ตอนที่ 10 สาวรับใช้
ตอนที่ 10
สาวรับใช้
"เป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เสี่ยวหงหลังจากนี้เจ้าก็มาอยู่กับพวกเรา เป็นเพื่อนเล่นให้ลู่ชิงกับหลินเยว่นะ"หลี่เอ้อหลางมารดาของสองฝาแฝดน้ำตานองหน้าดึงร่างของเสี่ยวหงเข้ามากอดเอาไว้แนบกายด้วยความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ
หลังจากพาเสี่ยวหงกลับมา สิ่งแรกที่สองฝาแฝดทำก็คือพาเสี่ยวหงไปรู้จักกับบิดามารดาที่รออยู่ในบ้าน ทันทีที่โดนถามว่าเสี่ยวหงคือใคร เสี่ยวหงก็ปั้นเรื่องน่าสงสารขึ้นมาเรื่องหนึ่ง โดยบอกเล่าว่านางเป็นบุตรสาวของพ่อค้าคนหนึ่งที่กำลังขนสินค้าผ่านเส้นทางใกล้ๆหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมๆกับครอบครัวพอดี ยามนั้นถูกโจรบุกรถม้าสังหารบิดามารดาของนางจนสิ้น แถมสินค้าที่เป็นมรดกของบิดาทั้งชีวิตก็โดนพวกโจรเอาไป เสี่ยวหงโชคดีที่หนีรอดมาได้ แต่หลังจากนั้นก็ต้องเดินทางเอาตัวรอดอยู่ในป่าหลายวันจนหลินเยว่และลู่ชิงมาพบเข้าทำให้นางรอดชีวิตได้ วันนี้นางไม่ต้องการแก้แค้นกลุ่มโจรเพียงต้องการมอบชีวิตให้ผู้มีพระคุณอย่างหลินเยว่และลู่ชิงเท่านั้น
ช่างหลอกง่ายเสียเหลือเกิน นี่คือสิ่งที่เสี่ยวหงคิดระหว่างมารดาของหลินเยว่กำลังพาตนเองมาอยู่ในห้องด้านหลังของบ้านตระกูลหลี่ แม้จะอยู่บ้านนอกแต่บ้านหลังนี้ก็ใหญ่พอสมควรเลย แค่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกคนย่อมมีที่ให้อยู่ได้อย่างสบาย
"คุณหนู ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ"หลังจากพาเสี่ยวหงมาที่ห้อง บิดามารดาของสองฝาแฝดก็แยกกันออกไปปล่อยให้เด็กคุยกันไปก่อน โดยฝ่ายเสี่ยวหงเองนั้นก็เป็นฝ่ายชิงเปิดคำถามด้วยความรู้สึกคาใจกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ผ่านมา
"ได้สิ เจ้าจะถามอะไรงั้นเหรอ"หลินเยว่พยักหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆเสี่ยวหงอย่างสนิทสนม
"ข้าต้องอยู่ในร่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนเจ้าคะ แล้วข้าจะยังมีโอกาสได้ร่างเดิมหรือเปล่า"หลังจากครุ่นคิดมาตลอดทาง เสี่ยวหงก็รู้สึกคาใจเรื่องนี้ที่สุด หลินเยว่เปลี่ยนร่างของนางกลายเป็นแบบนี้ได้ เช่นนั้นนางก็อาจจะเปลี่ยนร่างนางกลับได้ด้วยเช่นกัน บางทีหากขอร้องหลินเยว่ละก็นางอาจจะยอมคืนร่างให้ก็ได้
"ร่างเดิมของเจ้าเป็นอันตรายกับคนบนโลกนี้ จนกว่าพวกเราจะเสร็จสิ้นภารกิจคงจะคืนร่างให้เข้าไม่ได้หรอก"หลินเยว่ส่ายศีรษะก่อนจะปฏิเสธเสี่ยวหงไป
"เช่นนั้นหากภารกิจของท่านสำเร็จ ข้าก็กลับร่างได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ"เสี่ยวหงได้ยินเช่นนั้นก็มีความหวังขึ้นมาทันที พลังของหลินเยว่นั้นสูงส่งเกินไป นางทำอะไรไม่ได้แน่ๆ อย่างนั้นแค่รอให้เสร็จภารกิจแล้วขอร่างเดิมคืน เท่านี้นางก็จะสามารถกลับไปทำเรื่องที่ค้างคาได้แล้วสินะ
"แน่นอน ข้าจะเปลี่ยนให้เหมือนเดิมเลย"หลินเยว่พยักหน้าอย่างมั่นใจ เรื่องแค่นี้สำหรับนางนั้นง่ายดายมาก
