163 - ศพของผู้อมตะ
163 - ศพของผู้อมตะ
“ที่นี้คืออะไร?”
“ไม่ต้องถามแล้ว เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” หญิงสาวชุดม่วงมีใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัว
ด้านล่างของทะเลสาบมืดมนมาก แสงที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเย่ฟ่านเหมือนกับโคมไฟในน้ำ
ข้างหน้าเป็นวังทองแดงขนาดมหึมาที่ขึ้นสนิม พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เย่ฟ่านอุ้มหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วงในขณะที่เขาถอยกลับ ทะเลสาบก็ไหลล้นและศพมากมายเริ่มปรากฏตัวออกมาทำให้บรรยากาศน่าขนลุกเป็นพิเศษ
"เร็วขึ้น!" หญิงสาวชุดม่วงมองเขาด้วยใบหน้าของนางขาวซีด
เย่ฟ่านไม่ใช่คนโง่เขลา ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักเช่นนี้ เขาจะไม่กล้าเสี่ยงอย่างง่ายดายเขาวิ่งอย่างรวดเร็วบนน้ำและพยายามออกจากทะเลสาบ
อย่างไรก็ตามข้างบนนั้นเป็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้ทั้งสองรู้สึกตกใจ เงาขนาดใหญ่เริ่มลอยมาอย่างช้าๆ ราวกับเมฆดำที่ปกคลุม
เย่ฟ่านรู้สึกลำบากที่จะทนได้และแสงที่ปกคลุมร่างกายของเขาดับลงในทันที หญิงสาวชุดสีม่วงนั้นแทบจะขาดอากาศหายใจทั้งสองถูกกดดันด้วยพลังมหาศาล และตกลงไปในทะเลสาบอย่างหนัก
“สิ่งนั้นคืออะไร”
เย่ฟ่านตกตะลึงเมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังของเขาแผ่ออกไป ทั้งหมดเป็นสีเทาเหนือพวกเขาราวกับว่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังปรากฏตัวออกมา
เขาไม่หยุดยั้งและอุ้มหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วงและว่ายน้ำต่อไป พยายามแยกตัวออกจากทะเลสาบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามฉากที่คล้ายกันก็เข้าปกคลุมร่างกายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกของพวกเขาคล้ายกับภูเขากดทับลงมาและทำให้พวกเขาเริ่มหายใจไม่ออก เย่ฟ่านร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้นไม่สามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อีก
“สิ่งนั้นคืออะไร? มันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า?” การแสดงออกของเขาดูจริงจัง สถานการณ์ดูเลวร้ายอย่างยิ่ง
พลังศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาวในชุดสีม่วงยังคงถูกผนึกไว้ จากการที่ต้องทุกข์ทรมานจากความกดดันครั้งนี้มันทำให้นางสลบไสลไป
"ตื่น." เย่ฟ่านพูดขึ้น
“จบแล้ว เราหนีไม่พ้น”
เลือดไหลออกจากใบหน้าของหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วง ดวงตาที่ร่าเริงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวโดยไม่มีร่องรอยของความซุกซนก่อนหน้านี้
เงาขนาดมหึมานั้นเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายโบราณจากอดีตกาลไร้ขอบเขตเมื่อปกคลุมพื้นที่ตอนบนของทะเลสาบทำให้ไม่สามารถบินออกไปได้
เย่ฟ่านต้องการตามหาแม่น้ำใต้ดินที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางออกแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็หาไม่พบ
“หยุดค้นหา นั่นคือแม่น้ำที่ไร้รูปร่าง เมื่อจากไปจะไม่มีร่องรอยของมันอีก” หญิงสาวชุดม่วงสะอื้นไห้
ในขณะนี้สิ่งรอบข้างถูกผนึกไว้โดยที่ไม่มีทางเดินทางต่อไปได้ เย่ฟ่านไม่ต่อสู้ดิ้นรนอีกต่อไปแต่กลับพยายามทำตัวให้สงบนิ่งและคิดหาวิธีด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้น? อะไรคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในวังทองแดง”
หญิงสาวชุดม่วงมีสีหน้าบิดเบี้ยวและคร่ำครวญว่า
“วู……วู….. ข้าไม่อยากตาย ข้าเป็นคนที่งดงามและชาญฉลาดไม่มีใครเทียบได้ ชื่อของข้ายังไม่ได้เรื่องเลยในแดนรกร้างตะวันออกข้าจะมาตายแบบนี้ได้ยังไง”
“เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว” เย่ฟ่านพูดขณะที่เขาบีบแก้มนางอย่างหยาบคาย
“วังทองแดงปรากฏตัวขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ภูมิหลังนั้นลึกลับและไม่มีใครรู้อดีตของมัน เมื่อมีคนเข้ามาไม่มีทางที่จะมีชีวิตกลับไปได้……” หญิงสาวชุดม่วงถอนหายใจ
“เราต้องตายที่นี่จริงๆเหรอ” เย่ฟ่านเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย
“มันเป็นหลุมฝังศพของยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบ ทุกครั้งที่ปรากฏ มันจะเขย่าแดนรกร้างตะวันออกทั้งหมด ยอดฝีมือจากทุกที่จะบินเข้ามาเหมือนแมลงเม่าสู่กองไฟ”
"ทำไม?" เย่ฟ่านไม่รู้อะไรเลย
“มีข่าวลือว่าวังทองแดงอันสง่างามนี้ถูกหล่อหลอมโดยผู้อมตะ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีนับไม่ถ้วน แดนรกร้างตะวันออกก็ไม่เคยมีผู้อมตะอีกเลย
ยอดฝีมือเหล่านั้นที่อยู่บนหน้าผาของถนนสู่ความเป็นอมตะ นี่เป็นโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะทะลวงสู่เส้นทางใหม่ได้”
“แย่จริงๆ!”
