ตอนที่ 4 หมู่บ้านเสี่ยวซาน
ตอนที่ 4 หมู่บ้านเสี่ยวซาน
กงหมิงเฟย ได้พบกับผู้คนอีกครั้งหลังจากที่เขาเดินมาได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ลุงชาวนาใจดีคนหนึ่งบอกเขาว่าหมู่บ้านของเขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หากเดินไปจะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเพียงเท่านั้น
เมื่อได้ยินสำเนียงของลุงชาวนา กงหมิงเฟยคาดเดาว่าตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในมณฑลซานตง ผู้คนในมณฑลซานตงเป็นชาวบ้านในแถบชนบทที่มีความอบอุ่นและใจดี พื้นเพนิสัยใจคอของชาวบ้านในแถบชนบทเหล่านี้นั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือมีความใจดี ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา
หลังจากที่ลุงชาวนาได้ทำความรู้จักและพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลุงชาวนาได้รู้ว่ากงหมิงเฟยเดินเท้าเพียงลำพัง แกก็คะยั้นคะยอชวนกงหมิงเฟยไปทานอาหารเที่ยงที่บ้านของแกในทันที
และกงหมิงเฟย ก็ไม่ได้ปฏิเสธความตั้งใจดีของลุงชาวนา ~
"ไอ้หนุ่ม! เอ็งมันสมกับที่เป็นลูกผู้ชายจริงๆ!"
ลุงชาวนามองกงหมิงเฟยดึงรถเข็นที่ค่อนข้างหนักด้วยความชื่นชม ก่อนที่แกจะเดินเข้ามาตบไหล่ของเขาเบาๆอย่างเป็นกันเอง
"แต่เดิมผมคิดเพียงแค่ว่ารถเข็นใหญ่ๆย่อมใส่ของได้มากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็เริ่มเสียใจเล็กน้อยที่รู้สึกว่ารถเข็นมันใหญ่และหนักมากเกินไป"
กงหมิงเฟยหัวเราะพร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างเขินอาย ด้วยลุคที่ใส่ซื่อบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มวัยรุ่นเช่นนี้ ทำให้ลุงชาวนาหัวเราะออกมาและรู้สึกดีกับกงหมิงเฟยมากยิ่งขึ้น
ระหว่างเดินทางกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ลุงแกถามกงหมิงเฟยอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับการดื่มสุรา และกงหมิงเฟยก็ปฏิเสธซ้ำๆอยู่หลายครั้งว่าเขานั้นเป็นคนไม่ค่อยชอบดื่ม
ลุงชาวนามองขึ้นมองลงและส่ายหัว พร้อมกับบ่นพึมพำออกมา เป็นชายชาติอาชาไนยจะกลัวการดื่มสุราได้อย่างไร?
หมู่บ้านที่ลุงชาวนาอาศัยอยู่นั้นไม่ไกลมากจริงๆอย่างที่แกได้พูดเอาไว้ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่เงียบสงบมีประมาณ 200 ครัวเรือน และน่าจะเป็นเพราะในเวลานี้เป็นเวลาเที่ยงวันบ้านหลายหลังจึงมีควันไฟของเตาฟืนที่เกิดจากการปรุงอาหารลอยฟุ้งไปทั่วหมู่บ้านทำให้มีบรรยากาศของหมู่บ้านแถบชนบทอย่างแท้จริง
ในขณะที่เดินทางผ่านในหมู่บ้านมีเสียงนกร้อง เสียงของลมพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า และเสียงของชาวบ้านบางคนที่กำลังเก็บกวาดใบไม้ในลานบ้าน ทำให้จิตใจของกงหมิงเฟยผ่อนคลายและได้รับการเติมเต็มขึ้นมาอีกครั้ง
ลุงชาวนาหันมองไปยังกงหมิงเฟยที่ถือมือถืออยู่พร้อมกับกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง "ไอ้หนุ่ม เดินไปด้วยเล่นโทรศัพท์ไปด้วยเช่นนี้เดี๋ยวเอ็งก็หกขะล้มตกน้ำตกท่าไปจะทำอย่างไรกันฮึ!"