"จริงนะเจ้าคะ เช่นนั้นภารกิจของพวกท่านกินเวลานานเท่าไหร่กันล่ะเจ้าคะ"เสี่ยวหงถามพลางมองไปทางหลินเยว่ด้วยท่าทีมีความหวัง ตอนแรกนางโดนคำสาปของเทพผู้ปกครองทำให้พลังชีวิตหายไปเรื่อยๆจนเกือบจะตายอยู่แล้ว หลังจากได้หลินเยว่ช่วยไว้ก็ต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์นี้เสียได้ แต่หากยังกลับไปเป็นร่างก่อนหน้านี้ได้ละก็การเสียเวลาสักหน่อยก็ถือว่าเป็นช่วงพักฟื้นที่ไม่เลวเลยไม่ใช่หรือ
"ก็จนกว่าข้าจะตายจากร่างนี้ไปนั่นล่ะ"หลินเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เสี่ยวหงตอนดีใจนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะ
"งั้นก็หนึ่งช่วงชีวิตของมนุษย์ เช่นนั้นก็ราวๆหนึ่งร้อยปี"ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวหงก็ยิ้มไม่หุบ ด้วยความเสียหายระดับนั้นพักฟื้นเพียง 100 ปีงั้นเหรอ ช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน ตอนแรกก็ตกใจที่ถูกเปลี่ยนร่างหรอก แต่พอคิดดูดีๆแล้วนี่มันโชคหล่นทับชัดๆ
"เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเราไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา"ลู่ชิงเห็นท่าทีดีใจของเสี่ยวหงก็เอ่ยปากขัดเสียหน่อย น่าเสียดายที่เรื่องอายุขัยนั้นเสี่ยวหงท่าทางจะเข้าใจผิดไปพอสมควรเลย
"เอ๊ะ คุณหนูงั้นท่านจะตายเมื่อไหร่กันเจ้าคะ"คำถามแสนเสียมารยาทที่หากคนนอกได้ยินคงมองว่าเสี่ยวหงกำลังคิดเรื่องเลวร้ายกับหลินเยว่หลุดออกมาจากปากเสี่ยวหงอย่างลืมตัว แม้นางจะไม่ทราบว่ามนุษย์ในโลกนี้ปกติเป็นเช่นไร แต่พลังที่อยู่บนตัวทั้งสองก็ผิดปกติจริงๆนั่นล่ะ
"น่าจะราวๆพันปี สายเลือดหงสานิรันดร์มีอายุยืนยาวขนาดนั้นเลยล่ะ"หลินเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้มตรงกันข้ามกับเสี่ยวหงที่ทำท่าเหมือนจะกลายเป็นหินเสียให้ได้
“พัน.....”ถึงจะเคยเป็นปีศาจที่มีชีวิตยืนยาวมาก่อนก็เถอะ แต่พันปีก็ไม่ใช่เวลาเล่นๆเลยนะ นี่ท่านคิดจะใช้เวลาอยู่โลกนี้ทำไมตั้งมากมาย
“ระหว่างนี้ก็ตั้งใจฝึกฝนการทำอาหารเข้าล่ะ”ลู่ชิงหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีตกใจของเสี่ยวหง คราวนี้จะนับว่าเสี่ยวหงตกที่นั่งเดียวกับตนก็ไม่ผิดนัก ทั้งสองต้องเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์เป็นพันปีเพื่อให้ท่านเทพต้นกำเนิดพอใจ
“แล้วทำไมข้าต้องไปฝึกทำอาหารด้วยเล่า เจ้าอยากกินก็ไปทำเอาเองสิ”เสี่ยวหงมองลู่ชิงด้วยสายตาค้อนๆ ยามนี้ผู้กุมอำนาจคือคุณหนูหลินเยว่ผู้นี้ต่างหาก แม้จะมีฐานะพี่ชายแต่ความจริงแล้วลู่ชิงเป็นเพียงวิญญาณมนุษย์ที่กำลังถูกลงโทษเท่านั้น เช่นนั้นคนที่เสี่ยวหงควรจะเอาใจก็มีเพียงหลินเยว่เท่านั้น ลู่ชิงจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
“เอ๊ะ เจ้าทำอาหารไม่เป็นงั้นเหรอ เช่นนั้นข้าจะเก็บเจ้ามาทำไมล่ะ”หลินเยว่ได้ยินเสี่ยวหงปฏิเสธเช่นนั้นก็ทำสีหน้าตกใจออกมาทันที เป้าหมายเดิมทีที่ตามหาผู้ใช้ไฟคือตามหาเพื่อมาทำอาหาร หากเสี่ยวหงใช้ไฟได้แต่ทำอาหารไม่ได้เช่นนั้นแล้วหาคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ
“งั้นก็ลบนางทิ้งไปเลยเป็นไง”ลู่ชิงยิ้มออกมาด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ก่อนจะจ้องมองไปทางเสี่ยวหงเหมือนกำลังจะบอกว่านางพลาดแล้ว หากไม่ทำอาหารเจ้ามันก็หมดประโยชน์เช่นนั้นจะฆ่าทิ้งก็ไม่ใช่ปัญหาของหลินเยว่อีกแล้วไงล่ะ
“ขะ ข้าไม่ได้พูดนะเจ้าคะว่าทำอาหารไม่เป็น คุณหนูหลังจากนี้ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิชาการทำอาหารอย่างจริงจังเจ้าค่ะ รับรองว่าข้าจะทำอาหารที่ท่านต้องพึงพอใจออกมาได้อย่างแน่นอน”เสี่ยวหงหมอบลงกับพื้นพร้อมขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ นางเป็นเทพที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้เพียงสะบัดนิ้ว หากนางเกิดอยากลบนางขึ้นมาก็อาจจะหายไปโดยไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้
.
.
.
“คุณหนู ชามาแล้วเจ้าค่ะ”หลังจากเสี่ยวหงเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านได้เดือนหนึ่ง เสี่ยวหงก็กลายเป็นสาวรับใช้ของคุณหนูหลินเยว่ไปอย่างเป็นทางการ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนเสี่ยวหงก็จะเดินตามหลินเยว่ไปเสมอ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันล้อเลียนว่าหลินเยว่เป็นคุณหนูหลินกันหมดแล้วทั้งๆที่บ้านของตระกูลหลี่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร บิดาเป็นชาวสวนชาวไร่ทั่วไปเท่านั้น
“เสี่ยวหง เจ้าว่าที่นี่สวยหรือไม่”หลินเยว่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางสวนหลังบ้านเอ่ยถามเสี่ยวหงพลางมองเข้าไปในป่าด้านหลังอย่างสบายใจ หากจะเรียกว่าสวนก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนักเพราะที่นี่เป็นเพียงพื้นที่หลังบ้านที่มีลานโล่งกับต้นไม้ที่เติบโตตามธรรมชาติเท่านั้น จะมีก็เพียงไม้ดอกเล็กๆน้อยๆที่มารดาของหลินเยว่ปลูกเอาไว้รอบๆตัวบ้านเท่านั้น
“เรื่องนั้น.....ย่อมสวยงามเจ้าคะ”เสี่ยวหงมองสวนหลังบ้านของตระกูลหลี่แล้วก็ไม่ทราบจะตอบเช่นไรดี แม้จะไม่ได้น่าเกลียดอะไรแต่เมื่อเทียบกับสวนที่ตกแต่งอย่างดีย่อมไม่มีทางสู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวนบนสวรรค์ที่มีทั้งพฤกษานานาพันธุ์รายล้อมไปด้วยมวลบุปผาหลากสี ไม่ว่าจะเอาที่ใดมาเทียบกับสวนแห่งนี้ก็เทียบกันไม่ติดทั้งสิ้น
“เจ้ารู้หรือเปล่า ในที่ที่ข้าเคยอยู่มีสวนที่งดงามอย่างมากสวนหนึ่ง ทุกอย่างงดงามหาที่ติไม่ได้ แต่ข้าก็อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนานจนจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเวลาเท่าใด สวนนั่นไม่ว่าผู้ใดก็บอกว่างดงามที่สุดแต่สำหรับข้าแล้วกลับรู้สึกว่ามันไร้ชีวิตชีวา”สวนที่หลินเยว่พูดถึงย่อมเป็นมิติต้นกำเนิดอยู่แล้ว ภายในวิหารต้นกำเนิดมีสวนที่งดงามจนแม้แต่เหล่าราชาสวรรค์ผู้มีสิทธิ์เข้าไปในมิติต้นกำเนิดทุกองค์ต่างก็ชมเชยเป็นเสียงเดียวกัน แต่สำหรับผู้ที่จ้องมองสวนแห่งนั้นมาเนิ่นนานแล้วก็ไม่แปลกที่จะเบื่อไปบ้าง
