80Y-ตอนที่ 262 ฟื้นคืนจากนิพพาน (3)
หลังจากที่ไม้เท้าสังหารเทพดูดซับพลังทั้งหมดของ ไป่เทียนตี้ จิตวิญญาณของมันก็ตื่นขึ้นมาในระดับที่น่าสะพรึงกลัว
จิตวิญญาณที่ตื่นขึ้นมาได้กล่าวพูด สิ่งนี้ได้ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง สมบัติอมตะกลับมีความคิดที่อิสระของมันด้วยหรือไม่?
โดยเฉพาะราชาสวรรค์ เขาได้เผยสีหน้าที่น่าเหลือเชื่อออกมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาต้องการจะคว้าจับไม้เท้าสังหารเทพ และ นำมันกลับมาศึกษาให้ละเอียดอีกครั้ง
“ตั้งแต่สมัยโบราณ สมบัติอมตะไม่เคยมีความคิดที่อิสระของมันเอง พวกมันได้ยืมพลังของเจ้าของเพื่อปลดปล่อยพลังส่วนหนึ่งของตนเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับพัฒนาจนมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง นี่มันน่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ !”ราชาสวรรค์ได้กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ข้าได้โอบกอดเจ้ามานานนับหมื่นปีแต่ก็ไม่ค้นพบอะไรเลย มนุษย์ผู้นี้กลับได้โอบเจ้าไว้เพียงไม่กี่ปี แต่เจ้ากลับตื่นขึ้นมาในโลกนี้ เจ้าช่างเนรคุณข้าเสียจริง!”ราชาสวรรค์รู้สึกโกรธมาก ความแตกต่างในการใช้งานไม้เท้าสังหารเทพระหว่างเขากับไป่เทียนตี้ ค่อนข้างใหญ่เกินไป เขาไม่สามารถยอมรับมันได้
บูม!
ภาพวาดของสัตว์ร้ายโบราณทั้งเก้าได้ปรากฏขึ้นบนฝ่าพระหัตถ์ของราชาสวรรค์
มังกรที่แท้จริง,เต่าดำ,วิหคเพลิง,อาชาสวรรค์…
ภายใต้ฝ่ามือของราชาสวรรค์สัตว์ร้ายโบราณเหล่านี้ได้ใช้พลังปราณแท้จริงเป็นรากฐานในการแปรสภาพเป็นรูปร่างต่าง ๆ
แต่ละรูปร่างได้เผยเต๋าที่ยิ่งใหญ่ออกมาและระเบิดพลังพุ่งไปทางไม้เท้าสังหารเทพ
บูม! บูม! บูม!
การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไป มันเทียบเท่าได้กับการโจมตีเต็มกำลังของ ราชาสวรรค์ ที่รุนแรงไร้ทัดเทียม
แต่ ไม้เท้าสังหารเทพ ก็ไม่ใช่เล่น ๆ หลังจากที่มันตื่นขึ้นมา มันก็ควบคุมร่างกายของตัวเองพุ่งขึ้นไปบนอากาศและปลดปล่อยพลังออกมา
แม้ว่าสมบัติอมตะนี้จะยังไม่ได้เปิดใช้พลังที่สมบูรณ์ แต่ จิตวิญญาณของมันก็ได้ตื่นขึ้นบางส่วน มันยังคงแสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ มันได้พยายามต่อต้านพลังของสัตว์ร้ายโบราณที่ถูกเรียกมาโดยราชาสวรรค์
บูม!
