ตอนที่ 11 ทดสอบพลังวิญญาณ
ตอนที่ 11
ทดสอบพลังวิญญาณ
“เชิญขอรับท่านผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ”ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านเดินพาชายผู้มาจากนอกหมู่บ้านเข้าไปพักผ่อนภายในบ้านของตนเองด้วยท่าทีนอบน้อมแถมยังสั่งให้คนในบ้านรีบเอาชาออกมาต้อนรับอย่างดีอีกต่างหาก เพราะแขกผู้มาเยือนครั้งนี้คือผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจากสำนัก ราชาวิญญาณ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเลยทีเดียว
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าคือ เจ้าหลง ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับห้าแห่งสำนักราชาวิญญาณ ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อทำตามคำร้องขอของท่าน ทว่า......”เจ้าหลงแนะนำตัวก่อนจะมองหัวหน้าหมู่บ้านด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เป็นเวลาหลายปีแล้วที่หัวหน้าหมู่บ้านพยายามส่งจดหมายไปยังสำนักราชาวิญญาณเพื่อขอให้คนของสำนักเข้ามาทดสอบเด็กในหมู่บ้านว่าพอจะมีผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนพลังวิญญาณหรือไม่ แต่เรื่องนั้นทำให้สำนักราชาวิญญาณเกิดความรำคาญไม่น้อยเลยได้ส่งเจ้าหลงผู้เป็นอาจารย์ระดับทั่วไปให้เดินทางมาให้มันจบๆไปเสียเท่านั้น
“หากไม่พบว่าเด็กในหมู่บ้านของท่านมีความสามารถ ท่านก็เลิกส่งจดหมายมาขอร้องเสียที”เจ้าหลงส่ายศีรษะช้าๆ ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้จะไปมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณได้อย่างไร แม้พรสวรรค์ติดตัวจะเป็นไม่ใช่สิ่งที่สืบทอดมาจากสายเลือด แต่ระดับพลังวิญญาณนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถสืบทอดมาจากบรรพบุรุษได้ ยิ่งมีบิดามารดาที่แข็งแกร่งเพียงไร เด็กที่เกิดมาก็จะมีพลังวิญญาณสูงเท่านั้น ยิ่งเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่เหมาะสมยิ่งทำให้อนาคตยิ่งเก่งกล้าสามารถ
“ขอรับ ข้าทราบว่าข้ารบกวน แต่หลายปีนี้เด็กๆที่เกิดมาต่างโดดเด่นกันไม่น้อย ข้าอยากจะเปิดเส้นทางให้พวกเขาขอรับ”หัวหน้าหมู่บ้านโดนอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่พอใจใส่อย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ก็ไม่คิดจะบ่นอะไร สำนักฝึกฝนพลังวิญญาณเป็นแหล่งรวมตัวของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง หมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้ส่งจดหมายไปรบกวนถือว่าเสียมารยาทจริงๆ แต่....เพื่อเด็กๆในหมู่บ้านแล้วการเสียมารยาทครั้งนี้ก็ให้มาลงกับตนก็แล้วกัน
“ก็ได้ งั้นไปพาเด็กๆในหมู่บ้านมา ข้าจะทดสอบให้”เจ้าหลงอยากจะรีบทำรีบกลับ ในสำนักยังมีเรื่องมากมายให้กลับไปจัดการ ให้เสียเวลาแค่ตอนเดินทางก็พอแล้ว
“ขอรับ.....”หัวหน้าหมู่บ้านประสานมือคารวะอีกฝ่ายก่อนจะรีบพาคนในบ้านให้ไปแยกย้ายกันกระจายข่าวทันที
.
.
.