“สำหรับข้าแล้วที่นี่งดงามมากเลย เจ้าเห็นตรงนั้นหรือไม่ กิ่งไม้ตรงนั้นกำลังจะแห้งตายเพราะโดนต้นไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ ส่วนต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นที่ท่านพี่กับข้าปลูกด้วยกันตอนสมัยเพิ่งจะหัดเดิน แถมตามต้นไม้ยังมีทั้งแมลงและนกอีกด้วย ที่นี่แม้ไม่งดงามที่สุดแต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงชีวิตที่อยู่รายล้อมตัวข้า”หลินเยว่ตอบขณะนั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์ ทุกอย่างในโลกข้างนอกนี่ช่างน่าตื่นเต้นไปหมด แม้เวลาจะผ่านมา 10 ปีแล้วแต่หมู่บ้านแห่งนี้ก็ทำให้นางมีความสุขได้เสมอ ท่าทางการลงมาเกิดในโลกใบนี้จะไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแน่ๆ
“............”น่าเสียดาย ความอิ่มเอมใจในเรื่องธรรมดาของหลินเยว่ไม่ได้ส่งผ่านมาให้เสี่ยวหงเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นตอนนี้เป้าหมายของเสี่ยวหงก็ยังเป็นเช่นเดิม นั่นคือการเอาใจหลินเยว่แล้วขอให้นางคืนร่างให้ เมื่อได้ร่างเดิมกลับคืนมาพร้อมพลังแต่เดิมนางก็จะกลับไปชำระแค้นกับเทพผู้ปกครองมิติในมิติที่นางจากมา
“หลินเยว่ ไปซื้อของให้แม่หน่อยสิจ๊ะ”ระหว่างกำลังพักผ่อนอยู่นั้น อยู่ๆหลี่เอ้อหลางก็เดินออกมาจากภายในตัวบ้านก่อนจะฝากให้บุตรสาวไปซื้อของให้ตามปกติ
“เจ้าค่ะ งั้นข้าไปกับเสี่ยวหงนะเจ้าคะ”หลินเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปรับตะกร้าจากมือแม่มาอย่างรวดเร็ว เพราะท่านลุงที่ร้านขายของชอบแถมขนมให้หลินเยว่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ไปซื้อของหลินเยว่ก็เลยมีลาภปากทุกครั้งเลย
“ได้สิ เดินทางดีๆนะ”หลี่เอ้อหลางยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะวางเงินและรายการสั่งซื้อสินค้าลงในตะกร้า ของที่ต้องซื้อมีไม่มาก แถมร้านค้าก็ไม่ไกล ให้เด็กทั้งสองเดินทางไปกันเองจะได้เดินเที่ยวด้วยกันเสียหน่อย
.
.
.
กึก.....
ระหว่างหลินเยว่และเสี่ยวหงกำลังเดินไปที่ร้านค้าอยู่นั้น อยู่ๆที่หน้าประตูหมู่บ้านก็ปรากฏร่างของอาคันตุกะผู้หนึ่งเดินเข้ามาในหมู่บ้านโดยไร้วี่แววของม้าหรือสัตว์พาหนะชนิดอื่นโดยสิ้นเชิง นั่นทำให้เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างแน่นอนเพราะการเดินทางจากเมืองใกล้ๆมายังหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยการเดินไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทำกัน
“ในที่สุดท่านก็มา”ทันทีที่ชายคนนั้นเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ชายชราผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ก็เดินเข้าไปต้อนรับทันทีเหมือนจะทราบอยู่แล้วว่าสักวันชายผู้นี้ก็ต้องมา
“เป็นหมู่บ้านที่เล็กจริงๆ ในหมู่บ้านนี้มีเด็กกี่คนงั้นเหรอ”ชายผู้มาเยือนถามพลางมองไปรอบๆหมู่บ้าน หมู่บ้านเล็กแบบนี้มีเด็กไม่เกิน 20 คนเป็นแน่ หากไม่ใช่เพราะหมู่บ้านนี้ส่งจดหมายไปขอร้องหลายรอบเขาคงไม่เดินทางมาให้มันจบๆไปหรอก ภายในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้จะมีเด็กที่มีพรสวรรค์จะฝึกฝนพลังวิญญาณได้กี่คนกัน