บทที่ 440 นิสัยเห็นแก่ตัวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง(ตอนฟรี)
บทที่ 440 นิสัยเห็นแก่ตัวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตอนฟรี
จี้เฟิงต้องรู้อยู่แล้วว่าจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนรองของเขาต้องการที่จะระบายความโกรธแทนเขา แต่เขาไม่อยากยุ่งยากวุ่นวายอะไรกับฮูซู่ฮุ่ยไปมากกว่านี้ เขาส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “พี่รอง เรารีบไปกันเถอะ ผมกำลังรอที่จะชนะบิลเลียดพี่อยู่!”
จี้ช่าวเหลยอดหัวเราะไม่ได้ “งั้นก็ช่างมัน... ไม่อยากเห็นอะไรที่ขวางหูขวางตาอีกเหมือนกัน ไปกันเถอะ!”
ในตอนนั้นเอง มีพนักงานที่มีสายตาเฉียบคมคนหนึ่งเห็นกิริยาท่าทางของจี้ช่าวเหลยก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มสองคนนี้ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ เขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการซูที่แผนกต้อนรับและรีบรายงานเรื่องนี้ให้เธอทราบ
ในเวลานี้ จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยเดินตามพนักงานคนหนึ่งมาถึงล็อบบี้ที่ชั้น 5 ของคลับเฮ้าส์ นี่คือชั้นที่มีไว้สำหรับสถานบันเทิงโดยเฉพาะ ภายในนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่นห้องเล่นบิลเลียด ห้องร้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง มีแม้กระทั่งสระว่ายน้ำ
“ไปที่ห้องบิลเลียดก่อน!” จี้ช่าวเหลยหยิบบัตรวีไอพีออกมาให้กับพนักงานต้อนรับตรงล็อบบี้
“ได้ครับ เชิญคุณทั้งสองทางนี้!” พนักงานต้อนรับหนุ่มที่ประจำอยู่ชั้น5 พูดอย่างสุภาพด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จี้เฟิงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่รอง ครั้งนี้พี่บอกเอาข้อมูลมาด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้มามือเปล่าแบบนี้ล่ะ? ไม่งั้นจะเอาข้อมูลมาให้ได้ยังไง?”
จี้ช่าวเหลยยิ้มน้อยๆ “ก็แค่เอกสารสองสามชุดเอง นายจะให้ฉันถือกระเป๋าเอกสารหรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอะไรพวกนั้นมาด้วย?”
“อ้าว แล้วไม่ใช่แบบนั้นเหรอ? แล้วจะใส่อะไรมา?” จี้เฟิงถามด้วยความอยากรู้
จี้ช่าวเหลยยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง เล่นบิลเลียดเสร็จ ฉันเอาให้นายดูแน่!”
จี้เฟิงอดสงสัยไม่ได้ หลังจากศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว เขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์เท่าที่ควรอยู่ดี เขาคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการนำส่งข้อมูลต่างๆ เท่าที่รู้ก็น่าจะมีเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ แฟลชเมมโมรี่ หรือไม่ก็เก็บไฟล์ไว้ในไซเบอร์สเปซโดยตรงเลย... ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้แล้วนี่นา
ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิด เนื่องจากจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนรองของเขาไม่ได้พกเอกสารหรืออุปกรณ์ใดๆมาเลย ดังนั้นข้อมูลก็น่าจะอยู่ในอินเทอร์เน็ต
สิ่งอำนวยความสะดวกของคลับเฮาส์แห่งนี้ยอดเยี่ยมมาก มีแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา เมื่อถึงตอนนั้นก็สามารถใช้คอมพิวเตอร์ของคลับเฮาส์เปิดดูข้อมูลได้
แต่สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงสงสัยคือตามหลักแล้วพี่รองของเขาไม่ใช่คนที่ประมาทแบบนั้นแน่ เพราะถ้าล็อกอินผ่านคอมพิวเตอร์ของคลับเฮ้าส์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผย... สำหรับตระกูลจี้ สิ่งที่เขาและพี่รองทำอยู่นั้นคือความลับ แต่ถ้าหากมีคนล่วงรู้ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้
และถ้ามันทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น บางทีเรื่องนี้อาจกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวจนเสียชื่อเสียงของตระกูลเลยก็ได้!
