WS บทที่ 243 การจำลอง
"ลูกไฟ!"
ในพื้นที่มิติของเบลล์ เมอร์ลินใช้พลังจิตสร้างลูกไฟออกมาที่ปลายนิ้ว จากนั้นลูกไฟก็พุ่งออกมาและระเบิดออก
คาถานี้ไม่แตกต่างจากลูกไฟที่เขาร่ายปกติ อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการจำลองสามารถดำรงอยู่ในพื้นที่มิติเท่านั้น เมื่อออกจากมิติแล้ว เขาคงจะทำอย่างนี้ไม่ได้
“ภายในพื้นที่จำลอง นักเวทย์สามารถลองใช้โครงสร้างเวทมนต์โดยไม่ส่งผลเสียใด ๆ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของคาถาหรือพลังปีศาจแพนโดร่า! บางทีอาจมีประโยชน์มากกว่านี้”
ท้ายที่สุด เมอร์ลินเพิ่งเริ่มเข้าใจการทำงานของมัน มันอาจมีความสามารถอื่น ๆ ที่เขาไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการจำลองการสร้างคาถาเป็นความสามารถที่สำคัญมาก นักเวทย์หลายคนจะสูญเสียพลังจิตส่วนใหญ่เพื่อสร้างคาถา หากคาถาล้มเหลว พวกเขาจะสูญเสียอย่างหนักหรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือความตาย
แต่ด้วยพื้นที่มิติของเบลล์จึงไม่ต้องกังวลว่าการสร้างคาถาจะล้มเหลว สามารถสร้างและจำลองคาถาต่าง ๆ ได้มากมายในพื้นที่มิติแห่งนี้
สิ่งนี้สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการสร้างคาถาได้อย่างมาก
เมอร์ลินมีเดอะเมทริกซ์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างคาถาต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการพื้นที่มิติเพื่อจุดประสงค์นั้น อย่างไรก็ตาม พลังจิตที่ทำซ้ำในพื้นที่มิติก็สามารถฝึกฝนการทำสมาธิไปในตัวซึ่งมันจะค่อย ๆ เพิ่มพลังจิตที่ทำซ้ำนั้นอย่างช้า ๆ
วิธีนี้จะเพิ่มพลังจิตของเขาอย่างรวดเร็วตราบใดที่พลังจิตที่ซ้ำกันไม่ส่งผลอะไรกับตัวเขา
นี่อาจเป็นการใช้พื้นที่มิติที่มีความสำคัญน้อยที่สุดแต่ในมุมมองของเมอร์ลิน ความสามารถในการเพิ่มพลังจิตนั้นถือว่ามีความสำคัญกับเขามาก เขาสามารถส่งพลังจิตบางส่วนของเขาไปยังพื้นที่มิติ เพื่อนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องและเพิ่มพลังจิตของเขา
สิ่งนี้จะมีผลมากกว่าน้ำยาที่เขาใช้
“สามารถจำลองคาถาได้ แล้วพลังปีศาจแพนโดร่าล่ะ?” เมอร์ลินนึกถึงความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือพลังปีศาจแพนโดร่า
ดังนั้นเขาจึงเริ่มจำลองไขกระดูกน้ำแข็งร้อยปีและใช้มันเพื่อฝึกฝนดัชนีเยือกแข็ง การจำลองดำเนินไปอย่างราบรื่นและเขาสามารถฝึกฝนดัชนีเยือกแข็งได้สำเร็จ
แต่ทันใดนั้น เมอร์ลินคิดเกี่ยวกับการฝึกฝนรูปแบที่สองของดัชนีเยือกแข็ง เขาก็ตระหนักว่าไม่มีทางที่จะจำลองสมบัติที่จำเป็นสำหรับขั้นตอนที่สองได้ แม้ว่าเขาจะรู้จักชื่อของมันแต่เมอร์ลินก็ไม่เคยสัมผัสกับสมบัติดังนั้นพื้นที่มิติจึงไม่น่าสามารถจำลองมันได้
นี่หมายความว่าที่คือข้อจำกัดในการจำลองภายในพื้นที่มิติ หากไม่เคยเห็นสิ่งของที่จะจำลอง พื้นที่มิติก็ไม่สามารถจำลองได้
นอกจากนี้ การจำลองคาถาและพลังปีศาจแพนโดร่าที่พลังของมันเกินขีดจำกัดของพื้นที่มิติ มันจะไม่สามารถจำลองได้อีกเลยและเมอร์ลินไม่รู้ว่าขีดจำกัดที่ว่ามันต้องมากแค่ไหน
แม้ว่าจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันมากมายแต่ในท้ายที่สุด เมอร์ลินจะสามารถปล่อยให้พลังจิตของเขาให้ทำซ้ำเพื่อฝึกฝนอย่างไม่ลดละและเพิ่มพลังจิตของเขา สิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับเมอร์ลินมากกว่าหน้าที่อื่น ๆ ในพื้นที่มิติ