ทันทีที่คำพูดของลุงจบลง กลุ่มคนที่กำลังดูการถ่ายทอดสดต่างพากันอมยิ้มและชื่นชมต่อทัศนคติที่จริงใจของลุงชาวนา
กงหมิงเฟยพยักหน้ายิ้มรับคำเตือนของลุง แต่เขาก็ยังอธิบายให้แกได้เข้าใจ "มันไม่ใช่การเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างที่ลุงคิดครับ! ตอนนี้ผมกำลังถ่ายทอดสดรายการผ่านมือถืออยู่ คนที่กำลังดูพวกเราอยู่ในตอนนี้น่าจะมีถึงหลักหมื่นเลยนะครับลุง!"
นี่เป็นเพียงคำพูดที่บัฟเพิ่มเติมของกงหมิงเฟย เพราะในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของคนทำงานจึงมีผู้ชมเพียงแค่หลักพันเพียงเท่านั้น
ลุงชาวนาสะดุ้งและยืดตัวขึ้นอย่างทะมัดทะแมง เขาชี้นิ้วไปที่โทรศัพท์มือถือและพูดด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นว่า: "ห๊าา?! เอ็งพูดว่าอะไรนะ? เอ็งบอกว่าคนนับหมื่นกำลังดูพวกเราอยู่อย่างงั้นเหรอ?"
กงหมิงเฟย พยักหน้าและพูดว่า: "ใช่ครับลุง! คนนับหมื่นกำลังดูพวกเราอยู่"
เมื่อลุงได้ยินคำพูดยืนยันของกงหมิงเฟยแกก็รีบใช้มือเสยผมและจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยในทันที ก่อนที่จะไอออกมาเบาๆแล้วกระซิบว่า: "มีคนคอยติดตามดูเอ็งนับหมื่นคนเช่นนี้ เอ็งเป็นดาราใหญ่อย่างงั้นเหรอวะไอ้หนุ่ม?"
กงหมิงเฟย โบกมือไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อปฏิเสธและกล่าวว่า: "ไม่ๆๆ! ผมทำอุปกรณ์อยู่ เอ๊ย! ผมเป็นเพียงแค่ผู้ประกาศตัวเล็กๆเพียงเท่านั้น และความฝันของผมก็คือการได้เป็นศิลปินนักแสดงชื่อดัง!"
ลุงชาวนาสับสนอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าของแกไม่ใช่ดาราดัง แล้วเหตุใดถึงมีผู้ติดตามคอยดูเขานับหมื่นคนเช่นนี้ แต่ด้วยความเขินอายจากการที่ได้รู้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังดูอยู่ แกจึงกระแอมไอออกมาเบาๆอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าเสแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกันหลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงบ้านของลุงซึ่งเป็นฟาร์มส่วนผสม ที่ทั้งปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน
ภายในเขตรั้วบ้านของลุงชาวนานั้นมีบ้านกระเบื้องรูปทรงยุคโบราณอยู่ 3 หลัง มีกองฟางและกองฟืนแห้งกองใหญ่อยู่ทางลานหน้าบ้าน
สุนัขพันธุ์พื้นเมืองตัวหนึ่งถูกผูกมัดไว้ด้วยโซ่อยู่ที่ใต้ร่มของต้นไม้ใหญ่ มันกระดิกหางอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นเจ้านายของมันกลับมา
แต่เมื่อมันเห็นและได้กลิ่นของกงหมิงเฟยที่ถือได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมัน มันจึงเริ่มเห่าออกมาเสียงดังจนทำให้เป็ดและไก่ที่กำลังคุ้ยเขี่ยอาหารกินอยู่ใกล้ๆ ตื่นตกใจ
"เคอเรจ! ไอ้หมาโง่! เอ็งจะเห่าเสียงดังเพื่ออะไรกันวะ เอ็งไม่เห็นหรอกเหรอว่าเขาเข้ามาพร้อมกันกับข้า!"
เสียงตะโกนดุของลุงชาวนาค่อนข้างดัง จนกงหมิงเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกหูอื้อเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึงหน้าเรือนหลังใหญ่ ลุงก็ช่วยลากรถเข็นของกงหมิงเฟยเอาไปจอดไว้ที่มุมที่มีหลังคาด้านหนึ่ง "จอดมันเอาไว้ในร่มอย่างนี้แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้ารับรองได้ว่าสิ่งของของเอ็งจะไม่หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว!"
