665-666
9/10
Ep.665
ซู๊ดดดดดด
ได้ยินแบบนั้น ครั้งนี้เป็นซูเฉินที่ต้องสูดหายใจลึก
ในวังสุริยันจันทรามีระดับเทวะอยู่ถึงสองคน เรื่องนี้เขาไม่นึกไม่ฝันมาก่อน
ณ ตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่วังสุริยันจันทราถูกเรียกของขุมกำลังอันดับหนึ่งของขุนเขาหวังเฉียว ปรากฏว่ามีสองระดับเทวะคอยหนุนหลังอยู่นี่เอง
เพราะอย่างนี้ไง การเป็นศิษย์ของวังสุริยันจันทรา ถึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินกันได้ง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทรา คงต้องขอให้พี่เหลิงช่วยแนะนำแล้ว” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น้องซูอย่าได้เกรงใจ” เหลิงมู่เย่ไม่ได้วางท่าแม้แต่น้อย
ด้วยกำลังรบและพรสวรรค์ของซูเฉิน เมื่อเข้าร่วมกับวังสุริยันจันทรา สถานะของเขาจะต้องพุ่งทะยานอย่างแน่นอน ไม่แน่บางทีอาจได้เข้าชิงตำแหน่งประมุขนิกายคนต่อไป
ได้พบเจอกับคนที่โดดเด่นเช่นนี้ เหลิงมู่เย่ไหนเลยจะกล้าละเลย
หลังจากนั้น ซูเฉินและอีกสามคนรวมตัวกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับงานประลองรอบคัดเลือก
เนื่องจากซูเฉินเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทราโดยมีเป้าหมายหลักคือการเข้าสู่มิติท้ารบ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
…
[รถศึกอัจฉริยะ] หลังจากเดินทางมาได้สองชั่วโมง จู่ๆมันก็ร้องเตือนขึ้น “เจ้านาย ข้างหน้ามีผู้แข็งแกร่งหลายฝ่ายกำลังต่อสู้ชุลมุนกันอยู่”
“พวกเขามีระดับฐานฝึกตนเท่าไหร่? แล้วมีฝ่ายไหนบ้าง?” ซูเฉินถามอย่างไม่ใส่ใจ
“มีผู้ฝึกตนขั้น 7 อยู่หลายคน หนึ่งในนั่นคือฝ่ายมนุษย์ และมีพวกต่างเผ่ารวมอยู่ด้วย” [รถศึกอัจฉริยะ] ตอบทันที
มนุษย์กับพวกต่างเผ่ากำลังสู้กัน?
ซูเฉินเกิดความสงสัยในใจ เอ่ยสั่งว่า “เสี่ยวจือ ล็อคเป้าพวกเขา แล้วขยายภาพที”
ภาพบนหน้าจอควบคุมส่วนกลางเริ่มสลับสับเปลี่ยน ไม่นานก็ปรากฏฉากในป่าเล็ก เบื้องล่างมีมนุษย์สามคนกำลังต่อสู้กับกับชายเผ่าปีศาจราตรี
มนุษย์ทั้งสามคนนี้ เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ทั้งหมดล้วนมีระดับฝึกตนขั้น 7
ชายหนึ่งและหญิงหนึ่งจากทั้งสาม มีตราสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปักอยู่บนเสื้อผ้า คาดว่าคงเป็นคนของทางวังสุริยันจันทรา
ส่วนชายเผ่าปีศาจราตรีเองก็เป็นผู้ฝึกตนขั้น 7 เช่นกัน แม้ตกอยู่ในสถานการณ์สามรุมหนึ่ง แต่ด้วยกำลังรบที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากของเขา น่าแปลกที่ฝ่ายมนุษย์สามคนไม่อาจสู้ได้ อีกทั้งเหมือนใกล้จะยื้อไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
เห็นภาพนี้ ซูเฉินรู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย เพราะศิษย์จากวังสุริยันจันทรา กระทั่งในระดับเดียวกันก็ยังโดดเด่น แต่นี่ทั้งสามร่วมมือกัน กลับถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ชายเผ่าปีศาจราตรีทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ซูเฉินรู้สึกว่า ต่อให้เป็นโม่หรงในขั้น 8 ก็ยังไม่แน่ว่าจะรับมือกับชายเผ่าปีศาจราตรีผู้นี้ได้
“นั่นศิษย์พี่กู่เทียนฮวากับศิษย์พี่หญิงหลินฮั่วอิน นี่!”