เมอร์ลินครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดใช้พลังจิตและส่งพลังจิตไปหนึ่งในสิบของเขาไปยังห้วงมิติที่ซึ่งพลังจิตของเขาซ้ำซ้อนก่อตัวขึ้น
พลังจิตที่ซ้ำกันของเขาเริ่มฝึกฝนเทคนิคการทำสมาธิจิตระดับสูงของเมอร์ลินและมันได้ผลจริง ๆ ในห้วงมิติ เมื่อพลังจิตที่ซ้ำกันของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังจิตก็จะยิ่งต้องใช้เพื่อฝึกฝนคาถาการทำสมาธิจิตระดับสูงต่อไป
แน่นอน เมอร์ลินมีพลังจิตที่น่าเหลือเชื่ออยู่แล้วและแม้ว่าพลังจิตของเขาจะทำซ้ำการฝึกสมาธิระดับสูงอย่างไม่หยุดยั้ง พลังจิตของเขาจะไม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทันที มันจะใช้เวลานานในการสะสมจนกว่าพลังจิตของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพลังจิตระดับสามและสี่ นั่นคือเหตุผลที่เขตแดนแสงดำของเมอร์ลินสามารถหลอกลวงนักเวทย์ระดับสามได้แต่กลับไร้ผลกับนักเวทย์ระดับสี่
เมอร์ลินไม่รีบเร่งที่จะเสริมสร้างพลังจิตของเขา เนื่องจากต้องใช้เวลาสะสมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงอยู่ในห้องของเขา หยิบส่วนผสมของน้ำยามนตราอสูรที่เขาซื้อมาจากอาคารสเตอลิ่งและเตรียมการปรุงยา
น้ำยามนตราอสูรที่เมอร์ลินปรุงไว้ก่อนหน้านี้มีอัตราความสำเร็จเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตอนนี้ เขาคุ้นเคยกับการปรุงยามากขึ้นและอัตราความสำเร็จก็เพิ่มขึ้นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็นต์
แม้ว่าจะมีอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นเพียงสิบเปอร์เซ็นต์แต่ก็สูงกว่าเมื่อก่อนมาก เขาได้รับส่วนผสมยาสี่สิบชุดจากอาคารสเตอร์ลิ่ง เขาต้องใช้เวลาหลายวันในตระกูลเดลแมนในการปรุงยาและใช้ส่วนผสมทั้งหมดจนหมด ในท้ายที่สุด เขาได้น้ำยามนตราอสูร 16 ขวด
น้ำยา 16 ขวด ก็เพียงพอแล้วสำหรับให้เมอร์ลิน ตอนนี้เขายังมี พื้นที่มิติของเบลล์และพลังจิตที่ซ้ำกันของเขา ทำให้เขาสามารถฝึกฝนการทำสมาธิได้อย่างไม่ลดละ เมื่อถึงเวลาที่เขาดื่มน้ำยาทั้งหมด บางทีพลังจิตของเขาอาจจะเพิ่มขึ้นและเพียงพอสำหรับที่จะสร้างคาถาระดับสอง
เมอร์ลินจึงไม่ต้องการอยู่ในตระกูลเดลแมนอีกต่อไป เขาออกจากดินแดนมนต์ดำก็เพื่อจัดการปัญหาระหว่างเขากับรีเซนและตามหาเลอแรนก้าเพื่อทำตามสัญญาของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องไปจากกที่นี่แล้ว
เมอร์ลินเดินไปหาเอเลน่าและพูดอย่างใจเย็นว่า “เอเลน่า ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง! ฉันเกรงว่าฉันต้องออกจากเมืองโฟลตติ้งแล้ว”
“คุณกำลังจะไปแล้ว? พ่อมดเมอร์ลิน คุณกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่ดินแดนมนต์ดำหรือไม่ ฉันสามารถไปกับคุณได้ ฉันได้ตัดสินใจกลับไปที่ดินแดมนตต์ดำเพื่อเริ่มสร้างคาถาระดับหนึ่ง”
เอเลน่าเป็นเพียงนักเวทย์ระดับเริ่มต้น เธอไม่สามารถอยู่ในดินแดนมนตต์ดำได้ตลอดไป ดังนั้นเธอต้องใช้เวลาประมาณสามปีกว่าเพื่อสร้างคาถาระดับแรกให้ได้ หากเธอทำไม่สำเร็จเธอก็จะถูกขับออกจากดินแดนมนต์ดำแบบเดียวกับเลอแรนก้า
เมอร์ลินเห็นความคาดหมายในดวงตาของเอเลน่า เขาส่ายหัวและกล่าวว่า "ไม่จำเป็น เธอไปที่ดินแดมนต์ดำก่อนเถอะ ฉันจะไปที่อื่นก่อน จริงเธอรู้ไหมว่าเมืองโทลเล่อยู่ที่ไหน?"