ดังนั้นจี้เฟิงจึงยังสงสัยและคาใจมาก เขาคิดไม่ตกว่าพี่รองจะนำข้อมูลมาให้เขาดูได้อย่างไร?
แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว จี้เฟิงก็ต้องส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เพราะเขานั้นคิดมากเกินไปแล้ว ทั้งๆที่รู้ดีว่าพี่รองจะไม่มีทางประมาทอย่างนั้นโดยเด็ดขาด และที่สำคัญพี่รองก็บอกแล้วว่าจะได้เห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นตอนนี้คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ หลังจากเล่นบิลเลียดเสร็จเขาก็จะได้รู้เอง
...............
เมื่อเห็นจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยเดินหายวับไปจากบันไดภายใต้การนำทางของพนักงานต้อนรับคนหนึ่ง ใบหน้าของฮูซู่ฮุ่ยกลับซีดเผือดจนไม่มีสีเลือดแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งร่างกายของเธอก็สั่นเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากแน่น ในใจของเธอเต็มไปด้วยความอับอาย
ครั้งหนึ่งเธอเป็นฝ่ายตะโกนใส่หน้าจี้เฟิงท่ามกลางสายตานักเรียนมากมาย แต่ตอนนี้จี้เฟิงกลับไม่สนใจเธอเลยสักนิด ไม่มีภาพของเธอสะท้อนอยู่ในแววตาของจี้เฟิงเลย และญาติผู้พี่ของเขาที่อยู่ข้างๆ มองเธอราวกับกำลังมองขอทานคนหนึ่ง
พนักงานที่อยู่ด้านข้างเห็นฮูซู่ฮุ่ยตัวสั่น สีหน้าก็ย่ำแย่มาก เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เสี่ยวฮุ่ย อย่าเก็บไปคิดมากเลย คนรวยพวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ อดทนไว้นะ พอชินแล้วอะไรๆมันจะดีขึ้น... แต่ฉันรู้สึกว่าสองคนนั้นจะเพ่งเล็งเธอเป็นพิเศษ เธอคงไม่ได้ไปล่วงเกินอะไรพวกเขาหรอกใช่มั้ย? ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนรวยไม่ก็มีสถานะใหญ่โตทั้งนั้น ถ้าเกิดว่าเธอได้ไปล่วงเกินพวกเขา ก็รีบไปขอโทษพวกเขาเถอะ...”
ฮูซู่ฮุ่ยฟังเสียงพล่ามของเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกหงุดหงิดและพูดไม่ออก จะให้ไปขอโทษพวกเขางั้นเหรอ...? เมื่อสองวันก่อนเธอเพิ่งจะขอโทษพวกเขาไป แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาทรมานเธออีก...
ในความคิดของฮูซู่ฮุ่ย จี้เฟิงและลูกพี่ลูกน้องของเขารู้ดีว่าเธอนั้นทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็ยังตั้งใจมาที่นี่และชี้มาที่เธอพร้อมกับหาเรื่องตำหนิ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามีเป้าหมายที่จะมาทรมานเธอ
“สองคนนี้ช่างเป็นคนรวยที่น่ารังเกียจจริงๆ คนแบบนี้อย่าไปยุ่งด้วยหรือเผลอล่วงเกินพวกเขาจะดีที่สุด!” พนักงานที่อยู่ข้างๆพูดเสียงเบาว่า “เสี่ยวฮุ่ย ฉันแนะนำให้เธอรีบไปหาผู้จัดการซูและบอกให้ผู้จัดการซูพาเธอไปขอโทษพวกเขา วิธีนี้จะช่วยลดปัญหาไปได้มาก ไม่อย่างนั้นบางทีพวกเขาอาจจะสร้างปัญหาให้กับเธอก็ได้!”
“ขอโทษ?”
ฮูซู่ฮุ่ยส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันจะไม่ขอโทษอีก ไม่มีทาง!”
เพียงเพราะเขามีเงินแล้วคิดว่าจะดูถูกเธอได้ตามใจชอบอย่างนั้นเหรอ? เพียงเพราะมีเงินจะทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชีวิตเธองั้นเหรอ?
ในใจของฮูซู่ฮุ่ยเกิดความต่อต้านและความเกลียดชังอันแรงกล้า
ถ้าฉันมีเงิน...