เมื่อเห็นว่าเป็นคนของทางวังสุริยันจันทรา สีหน้าของเหลิงมู่เย่และคนอื่นๆก็เปลี่ยนไป
“เฮียซู ได้โปรดไปช่วยพวกเขา!” เฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
สถานการณ์ของกู่เทียนฮวาและหลินฮั่วอินนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากไปไม่ทันเวลา อาจร้ายแรงถึงชีวิต
“เสี่ยวจือ รีบขับเข้าไป” ซูเฉินออกคำสั่ง
เขากำลังจะเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทรา เป็นธรรมดาที่ไม่ต้องการเห็นศิษย์ของวังตกอยู่ในอันตราย
[รถศึกอัจฉริยะ] เร่งความเร็วเต็มพิกัด ชั่วพริบตาเดียวถึงที่หมาย
ทันทีที่ประตูเปิดออก
เหลิงมู่เย่และอีกสองคนรีบลงจากรถ กระโจนเข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ซูเฉินไม่รีบร้อนโจมตี เขากวาดสายตามองไปทางอื่นแทน เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พวกกู่เทียนฮวา ยังมีการต่อสู้ชุลมุนอีกสามกลุ่ม
และสองกลุ่มคือการต่อสู้กันเองระหว่างพวกต่างเผ่า
ซูเฉินยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงมาต่อสู้กันที่นี่
ขณะที่เขากำลังลงจากรถเพื่อไปจับสักตนมาเค้นถาม [รถศึกอัจฉริยะ] ก็ร้องด้วยความตื่นเต้น “เจ้านาย ฉันตรวจพบศิลาทลายมิติสี่ก้อนอยู่ในบริเวณนี้!”
10/10
Ep.666
“ศิลาทลายมิติมีไว้ทำอะไร?” การแสดงออกทางสีหน้าของซูเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
แม้เขาจะยังไม่รู้ว่าศิลาทลายมิติมีไว้ทำไม แต่ในเมื่อมันคือสิ่งที่ [รถศึกอัจฉริยะ] ร้องเตือน แสดงว่าต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
“ศิลาทลายมิติเรียกอีกอย่างว่าหินเปิดเขตแดน ซึ่งก็ตามชื่อมัน มีไว้ใช้ในการเปิดทางผ่านเขตแดน” [รถศึกอัจฉริยะ] อธิบาย
ซูเฉินไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป เอ่ยเสียงสั่น “นายกำลังจะบอกว่า ด้วยศิลาทลายมิตินี้ นายจะได้รับความสามารถในการเคลื่อนย้ายไปยังทุกทวีปได้อย่างอิสระเสรี อย่างงั้นใช่ไหม?”
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป ว่าหากต้องการเข้าสู่ทวีปหนึ่งจากอีกทวีปหนึ่ง นอกเหนือไปจากการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว อีกวิธีคือต้องเดินทางโดยทางผ่านเขตแดนเท่านั้น
แต่หากสามารถเดินทางไปยังทวีปอื่นๆได้อย่างอิสระ แบบนั้นไม่เท่ากับว่าซูเฉินสามารถสังหารพวกต่างเผ่าได้ตามต้องการหรือ?
“ถ้าโดยภาพรวมแล้วก็หมายความแบบนั้น”
[รถศึกอัจฉริยะ] ยืนยัน แล้วกล่าวต่อว่า “หากว่ากันตามปกติแล้ว ศิลาทลายมิติมีไว้ใช้ในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายหรือทางผ่านเขตแดน แต่ถ้าเจ้านายติดตั้งให้ฉันในปริมาณที่มากพอ ก็จะสามารถเดินทางไปยังทวีปอื่นๆได้”
“อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับในปัจจุบันของฉัน มันยังต่ำเกินไป เลยสามารถเข้าสู่ทวีประดับต่ำได้บางส่วนเท่านั้น ต้องรอจนระดับของฉันค่อยๆเพิ่มขึ้น เจ้านายถึงสามารถก้าวเข้าสู่ทวีปที่มีระดับสูงกว่าเดิมได้”
“แล้วต้องใช้ศิลาทลายมิติกี่ก้อน?”