กงหมิงเฟยพยักหน้าและยิ้มให้กับลุง หลังจากนั้นลุงก็ตะโกนเข้าไปในบ้านว่า: "แม่อีหนูเอ๊ยย~~~ มีแขกมาบ้านแกช่วยจับไก่มาทำอาหารต้อนรับแขกหน่อยเร็ววว~~!"
กงหมิงเฟยรีบส่ายหน้าและโบกมืออย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า: "ไม่ดีลุง! อย่าทำอย่างนั้นแค่นี้ผมก็รบกวนและเกรงใจลุงจะแย่อยู่แล้ว!"
"ฮื้ออ~~ ไอ้หนุ่มเอ็งจะเกรงใจไปทำไมกันวะ! คนกันเองทั้งนั้นลุงก็คิดว่าเอ็งเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานและวันนี้ลุงก็ตั้งใจจะกินเนื้อไก่อยู่แล้ว เดี๋ยวเอ็งคอยชิมฝีมือเมียของลุงตุ๋นไก่นะ เมียลุงทำกับข้าวได้อร่อยที่สุดในหมู่บ้านเลยเชียวล่ะ!"
ลุงชาวนาทำเสียงฮึดฮัดออกมาพร้อมกับตบไหล่ของกงหมิงเฟยเบาๆอย่างเอ็นดู
หลังจากนั้นประตูเรือนหลังใหญ่ก็ถูกเปิดออก หญิงสูงวัยที่รูปร่างท้วมก็เดินออกมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง "ตะโกนโวกเวกโวยวายอะไรกันนักกันหนาล่ะหื๊อตาแก่?!"
ลุงชาวนายิ้มออกมาแห้งๆในทันทีเมื่อโดนภรรยาของแกดุ แกรีบขยิบตาให้กับภรรยาของแก และในทันทีนั้นป้าอ้วนก็เงียบเสียงลงเพื่อรักษาหน้าตาของสามีตัวเอง "ตาเฒ่าจั่ว พ่อหนุ่มรูปหล่อคนนี้เป็นใครกันรึ? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเขามาก่อนล่ะ!"
"ฮ่ายย! แกมันจะไปรู้อะไรแม่อีหนู พ่อหนุ่มคนนี้เป็นดาราใหญ่ที่มีคนคอยตามดูอยู่เป็นหมื่นๆคนเชียวนะแก!"
ลุงจั่วชี้มือไปยังโทรศัพท์ของกงหมิงเฟยที่ผูกติดอยู่บนไม้เซลฟี่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม "เฮ้อออ~~ ไอ้หนุ่มคนนี้เดินเท้ามาจากเมืองหยานเฉิงเชียวน๊าา! ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ความพยายามและต้องผ่านความลำบากตรากตรำมากขนาดไหนกว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่...!"
ปังง!
คำพูดของลุงยังไม่ทันจบประโยคป้าอ้วนก็เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบปิดประตูอย่างเร่งรีบจนเกิดเสียงดัง
แจ๊กกๆๆ~~~
กงหมิงเฟยและลุงจั่วต่างอยู่ในความตกตะลึงและมึนงง ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมาในเขตหน้าบ้านที่คนทั้งคู่ยืนอยู่เสียงเงียบลงจนสามารถได้ยินเสียงร้องของแมลงเลยทีเดียว...
และก่อนที่ทั้งสองคนจะทันได้พูดอะไรออกมา ประตูของบ้านก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง เสื้อผ้าและทรงผมรวมถึงใบหน้าของป้าอ้วนถูกแต่งเติมอย่างสวยงามภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที!!
ดูเหมือนว่าป้าอ้วนจะไม่ได้ยินประโยคหลังอย่างชัดเจน คงได้ยินเพียงแค่ว่ามีคนกำลังดูอยู่เป็นหมื่นๆคน!
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างโอเคดีแล้ว กงหมิงเฟยก็รีบเดินเข้าไปทักทายป้าอ้วนด้วยความสุภาพ: "สวัสดีครับคุณป้า! ผมชื่อกงหมิงเฟย เป็นผู้ประกาศข่าวของการถ่ายทอดสดในการเดินทางไกลจากเมืองหยานเฉิงเพื่อไปเมืองเหิงเตี้ยน!"