“ได้ยินหรือเปล่า ดูเหมือนผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจะมาที่หมู่บ้านเราแล้ว”หลังจากเรียกตัวเด็กๆในหมู่บ้านมารวมตัวกันที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เหล่าเด็กชายที่เคยได้ยินเรื่องราวของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณกันมาบ้างแล้วต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้นกันทั้งนั้น
ในโลกนี้ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ยิ่งเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนจากสำนักต่างๆยิ่งสามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นไปจนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจเทียบติดได้อย่างแน่นอนเลยทีเดียว
“เจ้านั่นแข็งแกร่งกว่าท่านลุงจงไห่อีกงั้นเหรอ”เด็กชายคนหนึ่งถามพลางมองเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ยามนี้ในหมู่บ้านมีผู้ใช้พลังวิญญาณได้เพียง 3 คนเท่านั้นคือเหล่านายพรานของหมู่บ้าน โดยมีท่านลุงจงไห่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่เหล่านายพรานก็ไม่ได้ฝึกฝนพลังวิญญาณตามเคล็ดฝึกฝนของสำนักแต่อย่างไร พวกเขาใช้ชีวิตและเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนเองผ่านการฝึกฝนทั่วๆไปเท่านั้น แม้จะเก่งกาจกว่าคนอื่นๆแต่หากเอาไปเทียบกับผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณในสำนักก็คงไม่อาจเทียบกันได้
“แน่นอน ข้าได้ยินว่าต่อให้เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสำนักราชาวิญญาณก็ยังแข็งแกร่งกว่าท่านลุงจงไห่เสียอีก”เด็กชายอีกคนตอบด้วยท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก ขอเพียงได้รับการฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณคนเหล่านั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้นในทันที นั่นคือสิ่งที่เหล่าเด็กๆต่างพากันเชื่อ
“เช่นนั้น ถ้าข้าได้เข้าสำนัก ข้าก็จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านสินะ”เด็กชายอีกคนเองก็มีท่าทีตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน ลำพังแค่ความแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านก็ทำพวกเขาเนื้อตัวเต้นตุบๆกันได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงขีดความสามารถหลังจากนี้เลย
“มากันครบหรือยัง ข้าจะได้เริ่มเสียที”เห็นเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านต่างออกมายืนเรียงแถวกันอยู่หน้าบ้านแล้ว เจ้าหลงก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกมาหาหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนคุมแถวอยู่ด้านหน้าอย่างเซ็งๆ เด็กเหล่านี้ไม่มีท่าทีจะมีพลังวิญญาณเลย เช่นนี้จะเสียเปล่ากระมัง
“ยังขาดอีกไม่กี่คนขอรับ”หัวหน้าหมู่บ้านตอบพลางชะเง้อมองไปด้านหลังเพื่อดูว่าใครยังไม่ออกมาบ้าง
“ไม่ต้องรอแล้ว มาเริ่มกันเลย”เจ้าหลงส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กชายคนแรกอย่างรวดเร็ว การทดสอบพลังวิญญาณนั้นเป็นการสัมผัสพลังวิญญาณในร่างของเด็กๆเหล่านี้ ขอเพียงมีพลังวิญญาณมากพอก็สามารถเข้ารับการฝึกฝนได้ โดยระดับพลังวิญญาณของเด็กเหล่านี้ทั่วไปจะยังไม่ถึงระดับ 1 เสียด้วยซ้ำ หากมีเด็กอายุเท่านี้มีพลังวิญญาณถึงระดับ 1 แล้วก็นับว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย โดยระดับพลังวิญญาณนั้นแบ่งออกเป็น 15 ขั้น แต่ละขั้นห่างชั้นกันหลายเท่าตัว