ไม้เท้าสังหารเทพได้ฟาดไปที่แผ่นหลังของ มังกรที่แท้จริง จนทำให้มันสั่นสะเทือน มันได้ส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมาและระเบิดออกโดยตรง พายุแห่งความโกลาหลได้สาดกระจายไปทั่ว
จากนั้นมันก็ฟาดไปที่กระดองของเต่าดำและเป่ามันทิ้งโดยตรง
ไม้เท้าสังหารเทพในเวลานี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก เพียงแค่สัมผัสหรือสร้างรอยขีดข่วนก็เพียงพอที่จะทำให้สิ่งนั้นระเบิดออกโดยไม่มีข้อยกเว้น ท้ายที่สุดมันก็มาพร้อมกับพลังอำนาจที่เขย่าท้องฟ้าและโจมตีราชาสวรรค์
ฉากดังกล่าวน่ากลัวมาก ราชาสวรรค์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ปีกบนหลังของเขาได้กางออก ทำให้เขาดูทรงพลังมาก แต่ตอนนี้ ไม้เท้าสังหารเทพที่มีขนาดใหญ่กว่ากำลังฟาดการโจมตีออกไป
ฉากนี้ช่างยากจะลืมเลือน มันทำให้เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหมดต่างตกตะลึงและตกใจ
ในบรรดาเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนและเผ่าพันธุ์ชั้นนำ ทุกคนต่างพูดถึงฉากอันน่าตกใจนี้
ภูเขาเทพบรรพกาล บรรพบุรุษเฒ่า 2-3 คนได้เฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยสายตาเลือนลาง
ร่างกายของพวกเขายังคงถูกโซ่ล่ามเอาไว้ และ ไม่สามารถเคลื่อนไหวและหลุดพ้นได้
พวกเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาไม่นานนี้ แต่พวกเขาก็พบว่าตนเองยังไม่ได้รับการต้อนรับบนโลกนี้และพวกเขาได้ถูกโซ่ผนึกกฏกักขังเอาไว้
“ราชาสวรรค์เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เขาฟื้นตัวเร็วเกินไปและต่อต้านโซ่ผนึกกฏได้สำเร็จ นี่มันเพิ่งผ่านไปไม่นาน ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!”
“ตัวตนของราชาสวรรค์ก็เป็นแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว เขาค่อนข้างใจร้อนและไม่สนใจข้อโต้แย้งใด ๆ เขาได้แก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยการฆ่า กระทั่งอารมณ์ก่อนหน้านี้ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน วันนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์เกรงว่าจะต้องทุกข์ทรมาณแล้ว”
“สมบัติอมตะที่ตื่นขึ้นมาสามารถให้กำเนิดจิตวิญญาณอมตะของมันเอง…”
“แต่ต่อให้จิตวิญญาณอมตะที่ตื่นขึ้นมาจะตื่นขึ้นมาในเวลานี้มันก็ไม่สามารถเอาชนะราชสวรรค์ได้”
“ถูกต้อง ข้าสัมผัสได้ว่า ไม้เท้าสังหารเทพ ยังปลดปล่อยพลังไม่ถึง 1ใน10 ของพลังที่แท้จริงของมันเลย มันมีรากฐานเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง แต่กลับ ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังอมตะออกมา นี่ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่ราชาสวรรค์จะเอาชนะมันได้”
“หลังจากที่ราชาสวรรค์ทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์และทำให้โลกตกอยู่ในความโกลาหลได้สำเร็จ พวกเราก็คงจะถูกปล่อยออกมาบนโลกใบนี้พอดี”
“ดังนั้นรออีกสักหน่อยแล้วกัน ข้าเชื่อว่ามันคงอีกไม่นานนี้แล้ว”
บรรพบุรุษเฒ่า 2-3 คน ในภูเขาเทพบรรพกาลได้พูดคุยกัน จากนั้นพวกเขาก็เฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ
ในภูเขาคุนหลุนโบราณ หลงเทียนเหมย ได้นำ หวงเซียนเอ๋อ ไปที่ถ้ำปีศาจและเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว 2-3 ตัวที่ถูกผูกติดกับโซ่ผนึกกฏ
สิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ก็คือมังกรที่แท้จริงและเป็นบรรพบุรุษของรังมังกรนับหมื่น
โซ่ผนึกกฏได้กักขังพวกเขาเอาไว้ แม้ว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถออกไปได้