ป้าอ้วนจับมือของกงหมิงเฟยและบีบเบาๆอย่างกระตือรือร้น "ลูกเอ๊ย! ข้างนอกอากาศมันไม่ค่อยดีรีบเข้าไปข้างในบ้านก่อนเถอะ! อีกเดี๋ยวป้าจะตุ๋นไก่ให้กินนะ!"
กงหมิงเฟยพยายามปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความมีน้ำใจของป้าและลุงที่ตั้งใจจะทำอาหารให้เขากินด้วยความจริงใจไม่ได้
ลุงจั่วกวักมือเรียกเขาเข้าไปในบ้านอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่จะจัดเก้าอี้ให้เขานั่งในห้องรับแขก ในขณะที่ป้าอ้วนก็หยิบมีดปังตอออกไปที่เล้าไก่โดยตรง
ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเป็ดและไก่ร้องอย่างตื่นตระหนก และตามมาด้วยเสียงของไก่ที่ร้องออกมาด้วยความตื่นกลัว
ขณะเดียวกันในเวลานี้ข้อความในห้องถ่ายทอดสดก็ถูกส่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
[สุดยอดไปเลย! นี่แหล่ะคือน้ำใจของคนต่างจังหวัดล่ะ!]
[คนเมืองใหญ่! พวกนายเห็นกันไหม? คราวหลังพวกนายลองไปเที่ยวและใช้ชีวิตที่แถบชนบทดูบ้าง พวกนายจะได้รู้ว่าน้ำใจของคนต่างจังหวัดนั้นเป็นอย่างไร จะได้เลิกดูถูกคนต่างจังหวัดกันเสียที และฉันขอร้องล่ะอย่าเรียกคนต่างจังหวัดอย่างหยาบคายว่าไอ้คนบ้านนอกอีกต่อไปเลย!]
[คนบ้านเดียวกับฉันเลย! นี่คือคนในจังหวัดลู่จังหวัดเดียวกับบ้านเกิดของฉัน! ทุกคนต่างมีจิตใจที่ดีกันเช่นนี้กันทุกคนเลยล่ะ]
[ใช่ๆ! ฉันเคยไปเที่ยวที่จังหวัดลู่มาก่อน บ้านเพื่อนของฉันก็อยู่ที่จังหวัดนี้ คนที่นี่มีน้ำใจมากเลยทีเดียวก่อนกลับฉันยังได้รับผลไม้ที่เป็นของฝากกลับมาอย่างมากมายเลยด้วย]
[ฉันเคยแต่ขับรถผ่าน! คราวหน้าสงสัยจะต้องแวะเที่ยวที่จังหวัดนี้บ้างเสียแล้วล่ะ!]
กลุ่มแฟนคลับต่างพูดคุยกันเองอยู่ในห้องถ่ายทอดสด
ลุงจั่วรินน้ำชาให้กงหมิงเฟยและชวนเขาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง "ไอ้หนุ่ม! เอ็งออกเดินทางจากเมืองหยานเฉิงมานานเท่าไหร่แล้ว?"
กงหมิงเฟยยิ้มและตอบ: "ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยครับลุงจั่ว!"
ลุงจั่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเขามองไปที่รองเท้าของกงหมิงเฟย ที่พื้นรองเท้าของเขานั้นบางจนเกือบจะขาดอยู่ร่อมร่อแล้ว
กงหมิงเฟยมองตามสายตาของลุงจั่ว ก่อนที่จะยิ้มและพูดออกมาว่า: "รองเท้ายี่ห้อนี้คุณภาพไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ผมเปลี่ยนไปคู่หนึ่งแล้วเมื่อประมาณ 5 วันก่อน และในตอนนี้รองเท้าคู่นี้ก็เริ่มจะชำรุดอีกแล้ว!"
ลุงจั่วพยักหน้า แต่แกรู้ดีว่าต่อให้คุณภาพรองเท้าแย่มากขนาดไหน หากคนใส่ไม่ได้เดินผ่านในถิ่นทุรกันดารที่ยากลำบากมากๆ มันคงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พื้นรองเท้าจะสึกและชำรุดเร็วมากถึงขนาดนี้
นี่แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องเดินผ่านป่าและเขตภูเขามาอย่างแน่นอน!