เย่ฟ่านสูดอากาศเย็นเข้าไป วังเซียนทองแดงนี้มีภูมิหลังที่มหัศจรรย์จนไม่อาจจินตนาการถึง
“พูดให้ละเอียดกว่านี้”
หญิงสาวชุดม่วงยังคงสั่นสะท้านด้วยความกลัว แต่อารมณ์ของนางก็สงบลง
“มันได้ปรากฏตัวครั้งแรกในสมัยดึกดำบรรพ์……”
“โบราณมาก……” เย่ฟ่านรู้สึกตกตะลึง วังทองแดงดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างตะวันออกในอดีตอันไร้ขอบเขต
“มีข่าวลือว่าหล่อมันเป็นสมบัติเซียนของผู้อมตะแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ มันปรากฏขึ้นมาสี่ถึงห้าครั้งในอดีตและยอดฝีมือที่ถูกฆ่าตายจากการปรากฏตัวของมันก็มีมากมายนับไม่ถ้วน”
ตามคำพูดของหญิงสาวในชุดสีม่วง วังทองแดงนั้นลึกลับอย่างยิ่ง เศษซากทางประวัติศาสตร์นี้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระภายในแดนรกร้างตะวันออก
ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นจะอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ตามการไหลของแม่น้ำที่ไร้รูปแบบ
“ข่าวลืออาจไม่จริง มันต้องมีวิธีหลบหนีอย่างแน่นอน” เย่ฟ่านอยู่ในความคิดลึกๆ ขณะที่เขาขมวดคิ้วก่อนจะถามคำถามต่อไป
“คิดให้ดี มีช่องโหว่ใดบ้างที่จะใช้ประโยชน์จากมัน?”
“นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ก็บอกเจ้าไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณและไม่มีเนื้อหามากนัก”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้วหญิงสาวชุดม่วงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างนางจึงรีบอุทานออกมา
“ดูเหมือนว่ามีเหมือนกัน……”
หญิงสาวชุดม่วงเคยได้ยินข่าวลือ ในยุคหนึ่งที่ดินแดนลบร้างตะวันออกเฟื่องฟู มียอดฝีมือพิเศษหลายคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทำงานร่วมกันและได้ศพออกมาจากวังทองแดงศพ
“นี่เป็นศพของผู้อมตะ……”
เย่ฟ่านตกใจ “มีผู้อมตะจริงๆเหรอ!”
หญิงสาวชุดม่วงส่ายหัว
“เรื่องนี้ไม่ได้บันทึกไว้ในตำราโบราณ นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ส่งต่อไปยังดินแดนรกร้างตะวันออก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องราว”
“ศพของผู้อมตะไปอยู่ที่ไหน”
"มันดูเหมือน……. ถูกแบ่งเท่าๆกันระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณ”
“มีเหตุการณ์เช่นนั้นจริง ๆ ……”
เย่ฟ่านพบว่ามันยากที่จะสงบสติอารมณ์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะถูกเรียกว่าวังเซียนทองแดง ดูเหมือนว่ามันจะเชื่อมโยงกับผู้อมตะจริงๆ
เขานึกถึงตระกูลจี้และกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า
“ในกรณีนั้นนี่หมายความว่าตระกูลจี้ของเจ้ามีส่วนหนึ่งของศพผู้อมตะด้วยหรือไม่”
“มีข่าวลือว่าเมื่อนานมาแล้ว ตระกูลของเราได้รับแขนของซากศพผู้อมตะ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสของตระกูลเราปฏิเสธสิ่งนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้เห็นมันเป็นการส่วนตัว”
“ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง พวกเขาก็จะปฏิเสธมันอย่างแน่นอน พวกเขาจะปล่อยให้เด็กสาวเช่นเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ น้องชาย อย่าทำตัวเหมือนคนแก่ เจ้าอายุไม่มากกว่าข้า” หญิงสาวเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ
เย่ฟ่านหัวเราะขณะที่บีบจมูกนาง
“ชายชราคนนี้มีชีวิตอยู่มานับหมื่นปีแล้ว เด็กสาวอย่างเจ้าจะเปรียบเทียบได้อย่างไร”
วังทองแดงอันโอ่อ่าแห่งนี้ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองที่สง่างามงาม สนิมเขียวปกคลุมผนังตลอดหลายปี เย่ฟ่านวนรอบกำแพงสองสามครั้งแต่ไม่กล้าเข้าไปข้างใน
ของสิ่งนี้เคยทำให้แดนรกร้างตะวันออกสั่นสะเทือนหลายครั้ง ฝังยอดฝีมือนับไม่ถ้วน ไม่มีทางที่จะระบุภูมิหลังของมันได้ การเข้าไปข้างในด้วยระดับฝีมือของเขาเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น
เย่ฟ่านเริ่มมองดูศพที่อยู่ข้างนอกอย่างระมัดระวังโดยหวังว่าจะพบเบาะแสบางอย่างจากร่างกายของพวกเขา
“ศพเหล่านี้อาจเป็นยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ในอดีตที่ตายไปในตอนนั้น…….” หญิงสาวชุดม่วงยังคงคิดวิเคราะห์ต่อไปพร้อมกับกล่าวว่า
“ปล่อยข้า ข้าจะช่วยหาเบาะแสให้”