การกระทำที่ไม่ยอมแพ้ของ ราชาสวรรค์ ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกมีความความหวัง
“หลงเทียนเหมย หลังจากที่ราชาสวรรค์ทำลายโลกและกวาดล้างพวกมนุษย์ มันก็ถึงเวลาที่พวกเราจะออกมาเช่นเดียวกัน”มังกรสีฟ้าที่ติดอยู่กับโซ่ผนึกกฏ ได้กล่าวออกมา
“เผ่าพันธุ์มนุษย์คือตัวเอกของยุคสมัยนี้ นี่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทว่า ยุคของเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนก็ควรจะกลับมาอีกครั้ง!”มังกรดำตัวใหญ่ได้ตอบกลับ
มังกรที่แท้จริงตัวอื่น ๆ ไม่ได้พูดเพียงแค่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ
“เผ่าพันธุ์มนุษย์คือตัวเอกของยุคสมัยนี้จริง ๆ ราชาสวรรค์ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเห็นได้ชัดว่า ไป่เทียนตี้ ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้เลย แม้แต่ไม้เท้าสังหารเทพ ก็ยังไม่สามารถจัดการเขาได้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าราชาสวรรค์กำลังจะเผชิญหน้ากับความตาย!”หลงเทียนเหมย ได้ขมวดคิ้วแน่นและตอบกลับ
“ใครกันที่จะสามารถสังหารราชาสวรรค์ได้?”มังกรฟ้าได้กล่าวถามออกมา
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเพียงแค่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง บุคคลเดียวในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สามารถฆ่าราชาสวรรค์ได้น่าจะเป็นราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง”
“ราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง ผู้อมตะอันดับหนึ่งของยุคสมัยนี้? หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี ไม่ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเร็วแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของ ราชาสวรรค์ อีกฝ่ายได้ก้าวขาเข้าสู่ช่วงที่ 8 ของอาณาจักรอมตะเทียมแล้ว เขาแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก!”เสียงของมังกรดำได้ดังกึกก้อง
“ช่วงที่ 8…”หวงเซียนเอ๋อ ได้อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้นางก็อยู่ในอาณาจักรอมตะเทียม ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าตัวตนอย่างผู้อมตะเทียมน่ากลัวเพียงใด และความก้าวหน้าในอาณาจักรนี้ยากเย็นเพียงใด เมื่อภัยพิบัติทันฑ์สวรรค์ฟาดผ่าลงมา มันก็เพียงพอที่จะจบชีวิตคนผู้นึงได้
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีหวัง…”หลงเทียนเหมย ได้หรี่ตาและถอนหายใจ
ในโลกภายนอก เมืองหลวงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา เหล่าผู้อมตะเทียมนับไม่ถ้วนต่างเฝ้ามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในขณะนี้ ไป่เทียนตี้ ได้ออกจากสนามรบแล้ว เขาได้สูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ไปและอ่อนแอมาก เขาจำเป็นจะต้องพักฟื้นอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
สำหรับ ไม้เท้าสังหารเทพ และ ราชาสวรรค์ พวกเขาคือตัวละครหลักในการต่อสู้ครั้งนี้
ไม้เท้าสังหารเทพและราชาสวรรค์ได้อยู่ด้วยกันมาร่วมหมื่นปี แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังเผชิญหน้ากันในสนามรบ
ไม้เท้าสังหารเทพได้ฟาดออกไปอย่างดุเดือดและปลดปล่อยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ในสายตาของมหาอำนาจทั้งหมด การโจมตีครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวราวกับว่ามันสามารถทำลายล้างโลกได้
บูม!