ซูเฉินสูดหายใจลึก พร้อมเอ่ยถาม
“แค่ห้าก้อนก็น่าจะพอแล้ว” [รถศึกอัจฉริยะ] ตอบกลับ
“ห้าก้อน …” ซูเฉินพึมพำ
ทว่าในที่แห่งนี้มีแค่สี่ก้อน ยังเหลืออีกก้อนที่ขาดอยู่
แต่ก็ไม่เป็นไร เอาสี่ก้อนนี้มาก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
“เสี่ยวจือ ศิลาทลายมิติสี่ก้อนในที่นี้ อยู่ในมือใครบ้าง?” ซูเฉินเอ่ยเสียงกระซิบ
“ในที่นี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นทั้งหมดสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอยู่คนละก้อน” [รถศึกอัจฉริยะ] ตอบในทันที
ซูเฉินตอนนี้เริ่มฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ว่าคนเหล่านี้ที่กำลังต่อสู้ฆ่าฟันกัน ใช่เพื่อแย่งชิงศิลาทลายมิติหรือไม่?
แต่จะยังไงก็ช่าง ตราบใดที่ซูเฉินลงสู่สนาม ทั้งหมดต้องตกเป็นของเขา
“เหล่าโม่ เสี่ยวตี๋ ทั้งสองออกมาช่วยฉันฆ่าศัตรู!”
ซูเฉินเรียกโม่หรงและ [นักรบจักรกล] นำทั้งสองกระโจนเข้าสมรภูมิของพวกต่างเผ่าเป็นแห่งแรก
กลุ่มที่กำลังต่อสู้กันเองนี้คือเผ่าปีศาจราตรีกับเผ่าหนามหยก ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้วิวัฒนาการขั้น 7 กำลังรบทัดเทียม ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ
ซูเฉินทะยานไปข้างหน้า ซัด [หมัดดาวตก] ทุบลงไป สังหารทั้งสองฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“นี่มันจะเร็วเกินไปหน่อยไหม?”
เห็นซูเฉินสังหารเหล่าผู้แข็งแกร่งตายลงราวกับใบไม้ร่วง โม่หรงถึงกับอ้าปากค้าง
“เหล่าโม่ เก็บกวาดสนามรบ!”
ซูเฉินออกคำสั่ง กระโจนเข้าหากลุ่มพวกต่างเผ่าในอีกสมรภูมิ สับดาบสีดำหมึกลงไป ปลดปล่อยอสนีบาตอันน่าสยดสยอง
พวกต่างเผ่าในสมรภูมินี้กำลังสู้กัน ทั้งหมดไม่ทันตอบโต้ ก็กลายเป็นศพไหม้เกรียม
“เสี่ยวตี๋ ปกป้องที่นี่ไว้ ใครกล้าเข้ามาก็ฆ่ามันได้เลย!”
ซูเฉินกำชับ ละสายตาไปยังสมรภูมิที่สาม
การต่อสู้ระหว่างกลุ่มนี้ คือมนุษย์ห้าคนและครึ่งออร์คอีกนับสิบ
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินสังหารพวกต่างเผ่าไปหลายสิบตน การกระทำของเขาค่อนข้างเอะอะใหญ่โต จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน
ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างยุติการต่อสู้แล้ว ทั้งหมดมองไปทางซูเฉินด้วยความรู้สึกเหลือจะเชื่อ
อีกด้านหนึ่ง ชายเผ่าปีศาจราตรีพบว่าจู่ๆก็มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งปรากฏขึ้น ไล่สังหารพวกต่างเผ่าไปทั่ว จึงพยายามแยกตัวจากสมรภูมิ
แต่พวกเหลิงมู่เย่กับคนอื่นๆพยายามสกัดกั้นสุดชีวิต ทั้งหกร่วมมือกันโจมตี แม้พวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะชายเผ่าปีศาจราตรีได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาหลบหนี
ซูเฉินเหลือบมอง พบว่าเฉินเฟิงและคนอื่นๆยังไม่ตกอยู่ในอันตราย จึงหันมากล่าวเสียงเย็นกับมนุษย์และกลุ่มครึ่งออร์คว่า “ส่งศิลาทลายมิติมาซะดีๆ ไม่อย่างงั้นก็ตายเสีย!”