เธอไม่เคยรู้เลยว่าจี้เฟิงเป็นยังไงบ้างตั้งแต่ที่เลิกกัน เพราะฮูซู่ฮุ่ยได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับจี้เฟิงมากและมันทำให้เขารู้สึกคับแค้นใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยคิดที่จะแก้แค้นเธออีก แต่จี้เฟิงก็ต้องรู้สึกขมขื่นหัวใจอีกครั้งในตอนที่ได้พบเธอกับอู๋ฉางฉุนพี่เขยและพี่สาวตัวดีของเธอ
เซียวหยูซวนเคยถามจี้เฟิงว่าเขายังเกลียดฮูซู่ฮุ่ยอยู่หรือเปล่า? แต่จี้เฟิงก็ตอบได้ทันทีเลยว่า “เธอไม่คู่ควรแล้ว!”
ในความเป็นจริงตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ จี้เฟิงได้ลบฮูซู่ฮุ่ยออกจากความทรงจำเขาอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญได้มาเจอเธอที่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในดอกไม้ท่ามกลางแสงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลิคลับเฮ้าส์เมื่อไม่กี่วันก่อน บางทีจี้เฟิงก็อาจจะนึกขึ้นมาได้บ้างว่าเคยมีหญิงสาวคนหนึ่งในชีวิตของเขาและเธอได้ทิ้งความอัปยศอดสูที่ไม่อาจลบเลือนได้เอาไว้!
ที่สำคัญกว่านั้นฮูซู่ฮุ่ยไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ ความปรารถนาของเธอที่มีต่อเงินทองไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะความอยากได้อยากมีจนเกินพอดี เธอคงไม่ทิ้งจี้เฟิงไปอย่างไร้ความปรานีและมอบความอัปยศอดสูให้กับจี้เฟิง
ฮูซู่ฮุ่ยไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นกลางเลย เพราะเมื่อเทียบความเสียหายที่เธอเคยทำกับจี้เฟิงและความคับข้องใจที่เธอได้รับในตอนนี้มันแทบไม่นับเป็นอะไรเลย
แต่อย่างไรก็ตามฮูซู่ฮุ่ยได้มอบสิ่งหนึ่งให้แก่เขาที่ทำให้เขาจำฝังใจ ด้วยชื่อที่เธอเรียกเขาว่า “สัตว์พันทาง!”
ที่จริงแล้วคนอย่างฮูซู่ฮุ่ยเป็นประเภทที่เรียกว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเธอจะมองจากในมุมของตัวเองเพียงมุมเดียว ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น เหมือนกับตอนนี้ ที่เธอคิดถึงแค่ความอัปยศอดสูที่จี้เฟิงมอบให้เธอ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งแรกที่เธอได้เจอจี้เฟิงเมื่อสองวันก่อนและเธอเองที่เป็นฝ่ายปล่อยวางไม่ได้จนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ สะบัดหน้าหนีไปจนทำให้จี้ช่าวเหลยโกรธ เรื่องก็จะไม่เป็นแบบนี้
แน่นอนว่าบางทีเธออาจจะตระหนักถึงสาเหตุของปัญหานี้ แต่คนอย่างฮูซู่ฮุ่ยจะไม่มีทางยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของเธอ เพราะถ้าหากเธอกลับใจจริงๆ เธอคงไม่จงใจบิดเบือนเหตุผลที่เธอเลิกกับจี้เฟิงต่อหน้าผู้จัดการซู
“เสี่ยวฮุ่ย เธอจะไม่ไปขอโทษได้ยังไง? รีบไปหาผู้จัดการซูเร็วเข้า!” พนักงานที่อยู่ข้างๆเตือนเธอเบาๆว่า “ถ้าตกงานไป แล้วอยากไปขอโทษก็ทำไม่ได้แล้ว”
ฮูซู่ฮุ่ยส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่จำเป็น ไม่ว่าเขาจะรวยแค่ไหน ไม่ว่าพ่อของเขาจะเป็นใคร แต่ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เคยมีชาติกำเนิดต่ำต้อยได้ เขาจะไม่มีวันสูงส่งไปกว่าฉัน!”
...............
“ปั้ก!”
บิลเลียดลูกสุดท้ายบนโต๊ะบิลเลียดถูกตบหลงหลุมไปในพริบตา จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและวางไม้ลงบนโต๊ะ เขาอดหัวเราะไม่ได้ “พี่รอง ผมชนะอีกแล้ว...”