ผืนดินทั้งหมดได้สั่นสะเทือน ท้องฟ้าพลันแตกสลายอย่างรวดเร็วเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ พื้นที่แห่งความโกลาหลได้ปะทุจนมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น
พลังเต๋าที่ยิ่งใหญ่ที่ปะทุออกมาจากไม้เท้าสังหารเทพได้พุ่งเข้าใส่ราชาสวรรค์โดยตรง
ในขณะนี้ ราชาสวรรค์ ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ปีกขนาดใหญ่ของเขาได้กระพือออกร่างกายของเขารวดเร็วดุจสายฟ้า หมอกสีดำไร้สิ้นสุด ได้ปลดปล่อยไปทั่วพื้นที่จนแม้แต่ผู้อมตะเทียม ก็ยังไม่สามารถมองผ่านเข้าไปในหมอกได้ พวกเขาเห็นเพียงร่องรอยของเต๋าที่ยิ่งใหญ่ที่หนาแน่นอยู่รอบตัวพวกเขา แต่ พวกเขาไม่สามารถมองทะลุสิ่งอื่น
ไม้เท้าสังหารเทพ และ ราชาสวรรค์ ได้อยู่ข้างในโดยหันหน้าเผชิญกัน
บูม!
บูม!
บูม!
รัศมีพลังของพวกเขาปะทะกันอย่างรุนแรงราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดออก มันค่อนข้างเร่าร้อนและดุเดือดอย่างมาก
ราชาสวรรค์ได้โจมตีโดยปลดปล่อยพลังของช่วงที่ 7 ในอาณาจักรอมตะเทียมออกมาโดยตรง การฟันฝ่าเข้าสู่แก่นเต๋า
บูม!
ห้วงเหวแห่งความโกลาหลโดยรอบได้สั่นสะท้าน หมอกสีดำที่นี่ราวกับทะเลที่พลุ่งพล่านและจมสถานที่แห่งนี้จนมิดชิด จากนั้น ด้วยการพลิกฝ่ามือของเขา เต๋าที่ยิ่งใหญ่อันไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมา
ในเวลานี้แสงทั้งหมดได้มารวมตัวกัน ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของราชาสวรรค์ พวกมันได้กลายเป็นหลุมดำและยับยั้งการโจมตีของไม้เท้าสังหารเทพ อีกทั้งหลุมดำที่ว่านี้ยังแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือคว้าจับไม้เท้าสังหารเทพโดยไม่สนใจจิตวิญญาณอมตะของมัน
“ข้าสามารถแบกรับทันฑ์สวรรค์ครั้งที่ 8 และ เข้าสู่ขั้นย้อนกลับหยินหยางได้ ต่อหน้าข้า เจ้าที่ยังฟื้นคืนพลังไม่ถึงครึ่งคิดจะต่อกรกับข้างั้นหรือไม่?”ราชาสวรรค์ ได้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา เขาได้เอื้อมมือออกไปและดึงวิญญาณอมตะของไม้เท้าสังหารเทพออกมา จากนั้นเขาก็ใช้ทักษะผนึกในการผนึกจิตวิญญาณอมตะ
“เจ้าควรค่าแก่การให้การศึกษา หลังจากที่ข้ากวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และแก้แค้นให้กับลูกชายของข้าแล้ว ข้าจะนั่งศึกษาเจ้าจนละเอียดเลย”ราชาสวรรค์ได้กล่าวอย่างใจเย็น เขาไม่สนใจการต่อต้านของจิตวิญญาณอมตะและผนึกมันโดยตรง
เขาเกียจคร้านเกินกว่าที่จะชำระล้างจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของไป่เทียนตี้ที่อยู่ในนั้น ในสายตาของเขาตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์
หึ่มม!