ทำให้ยิ่งอยู่ขั้นสูงแสดงว่ายิ่งมีพลังมาก อย่างจงไห่ผู้เป็นนายพรานของหมู่บ้านนี้แม้จะไม่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักต่างๆ แต่เพราะใช้พลังวิญญาณมานานประกอบกับทักษะการล่าสัตว์และเข้าปะทะกับสัตว์อสูรเป็นบางครั้ง ทำให้พลังวิญญาณของเขาอยู่ระดับ 3 ไปแล้ว นับว่าสูงมากสำหรับผู้ไม่ได้รับการฝึกฝน ส่วนเจ้าหลงเป็นอาจารย์ของสำนักราชาวิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงอาจารย์หน้าใหม่เท่านั้น ระดับพลังวิญญาณเลยยังอยู่เพียงระดับ 5 ซึ่งถือว่ายังไม่สูงอะไรมากมายสำหรับสำนักราชาวิญญาณ
“เจ้า.....ไร้พลังวิญญาณฝึกฝนไม่ได้”หลังจากเอามือแตะบ่าของเด็กคนหนึ่ง เจ้าหลงก็ตัดสินผลออกมาทันที
“เจ้าก็เหมือนกันฝึกฝนไม่ได้”เจ้าหลงแตะตัวเด็กอีกคนกัดออกก่อนจะเดินไปตัดสินอีกคนต่ออย่างรวดเร็วจนเด็กที่มารวมตัวกันกว่า 15 คนโดนคัดออกจนหมดในพริบตา
“อย่างที่ข้าคิดจริงๆ หมู่บ้านเช่นนี้จะไปมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณได้อย่างไร....”เจ้าหลงตรวจสอบเพียงอึดใจก็ทราบแล้วว่าเด็กในหมู่บ้านไม่มีใครเลยที่มีพลังมากพอจะฝึกฝนพลังวิญญาณได้เล่นเอาเหล่าเด็กชายที่พากันตื่นเต้นดีใจกันในตอนแรกต่างพากันหน้าเสียกันถ้วนหน้า
“หลิงเซียว เจ้ารีบมาเร็วเข้า”ไม่คิดว่าเจ้าหลงจะตรวจสอบรวดเร็วเช่นนี้ทำเอาหัวหน้าหมู่บ้านร้อนใจไม่น้อย แต่ระหว่างเจ้าหลงกำลังจะขอตัวลา เด็กชายอีกคนก็วิ่งเข้ามาในสถานที่ทดสอบเสียก่อน
“ท่านเจ้าหลง รบกวนท่านตรวจสอบเด็กคนนี้อีกคนเถอะขอรับ”หัวหน้าหมู่บ้านพาเด็กที่ตนเรียกว่า หลิงเซียว เดินเข้าไปหาเจ้าหลงด้วยท่าทีโล่งใจ หลิงเซียว ผู้นี้เป็นบุตรชายของนายพรานคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กมีร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย ดูแล้วมีแววอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณได้ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านคาดหวังเอาไว้ไม่น้อย
“เด็กคนนี้นะเหรอ”เจ้าหลงเดินเข้ามาหาหลิงเซียวก่อนจะสัมผัสไปที่ไหล่ของหลิงเซียวเบาๆเพื่อส่งพลังวิญญาณของตนเข้าไปตรวจสอบ
“เจ้า.....”ทันทีที่สัมผัสพลังวิญญาณของหลิงเซียวได้ เจ้าหลงก็มีท่าทีชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ยังก็มีเด็กที่มีพลังวิญญาณมากพอจะฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่ เด็กคนนี้นับว่าผ่านเงื่อนไขการเข้าสำนักเลยทีเดียวแต่
“เจ้าไม่ผ่าน”เจ้าหลงกลับคิดว่าหากพาเด็กคนนี้กลับสำนักไปกลัวว่าจะเป็นภาระของตนที่ต้องมาสั่งสอนอีก หากจะเอาเด็กที่มีพรสวรรค์ทั่วๆไปเช่นนี้กลับสำนักสู้ไม่เอาไปเสียดีกว่า
“มะ....ไม่ผ่านหรือขอรับ”หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย พลังวิญญาณของหลิงเซียวค่อนข้างมากสำหรับเด็กทั่วๆไป เพราะแบบนั้นคนในหมู่บ้านเลยคาดหวังเอาไว้มากทีเดียว
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เกรงว่าหมู่บ้านของท่านจะไม่มีเด็กที่มีพรสวรรค์เลย เช่นนั้นข้าขอลา”เจ้าหลงพูดจบก็ประสานมือจะลาไปเสียแล้ว แต่ระหว่างกำลังจะบอกลา อยู่ๆสายตาก็มองผ่านไปเห็นร่างของเด็กชายหญิง 3 คนที่กำลังเดินเข้ามาที่ลานหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านเข้าพอดี
“...........”ตอนแรกเจ้าหลงคิดจะลากลับเลยไม่คิดจะทดสอบอีกแล้ว แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับสีผมและสีดวงตาของเด็ก 2 คนที่เดินมาข้างหน้าเข้าเสียได้ ดวงตาและเส้นผมสีทองนั่นหรือว่า....
