยักหน้า เขาเดินไปที่ประตูบ้านและเคาะเสียงดัง “ทาเฟล เอมิลี่ มาที่ประตูเร็ว นี่ฮายากับไชรีน!”
หลังจากที่ส่งเสียงไปไม่นานก็มีเสียงเคลื่อนไหวจากบ้านที่ดูว่างเปล่า มีเด็กสาวสองสามคนรีบออกจากบ้านอย่างร่าเริง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นนักเวทย์เช่นกัน
“ฮายา ไชรีน ทำไมคุณมาช้าจัง เรากำลังคุยกันว่าจะกลับไปหรืออยู่ต่อเพื่อดูการเปิดเผยหนังสือแห่งนิรันดร์ของตระกูลชาเดอสันดี” แม่มดผมสีน้ำตาลรีบเปิดประตูไม้และต้อนรับฮายากับไชรีน
ไชรีนเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดในบรรดานักเวทย์เหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงตรวจดูสาวน้อยเวทมนต์ทั้งสามทันทีที่เธอเข้ามาในบ้าน การแสดงออกของเธอค่อย ๆ มืดลง
“ทาเฟล เอมิลี่ ฉันไม่ได้บอกคุณเหรอว่าควรมาแค่คุณสองคน เราไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีนักเวทย์สนใจมากแค่ไหน ถ้าครั้งนี้มีปัญหาอะไร ฉันไม่สามารถปกป้องคนจำนวนมากได้” ไชรีนกล่าวพลางชี้ไปที่แม่มดสาวสวยร่างสูงที่อยู่ด้านหลังแม่มดทั้งสอง
หลังจากสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงหงุดหงิดของไชรีน เอมิลี่ที่ร่าเริงก็ก้าวไปข้างหน้าและอธิบายให้ไชรีนฟังในขณะที่จับมือของแม่มดที่ไม่คุ้นเคยมาด้านหน้า
“พอดีเราพบระหว่างทางมาที่นี่ เธอชื่อเอ็มม่า เธอเป็นนักเวทย์ที่เก่งมาก เธอได้สร้างคาถาระดับศูนย์สามอันแล้ว”
“เธอเป็นแม่มดพเนจรงั้นหรือ?”
ไชรีนขมวดคิ้ว สายตาของเธอกวาดมองนักเวทย์ที่ไม่คุ้นเคยชื่อ ‘เอ็มม่า’ อย่างละเอียด
พวกเขาทั้งหมดมาจากตระกูลนักเวทย์ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากพวกเขาได้ยินว่าทางตระกูลชาเดอสันแห่งเมืองโทลเล่จะเปิดเผยหนังสือแห่งนิรันดร์ในตำนานต่อสาธารณะชน พวกเขาจึงแอบออกจากตระกูลเพื่อมาดูมัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการมีเอ็มม่าเพิ่มเข้ามา ทำให้ไชรีนผู้ระมัดระวังไม่เชื่อใจเธอได้ง่ายเหมือนเอมิลี่และทาเฟลทำ
เมื่อได้ยินคำถามของไชรีน เอ็มม่าก็ส่ายหัว “แม่มดไชรีน ฉันไม่ใช่แม่มดพเนจร ฉันมีอาจารย์และเขาเป็นนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำ! ฉันมาที่เมืองโทลเล่เพราะฉันได้ยินมาว่านักเวทย์หลายคนสนใจการเปิดเผยหนังสือแห่งนิรันดร์ในเมืองโทลเล่ ฉันจึงคิดว่าฉันอาจจะพบอาจารย์ของฉันที่นี่”
“นักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำ?”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเอ็มม่า เธอเหลือบมองเอ็มมาด้วยความอยากรู้เพิ่มขึ้น
อันที่จริง นักเวทย์จากองค์กรนักเวทย์หลายแห่งมักจะให้คาถาแก่คนบางคนที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นนักเวทย์เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ด้วยตนเอง
นักเวทย์บางคนสามารถฝึกฝนคาถาเหล่านี้ได้แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำสำเร็จ
นอกจากนี้ ทางองค์กรส่วนใหญ่ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิดน้อย เอาเข้าจริง ๆ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่นำ 'ลูกศิษย์' ไปที่องค์กรนักเวทย์ ไชรีนเคยประสบกับกรณีที่คล้ายกันมากมายในอดีต
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากจะเชื่อหลังจากได้ยินคำอธิบายของเอ็มม่า
ไชรีนถอนหายใจยาว “แม่มดเอ็มม่า ได้โปรดอย่าตั้งความหวังไว้สูงถึงขนาดนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าดินแดนมนต์ดำนั้นลึกลับมาก คุณต้องมีเหรียญตราที่เป็นแหวนเพื่อเข้าไปที่นั่น แม้แต่นักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถนำนักเวทย์คนอื่นเข้าไปได้ไม่มีแหวนมนต์ดำ”
หลังจากที่ไชรีนพูดอย่างนั้น สีหน้าของเอ็มม่าก็เปลี่ยนไป เธอกัดริมฝีปากแน่น
“ขอบคุณที่แม่มดไชรีนที่บอกฉันแต่ฉันยังคงต้องการลองหาอาจารย์ของฉัน แค่ได้พบอาจารย์ก็เพียงพอแล้ว!”
เอ็มมายังคงจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้มีนักเวทย์หนุ่มที่ช่วยทั้งครอบครัวของเธอในตอนนั้น ก่อนที่เขาจะจากไป เขาสัญญาว่าเขาจะรับเธอเป็นลูกศิษย์ หากเธอประสบความสำเร็จในการสร้างคาถาระดับศูนย์สามอันได้สำเร็จหลังจากผ่านไปสามปี
แต่ตอนนี้ใกล้จะสามปีแล้วและเธอก็สร้างคาถาระดับศูนย์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม นักเวทย์หนุ่มคนนั้นไม่เคยไปเมืองเดอตัสอีกเลย ด้วยเหตุนี้ เอ็มม่าจึงตัดสินใจออกจากเมืองเดอตัสเพื่อออกค้นหาอาจารย์ด้วยตัวเธอเอง
เมื่อได้เห็นการแสดงออกที่แน่วแน่ของเอ็มม่า ไชรีนก็ไม่แนะนำเธอเพิ่มเติม “เข้าไปข้างในก่อน สถานการณ์ที่เมืองโทลเล่ซับซ้อนเล็กน้อยในครั้งนี้ เราต้องหารือเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”
หลังจากนั้นไชรีนเข้าไปในบ้านพร้อมกับเหล่านักเวทย์รุ่นเยาว์