ราชาสวรรค์ได้มองไปที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ชายแดน แต่เขาก็มองเห็นเมืองหลวงราชวงศ์ ดวงตาของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ภายในดวงตาของเขา ไม่ได้เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอีกต่อไป แต่กลับลุกโชติอย่างดุเดือดราวกับว่าเขากำลังประกาศชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เพียงแค่การชำเลืองมองนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้มหาอำนาจของเผ่ามนุษย์สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติพอสำหรับสถานะในปัจจุบัน พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะปกครองโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้พวกเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือด”ราชาสวรรค์ได้กล่าวอย่างเย็นชา เขาได้ฉีกมิติอวกาศและก้าวไปถึงเมืองหลวงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
รัศมีพลังของเขาที่สามารถเหยียบย่ำโลกได้ทั้งใบทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกอ่อนแรง
เมืองหลวงราชวงศ์
ผู้อมตะเทียมของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาต่างมองไปที่พระราชวังต้องห้ามพร้อมกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว
บรรดาผู้ที่เป็นผู้อมตะเทียมของยุคนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ราชาสวรรค์เลย แม้แต่ไป่เทียนตี้ที่แบกรับทันฑ์สวรรค์ 6 ครั้ง ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ราชาสวรรค์ ที่ก้าวขาสู่ช่วงที่ 8 ของอาณาจักรอมตะเทียม
กระทั่งสมบัติอมตะที่ตื่นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม้เท้าสังหารเทพก็ไม่สามารถต่อต้านเขาได้
แล้วใครกันในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาจะสามารถต่อต้านเขาได้?
ทุกคนได้นึกถึงราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิงผู้ยิ่งใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อนพร้อมกัน
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาได้เดินทางไปที่ภูเขานับแสนเพียงคนเดียวและปราบปรามเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน สิ่งนี้ทำให้เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนต้องล่าถอยและยอมรับความพ่ายแพ้
ผ่านไป 7 ปี เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนได้กลับมาอีกครั้ง ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวได้หลุดออกมาจากโซ่ผนึกกฏ และ ต้องการจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยตรง โดยเฉพาะราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
การทำลายเมืองหลวงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาก็เทียบเท่ากับการทำลายศรัทธาในตัวของผู้คนในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ ทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
เพื่อทำลายราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา เมืองหลวงราชวงศ์จำเป็นจะต้องถูกทำลาย
ดังนั้น ราชาสวรรค์ จึงไม่ได้ชักช้าเลยแม้แต่น้อย เขามุ่งเป้าไปที่เมืองหลวงราชวงศ์โดยตรง
เมืองหลวงราชวงศ์ พระราชวังต้องห้าม
จักรพรรดิเต๋อ ได้นั่งอยู่ที่นี่พร้อมกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาโดยมีองค์หญิงหยูหลินเป็นผู้นำ
การแสดงออกของ องค์หญิงหยูหลิน ค่อนข้างรุนแรง นางเป็นกังวลเกี่ยวกับ ไป่เทียนตี้ และ ไม่ทราบชีวิตและความตายของ ไป่เทียนตี้ ในปัจจุบัน ในตอนนี้อีกฝ่ายได้สูญเสียพละกำลังทั้งหมด นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้ ทักษะเส้นทางอมตะฟื้นคืน กลับมาได้หรือไม่
นางรู้สึกกังวลมากจริง ๆ
แต่ในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวานางจำเป็นจะต้องระงับความรู้สึกของนางในตอนนี้ ความปลอดภัยของ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา นั้นสำคัญยิ่งกว่า
“ฝ่าบาท ราชันย์จักรพรรดจิ่วเฟิงอยู่ที่ไหนหรือ?”กษัตริย์เกาซานได้กล่าวถามอย่างเร่งรีบ
“ทุกคนต่างก็ได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของราชาสวรรค์แล้ว ตอนนี้ แม้แต่ไป่เทียนตี้ ยังไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย กระทั่ง สมบัติอมตะอย่างไม้เท้าสังหารเทพก็ยังล้มเหลว มันเป็นเรื่องยากแม้ว่าเราจะโจมตีเขาพร้อมกัน เราก็ไม่ใช่คู่ต่อกรกับราชาสวรรค์ ดังนั้นพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง”ราชันย์อัคคีได้พยักหน้า