“พวกเจ้า.....พวกเจ้าคือคนตระกูลหงสาใช่หรือไม่”เพียงพริบตาเดียวร่างของเจ้าหลงก็พุ่งวาบเข้าไปหาลู่ชิงและหลินเยว่อย่างรวดเร็วเสียแล้ว เส้นผมสีทองและดวงตาสีทองเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลหงสานิรันดร์ ตระกูลใหญ่ที่ได้ชื่อว่ามีพลังวิญญาณแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด เด็กน้อยในหมู่บ้านคนอื่นก็ว่าไปอย่างแต่หากเด็ก 2 คนนี้เป็นเด็กจากตระกูลหงสาจริงๆการพาเด็กสองคนนี้เข้าสำนักก็ย่อมต้องสร้างผลงานให้กับเขาได้มากมายมหาศาลเป็นแน่
“เปล่าขอรับ พวกข้าเป็นคนตระกูลหลี่ แล้วก็ไม่รู้จักตระกูลหงสาด้วย”ลู่ชิงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆออกมา แน่นอนเขาย่อมรู้จักตระกูลหงสานิรันดร์อยู่แล้ว เพราะนั่นคือตระกูลของมารดา แต่ไม่นึกว่าชายตรงหน้าจะรู้จักด้วย
“ไม่เป็นไรๆ ขอข้าทดสอบพวกเจ้าหน่อยได้หรือไม่”เจ้าหลงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดจะละความพยายาม อย่าล้อเล่นกันนะเด็กจากตระกูลหงสานิรันดร์เชียวนะ พวกเขามีพลังวิญญาณมหาศาล ไม่ว่าจะฝึกฝนอะไรก็ทำได้ตามความปรารถนา หากพาเข้าสำนักและถ่ายทอดวิชาของสำนักให้ พวกเขาจะต้องพาวิชาของสำนักขึ้นมาเป็นยอดวิชาแห่งแผ่นดินแน่ๆ ถึงตอนนั้นตัวเขาที่เป็นอาจารย์ก็จะได้รับทั้งชื่อเสียงและผลตอบแทนมากมายมหาศาลเชียวนะ
“...............”แต่ทันทีที่จับไปบนไหล่ของหลินเยว่ ใบหน้าของเจ้าหลงก็เต็มไปด้วยความสงสัยทันที
“อะไรกัน ทำไมไม่มีพลังวิญญาณเล่า”เจ้าหลงงงเป็นไก่ตาแตกเพราะคิดว่าเด็กสองคนนี้ต้องมีพลังวิญญาณมากมายเป็นแน่ แต่เขากลับสัมผัสพลังอะไรจากหลินเยว่ไม่ได้เลย
“งั้นเจ้า....”เจ้าหลงไม่ยอมแพ้จับไปที่ไหล่ของลู่ชิงบ้าง แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะสัมผัสพลังวิญญาณของเด็กทั้งสองเท่าไหร่ก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดตอบสนอง เด็กสองคนนี้ไร้พรสวรรค์ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านเลย
“ท่านเจ้าหลง มารดาของเด็กสองคนนี้มีเชื่อสายของชาวต่างแดน พวกเขาก็เลยมีเส้นผมที่แปลกตาไปสักหน่อยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหงสาหรอกขอรับ”หัวหน้าหมู่บ้านเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปแก้ข่าวให้ทั้งสองทันที ท่าทางเรื่องที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกมาจะเป็นเรื่องที่ท่านพ่อใช้เป็นข้ออ้างกระมัง เชื้อสายของชาวต่างแดนงั้นหรือ ก็มีโอกาสที่เส้นผมและสีดวงตาจะออกมาคล้ายตระกูลหงสานิรันดร์ล่ะนะ
“อย่างนี้นี่เอง ให้ข้าคาดหวังเสียมากมาย สุดท้ายก็เป็นเพียงหมู่บ้านกระจอกที่ไม่มีเด็กมีพรสวรรค์แม้แต่คนเดียว”เจ้าหลงเสียโอกาสกลับระบายความขุ่นเคืองออกมาทางคำพูดเล่นเอาหัวหน้าหมู่บ้านสะดุ้งไปเหมือนกัน แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเลยไม่กล้าเสียมารยาทได้แต่ยอมโดนต่อว่าไปเท่านั้น
“งั้นข้าจะตรวจคนสุดท้ายให้เสร็จ จะได้กลับเสียที”เจ้าหลงทำท่าทีไม่พอใจออกมาก่อนจะแตะไปที่บ่าของเสี่ยวหงราวกับเป็นการตรวจสอบแบบส่งๆเหมือนที่ทำกับเด็กคนก่อนๆหน้านี้
“นะ..นี่มัน............”