"เอ็งไม่เหนื่อยหรอกหรือ? ที่ต้องออกเดินด้วยเท้าทุกๆวันเช่นนี้!" ลุงจั่วถามออกมา
กงหมิงเฟยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและตอบคำถามลุงจั่วด้วยรอยยิ้ม "ไม่เหนื่อยหรอกครับลุง! ผมไม่ได้เร่งรีบอะไรมากนัก ส่วนใหญ่แล้วผมถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดธรรมชาติครับ!"
ลุงจั่วพยักหน้าและพูดอีกว่า: "แล้วทำไมเอ็งถึงต้องไปที่เมืองเหิงเตี้ยนด้วยล่ะ?"
กงหมิงเฟยยิ้มและพูด: “ผมได้บอกลุงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวผมนั้นอยากจะเป็นศิลปิน! ในตอนนี้ผมสามารถแต่งเพลงและร้องเพลงได้! ส่วนจุดมุ่งหมายของผมที่ไปเมืองเหิงเตี้ยนนั่นก็คือการไปสมัครเพื่อแสดงภาพยนตร์!”
ลุงจั่วพยักหน้าและถามต่อ "แล้วทำไมเอ็งถึงไม่นั่งรถไปล่ะ?"
กงหมิงเฟยยิ้มออกมาบางๆ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตอบได้ว่านี่เป็นภารกิจหลักที่ระบบมอบให้กับเขา เขาทำได้เพียงแค่แต่งเรื่องโกหกเพื่อปกปิดความจริงในเรื่องนี้ "ผมเคยสัญญากับคนคนหนึ่งเอาไว้ ว่าผมจะเดินด้วยเท้าไปที่เมืองเหิงเตี้ยน!"
ลุงจั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยและแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจ ถึงแม้ว่าแกอยากจะถามเพิ่มเติมมากกว่านี้แต่แกคิดว่านั่นคงจะเป็นเรื่องส่วนตัวของไอ้เจ้าหนุ่มคนนี้ แกเพียงแค่พยักหน้าและไม่ได้ถามอีกต่อไป
แต่ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของกงหมิงเฟย กลุ่มแฟนคลับที่กำลังชมการถ่ายทอดสดอยู่นั้นก็ระเบิดข้อความกันออกมาอย่างรวดเร็ว
[แย่มากก! ฉันอยากจะรู้นักว่ายัยตัวเมียตัวไหน? ที่ทําร้ายหัวใจสามีของฉันเช่นนี้! อ่าาาา! ฉันอิจฉาเธอ~~~]
[มิน่าล่ะ! ในบางครั้งระหว่างเดินทางฉันเคยเห็นท่าทางที่มึงงงของเขาอยู่บ่อยๆ]
[เรื่องนี้อาจจะมีดราม่าอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้! ดูเหมือนว่าหมิงเฟยอาจจะต้องการเดินทางไปที่เมืองเหิงเตี้ยนเพื่อพิสูจน์และตามหารักแท้ก็เป็นได้!]
[ชั้นบน! เธอดูนิยายน้ำเน่ามากเกินไปใช่มั้ย?]
[อ๊าา~~~ สามีไม่ต้องเศร้าไปนะ~ คุณยังมีฉันอยู่อีกทั้งคน~~]
กงหมิงเฟยไม่มีเวลาดูข้อความในโทรศัพท์ที่กลุ่มแฟนคลับของเขาได้ส่งออกมา แต่ถึงแม้ว่าจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยรักจริงๆอย่างที่กลุ่มแฟนคลับสงสัย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้?
ผู้หญิงคนที่เขาเคยพูดถึงบางครั้งในระหว่างเดินทางในก่อนหน้านี้ ก็คือแฟนเก่าของเขาในชาติที่แล้ว เธอไม่ใช่คนที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้
และในช่วงเวลานั้นหลังจากที่ได้รู้ว่ากงหมิงเฟยได้กลายเป็นคนพิการและต้องเป็นอัมพาตตลอดชีวิต อดีตแฟนเก่าของเขาก็ยอมแพ้และโบกมือลาจากเขาไปอย่างเงียบๆ!
……..
จบบท