จักรพรรดิเต๋อ ได้เอามือผสานไว้ด้านหลัง การแสดงออกของเขาค่อนข้างสงบ เขามองไปที่ องค์หญิงหยูหลิน และตอบกลับ“หยูหลิน ไปตาม ราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง ในทันที”
“แต่…”องค์หญิงหยูหลิน ค่อนข้างลังเล นางเองก็ต้องการตามหาเสด็จปู่ใหญ่ของนาง แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายได้เข้าสู่ความสันโดษและไม่ต้องการถูกรบกวน
“รีบไปตามราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิงเร็วเข้า”
ต่อหน้าคนนอก จักรพรรดิเต๋อและองค์หญิงหยูหลิน จะไม่เรียก หลินจิ่วเฟิง ว่าเสด็จปู่ใหญ่ พวกเขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิงตามคนอื่น ๆ
“ตกลง ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”องค์หญิงหยูหลิน ได้พยักหน้าและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของคนอื่น ๆ ค่อนข้างผ่อนคลายขณะที่พวกเขาแอบมองไปข้างหน้า หากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเสาหลักของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา แรงกดดันที่พวกเขาได้รับก็จะลดลงอย่างมาก
“คนในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาที่พอจะต่อต้านราชาสวรรค์ได้ในตอนนี้ก็คือราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง”
“ข้าเชื่อในตัวของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาเขาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ข้าเข้าร่วมราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”
“ข้าสงสัยว่าราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิงจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดหลังจากผ่านไปไม่กี่ปี?”
“ไม่ว่าเขาจะพัฒนาขึ้นมากน้อยแค่ไหน เขาก็ย่อมสามารถต่อต้านราชาสวรรค์ได้อย่างแน่นอน!”
ผู้อมตะเทียม ต่างพูดคุยกัน การแสดงออกของพวกเขาค่อนข้างไว้วางใจต่อ หลินจิ่วเฟิง
ความไว้วางใจนี้กระทั่งทำให้พวกเขาตาบอด
ในหมู่พวกเขา 7 มหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คือตัวการหลัก
ในการต่อสู้การประชุมเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน หลินจิ่วเฟิง ได้บดขยี้เผ่าพันธุ์อื่นทั้งหมดด้วยทัศนคติที่ครอบงำ อีกทั้งเขายังเปลี่ยนให้ 7 มหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นแฟนตัวยงของเขา
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เข้าร่วมกับ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และนำเผ่าอสูรในภูเขานับแสนเข้าร่วมด้วย
จักรพรรดิเต๋อ ได้ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เขาได้มอบภูเขานับแสนให้กับ 7 มหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ปกครองต่อไป แต่พวกเขาต้องวางแผนและเสนอทิศทางในการพัฒนาอย่างชัดเจน และ ไม่สามารถปล่อยให้เผ่าอสูรเติบโตขึ้นอย่างดุเดือดเหมือนเมื่อก่อน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 7 มหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ศึกษาการปฏิรูปของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาอย่างรอบคอบ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
จักรพรรดิเต๋อ ได้ยืนขึ้นและมองไปในระยะไกล ดวงตาของเขาได้หรี่ลงขณะที่เขาพูด“ทุกคน โปรดตามข้ามาเพื่อปกป้องราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”
ราชันย์อัคคีได้หัวเราะ“เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เลือดของข้าไม่ได้เดือดพล่าน”
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าคนที่เกิดในโลกที่ถูกลืมเลือนอย่างข้าจะมีโอกาสปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็ไม่เสียใจอีกต่อไป”กษัตริย์เกาซาน ได้หัวเราะออกมา เขาได้เดนิออกจากห้องทรงอักษรไปพร้อมกับจักรพรรดิเต๋อ
ขุมพลังผู้อมตะเทียมคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกมากันทีละคน พวกเขาได้ยืนอยู่บนกำแพงของพระราชวังต้องห้ามและมองไปในระยะไกล
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เห็นร่างของราชาสวรรค์ แต่รัศมีพลังของอีกฝ่าย ก็ยังพ่งพล่านอย่างมาก มันได้ไหลเข้าสู่ขอบเขตการรับรู้ของพวกเขา
นี่มันน่ากลัวเกินไป!