“ไอ้หนู!” จี้ช่าวเหลยมองโต๊ะบิลเลียดที่มีเพียงลูกแม่หนึ่งลูกด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ยังมีอะไรที่นายทำไม่ได้อีกมั้ยเนี่ย?”
“แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว!” จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เพียงแต่ว่าอะไรที่พี่รองของผมอยากจะเล่น ผมก็คงจะชนะได้หมดอยู่ดีน่ะนะ!”
“ไปตายซะ!” จี้ช่าวเหลยรู้สึกหดหู่
ทั้งสองคนเล่นบิลเลียดกันมาสิบกว่ารอบแล้ว และจี้เฟิงก็เป็นฝ่ายที่ชนะทั้งหมด ที่สำคัญไม่มีเกมไหนที่ใช้เวลาตั้งแต่ต้นจนจบเกินห้านาทีเลย
ตราบใดที่จี้เฟิงได้สิทธิ์เล่น เขาก็จะยิงประตูได้ทั้งหมดโดยไม่เปิดโอกาสให้จี้ช่าวเหลยได้จับไม้เลย
“จะเล่นต่ออีกหรือเปล่าครับ?” จี้เฟิงอดถามไม่ได้
“เล่นก็บ้าแล้ว!” จี้ช่าวเหลยถลึงตาใส่เขาทันที เขาโบกมือและนั่งลงบนโซฟาในบริเวณเลานจ์ข้างๆ เขายกแก้วขึ้นมาดื่มก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างแรง “ไอ้หนู นายบอกฉันมาตามตรง เหตุผลที่ฝีมือการเล่นบิลเลียดของนายเก่งขนาดนี้ มันเป็นผลพวงมาจากการฝึกกังฟูใช่มั้ย?”
จี้เฟิงเดินตามมานั่งใกล้ๆ เขายิ้มและพูดว่า “ก็ค่อนข้างจะเกี่ยวกัน แต่ก็ไม่ทั้งหมด... พี่รอง แล้วข้อมูลล่ะ?”
จี้ช่าวเหลยหันไปมองรอบๆอย่างอดไม่ได้
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ที่นี่ไม่มีกล้อง”
เมื่อมาถึงที่นี่จี้เฟิงได้สังเกตบริเวณโดยรอบเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด ถ้าจะมีก็มีแค่ตรงทางเดินที่ด้านนอกเท่านั้น
จี้ช่าวเหลยได้ยินแบบนั้นก็วางใจ เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาม ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในนี้ นายเปิดดูเองก็แล้วกัน!”
“มือถือ?” จี้เฟิงตกใจ เขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่เขาไม่ได้คิดถึงโทรศัพท์ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์มีไว้โทรเข้ากับรับสายแค่นั้นหรอกเหรอ?”
“นี่คือคอมพิวเตอร์มือถือ โอเคมั้ย?” หน้าผากของจี้ช่าวเหลยเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน
จี้เฟิงยิ้มอย่างเขินอายและยื่นคอมพิวเตอร์มือถือให้ “พี่รองเปิดมันให้หน่อยสิ ของไฮเทคแบบนี้ผมเล่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่”
ในความเป็นจริงจี้เฟิงไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์มือถือแบบนี้มาก่อนเลย
จี้ช่าวเหลยยิ้มเจื่อนๆพลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาเปิดคอมพิวเตอร์บนฝ่ามือแล้วส่งให้จี้เฟิงอีกครั้ง “คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดหกคนจะอยู่ด้านบนสุด นายดูเอาเองเถอะ!”
…จบบทที่ 440~❤️
----------------------
คุยกันท้ายบท
ตามที่สัญญาไว้เลยน๊า
จัดไปจุกๆเลยจ้า ฟรีสองตอนติด (¯ ▽ ¯)
เนตรนารีน้อยขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ
ตราบใดที่ผู้อ่านไม่ทิ้งผู้แปล เราก็จะแปลจนจบแน่นอนค่ะ เยิฟๆ (ノ ≧ ∀ ≦) ノ♡
การสนับสนุนของคุณผู้อ่านทุกๆท่าน เป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับเนตรนารีสีชมพูเลยล่ะค่ะ
๐(_ _)๐