เมอร์ลินจำได้ว่าเลอแรนก้าอยู่ในตระกูลนักเวทย์ในเมืองโทลเล่ อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินอยู่ในเมืองโฟลตติ้งมานานแล้ว เขาไม่รู้ว่าเมืองโทลเล่อยู่ที่ไหน
"เมืองโทลเล่?” เอเลน่าถามด้วยความสงสัย
"ใช่ ฉันจะไปที่นั่น"
เมอร์ลินพยักหน้าขณะที่เอเลน่าค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้น ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทลเล่
"เมืองโทลเล่อยู่ไกลมาก อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเมืองแห่งอัคคี ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้แผนที่ที่มีรายละเอียดของเมืองโทลเล่ให้"
เอเลน่าพูดจบและเดินออกไปทันที ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมแผนที่สำหรับเมอร์ลิน
แผนที่มีขนาดใหญ่มากพร้อมคำอธิบายประกอบโดยละเอียด มีบ่งบอกขอบเขตของอำนาจขององค์นักเวทย์ทั้งสี่แห่ง ได้แก่ ดินแดนมนต์ดำ, หอคอยอเวจี, เมืองแห่งอัคคีและแคว้นแห่งธุลีที่ได้รับการระบุไว้อย่างชัดเจน
เมอร์ลินตั้งข้อสังเกตว่าเขตอำนาจของดินแดมนต์ดำมาถึงเมืองปรากาช เขามาจากเมืองปรากาซและเดินทางไปยังเทือกเขาเคอร์ดิชซึ่งที่นั่นเขาได้เปิดใช้งานวงแหวนเวทย์และในที่สุด เขาก็มาถึงดินแดนมนต์ดำ
บนแผนที่ยังทำมีเครื่องหมายของเมืองโฟลตติ้ง มันค่อนข้างใกล้กับเมืองแห่งอัคคีแต่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของใคร พื้นที่นี้ถูกแยกออกจากกันและไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจขององค์กรนักเวทย์ทั้งสี่แห่ง
นี่อาจเป็นสาเหตุที่เมืองโฟลตติ้งดึงดูดพ่อมดพเนจรจำนวนมากและถูกเรียกว่า ‘เมืองแห่งอิสระ’
“นี่คือแผนที่ของตระกูลของเธอหรือไม่”
เมอร์ลินกระซิบ เขารู้ว่ามันยากมากที่จะได้แผนที่แบบนี้ มีคำอธิบายประกอบโดยละเอียดและแม้กระทั่งทำเครื่องหมายพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลขององค์กรนักเวทย์ทั้งสี่แห่ง สิ่งนี้นักเวทย์ทั่วไปไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้
ตระกูลเดลแมนต้องใช้เวลาหลายปีในการวาดแผนที่นี้เพื่อให้มีรายละเอียดเช่นนี้
“ใช่ ทางตระกูลใช้เวลาเกือบสิบปีและด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมายจนได้แผนที่นี้ออกมา อย่างไรก็ตาม แผนที่นี้เป็นเพียงกยอดภูเขาน้ำแข็งในอาณาจักรแบล็คมูนเท่านั้น อาณาจักรแห่งแบล็คมูนนั้นใหญ่โต ไม่สามารถนำเมืองทั้งหมดลงไปในแผนที่ได้
เขตอำนาจขององค์กรนักเวทย์เหล่านี้วาดยากเป็นพิเศษ ทางตระกูลสามารถหาข่าวเกี่ยวกับดินแดนมนต์ดำ, หอคอยอเวจี, เมืองแห่งอัคคีและแคว้นแห่งเท่านั้น ส่วนองค์กรขนาดใหญ่ทางเราไม่รู้แน่ชัด นั่นคือเหตุผลที่พวกเราไม่สามารถวาดแผนที่ที่แม่นยำได้"
เอเลน่าแนะนำที่มาของแผนที่สั้น ๆ และดูเหมือนไม่ง่ายเลยที่จะวาดออกมา แผนที่ประเภทนี้มีค่ามากสำหรับตระกูลอย่างแน่นอนและพวกเขาจะไม่ปล่อยเผยแพร่มันอย่างง่ายๆ เมอร์ลินเคยไปที่อาคารสเตอร์ลิ่งแต่ไม่เคยเห็นแผนที่ละเอียดเท่านี้มาก่อน
พ่อมดแมทธิวคงต้องยอมให้เอเลน่าก่อน ถึงจะนำแผนที่มาให้เมอร์ลินได้
“เธอใจดีเกินไปแล้ว แม่มดเอเลน่า!”
จากนั้น เมอร์ลินหยิบแผนที่ขึ้นมาและศึกษาอย่างรวดเร็ว เขาได้ยินมาว่าเอเลน่าพูดถึงเมืองโทลเล่อยู่ในเขตอำนาจของเมืองแห่งอัคคี ดังนั้นเขาจึงเริ่มค้นหาภายในพื้นที่นั้น
ทันทีที่เมอร์ลินพบตำแหน่งของเมืองโทลเล่บนแผนที่ มันอยู่ไกลจากดินแดมนต์ดำและเมืองโฟลตติ้งมาก
ถ้าเขานั่งในรถม้า มันจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันกว่าจะถึงเมืองโทลเล่
"เมืองโทลเล่..."
จิตใจของเมอร์ลินเริ่มว้าวุ่นขึ้นมา เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงเรือนร่างที่คุ้นเคยที่สัมผัสครั้งสุดท้ายในตอนนั้น…