แต่ไม่มีใครคิดจะถอยกลับ
เมืองหลวง,ตำหนักเย็น
องค์หญิงหยูหลิน ได้คุกเข่าอยู่ที่หน้าตำหนักเย็นและตะโกนเสียงดัง
“เสด็จปู่ใหญ่ ลูกหลานที่อกตัญญูคนนี้ วอนขอให้เสด็จปู่ใหญ่ออกมาช่วยเหลือราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาในตอนนี้ด้วย!”องค์หญิงหยูหลิน ได้ตะโกนอย่างเศร้าโศก ดวงตาของนางได้เปลี่ยนเป็นสีแดง
ในอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะ ไป่เทียนตี้ ได้ไปต่อต้านราชาสวรรค์เพียงคนเดียว อีกทั้งชะตากรรมเป็นตายของเขาก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
ในทางกลับกันราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาก็อ่อนแอเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ศัตรูก็ทรงพลังเกินไป
พวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย
หลินจิ่วเฟิง บอกว่าอย่าได้รบกวนเขาขณะที่เขากำลังเข้าสู่ความสันโดษ แต่ตอนนี้ นางได้ตัดสินใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่ง
หากปราศจากราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ ในถิ่นทุรกันดารที่รายล้อมไปด้วยศัตรูที่ทรงพลัง มันเป็นการยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้
เพราะตนเองอาจถูกศัตรูกำจัดได้ทุกเมื่อ
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวตัวน้อยได้เดินออกมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง“ราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิงยังไม่ออกมาจากความสันโดษ”
“ราชาสวรรค์ได้บุกมาที่นี่แล้ว ในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจต่อจากนี้ เกรงว่าเขาจะทำลายเมืองหลวงราชวงศ์และทำลายราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาได้สำเร็จ”องค์หญิงหยูหลิน ได้กล่าวอย่างเศร้าโศก
เจ้าแมวขาวสัมผัสได้ถึงความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวจากระยะไกล ดวงตาของมันได้แปรเปลี่ยนไปขณะที่มันกล่าว“ราชันย์จักรพรรดิจิ่วเฟิง ได้อยู่ในความสันโดษเขาไม่สามารถถูกรบกวนได้ แต่ทว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
องค์หญิงหยูหลิน มองไปที่เจ้าแมวขาวตัวน้อยด้วยความประหลาดใจ
มันสามารถช่วยได้?
องค์หญิงหยูหลิน ไม่ได้ซ่อนความสงสัยในดวงตาของนาง
“ถึงข้าจะทำไม่ได้แต่เจ้าสิ่งนี้สามารถทำได้”เจ้าแมวขาวมองไปที่ตะเกียงไฟที่แขวนอยู่หน้าตำหนักเย็น
องค์หญิงหยูหลิน มองไปที่มันด้วยความประหลาดใจและกล่าวถาม“เจ้าสามารถเปิดใช้ [ตะเกียงไฟบ้าน] นี้ได้งั้นหรือไม่?”
เจ้าแมวขาวได้พึมพัมออกมา“ข้าไม่รู้ แต่ข้าจะลองดู”
ไม่ว่าจะกรณีใด มันจำได้ว่า หลินจิ่วเฟิง เปิดใช้งาน [ตะเกียงไฟบ้าน] อย่างไร แต่มันแค่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำตามได้หรือไม่หากลอกเลียนแบบการกระทำของเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่ต้องการรบกวน หลินจิ่วเฟิง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายได้บอกว่าการเข้าสู่ความสันโดษครั้งนี้สำคัญมาก
[ตะเกียงไฟบ้าน] ได้ปล่อยให้ เจ้าแมวขาวสัมผัสมัน อาจเป็นเพราะว่ามันรู้ว่าเจ้าแมวขาวตัวนี้คือตัวตนที่ หลินจิ่วเฟิง ห่วงใยมากที่สุด