639-640
3/10
Ep.639
“เงื่อนไขอะไร?”เยว่หลิงพยายามระงับความตื่นเต้นของเธอ
“ในโลกใบนี้น่ะ … มีแต่ผู้คนโกหกหลอกลวง!”
ซูเฉินเบ้ปาก กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าแกต้องเอามาให้ฉันตรวจสอบดูก่อน ว่าศิลาจิตโลหิตคือของจริงหรือไม่”
“องค์หญิง ระวังหลงกล!”
อาวุโสหยูฉีกระซิบเตือนข้างหูเยว่หลิง
เยว่หลิงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายกัดฟัน หยิบเอาหินสีเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกมา ส่งถึงมือซูเฉิน
“ดูไปแล้วก็ไม่น่าจะเป็นของปลอม”
รับรู้ได้ถึงปราณโลหิตและความผันผวนของคลื่นพลังงานที่อยู่ภายในหิน ซูเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
จากนั้น เขาส่งมันเข้าไปใน [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] และกำชับให้ [จอมเขมือบแห่งบรรพกาล ยุงวัชระ] กลืนลงไป
หลังจากรอประมาณสิบวินาที [จอมเขมือบแห่งบรรพกาล ยุงวัชระ] ก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เจ้านาย ฉันสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ [เขมือบฟ้ากระหายเลือด]ได้แล้ว!”
ว่าจบ มันก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เหอ เหอ เหอ … นับจากนี้ไป ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าไอ้เต่ายักษ์กับไอ้นกตัวโต มันจะกล้ารังแกฉันอีกไหม?”
ปั๊ก ปั๊ก ผัวะ ผัวะ!
ได้ยินเสียงอู้อี้หนักทึบ เต่าทรราชปราณฟ้าและหงส์เพลิงร่วมมือกันกด [จอมเขมือบแห่งบรรพกาล ยุงวัชระ] ลงพื้น แล้วเริ่มทุบตีมัน
“เขมือบฟ้ากรหายเลือด? ชื่อฟังดูสุดยอดไปเลยนี่”
ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง โดยไม่สนใจการทะเลาะวิววาทของสัตว์เลี้ยงวิญญาณทั้งสาม ปิด [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] เบนตามองไปทางเยว่หลิง “ศิลาจิตโลหิตของเธอไม่ใช่ของปลอม ดังนั้น นี่คือไข่มุกวิญญาณของเธอ”
ซูเฉินกล่าวกับอีกฝ่ายดีๆ เตรียมมอบไข่มุกวิญญาณให้แก่เยว่หลิง แต่ทันใดนั้นเอง เสียงตวาดด่าทอดังสะท้อนเข้ามาในหูเขา
“มนุษย์! หากเจ้ากล้ามอบไข่มุกวิญญาณให้นาง วินาทีถัดไปเจ้าจะกลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ!”
ได้ยินคำขู่นี้ คิ้วของซูเฉินขมวดเข้าหากันทันใด หันมองตามเสียง
คนที่กล้าโอหังต่อหน้าเขา ไม่ได้เจอมาซักพักแล้ว เจ้าตัวเลยอยากจะเห็นว่าใครกันหนอที่กล้าอาละวาดขนาดนี้
ไม่ช้า ผู้หญิงสองคนก็ปรากฏขึ้นในสายตาเขา
สิ่งที่ทำให้ซูเฉินประหลาดใจก็คือ ทั้งสองตนนี้เป็นเอลฟ์เช่นกัน นอกจากนี้ หนึ่งในสองที่ดูเยาว์วัย มีรูปลักษณ์คล้ายกับเยว่หลิงเกือบทุกประการ ราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน
การปรากฏตัวของสองเอลฟ์ ทำให้สีหน้าของอาวุโสหยูฉีและเยว่หลิงกลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง
“อวี้ชิง! เจ้าต้องการฆ่าข้าให้ตาย ไม่ปล่อยให้เหลือหนทางไว้เลยหรือ?”
เยว่หลิงจ้องมองอวี้ชิงอย่างไม่พอใจ ร่างเธอสั่นน้อยๆด้วยความโกรธ
อวี้ชิงหัวเราะคิกคัก ตอบกลับเสียงเย็นว่า “เจ้าน่าจะรู้กฏเผ่าเอลฟ์ของพวกเราดี ผู้ครองบัลลังก์มีได้องค์เดียวเท่านั้น หากคิดโทษ ก็จงโทษเสด็จแม่ที่ลำเอียง จนบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้!”
เยว่หลิงกำหมัดแน่น แสดงท่าทีโกรธแค้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “แต่ข้าได้ประกาศแล้วว่าจะถอนตัวจากการแย่งชิงบัลลังก์ของเผ่า ทำไมเจ้าถึงยังไม่ยอมปล่อยข้าไป? เหตุใดจึงร่วมมือกับคนนอกวางยาพิษเสด็จแม่?”
“ตราบใดที่พวกเจ้ายังไม่ตาย แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไร?” ใบหน้าของอวี้ชิงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แค่นเสียงเบาๆ
“เจ้า …” ปากของเยว่หลิงสั่นเทา ระหว่างนั้นเอง คันธนูสีทองปรากฏขึ้นในมือเธอ กระแสแสงที่ไหลเวียนอยู่ข้างในมัน แฝงไว้ด้วยคลื่นพลังงานอันแข็งแกร่ง มองแค่แวบเดียกว็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธของโลกใบนี้
“องค์หญิง ท่านต้องสงบสติอารมณ์ก่อน”
อาวุโสหยูฉีก้าวออกมาขวางหน้าเยว่หลิงเอาไว้ ส่งสายตาไม่หยุด
“อยากสังหารข้าหรือ? คิดรึว่ามีความสามารถพอ?” อวี้ชิงแค่นเสียงเย็น หัวเราะอย่างดูถูก “ตั้งแต่เล็กจนโต ในแง่ของการวางแผน ในแง่ของการฝึกตน เจ้าไม่เคยเอาชนะข้าได้เลยซักครั้ง! มีเพียงภายใต้การนำของข้าเท่านั้น เผ่าเอลฟ์ของพวกเราจึงจะกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์!”
ได้ยินแบบนั้น เยว่หลิงเงียบไป
ซูเฉินลอบส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
การต่อสู้ชิงอำนาจของพวกราชวงศ์ ล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์ และโหดเหี้ยมเสมอมา
ในแง่ของความสามารถเพียงอย่างเดียว อวี้ชิงเหมาะที่จะเป็นราชินีเอลฟ์มากกว่าเยว่หลิง
แต่เรื่องอะไรพวกนี้ มันธุระของฝ่ายอีก เดิมเขาไม่อยากมีส่วนร่วม
กระนั้น ก่อนหน้านี้อาวุโสหยูหลงเพิ่งขู่เขา
ด้วยอุปนิสัยของซูเฉิน เป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่กล้ำกลืน ฝืนทนความโกรธนี้เอาไว้
4/10
Ep.640
“ทั้งสองคน ฉันว่าจะทำข้อตกลงกับพวกเธออีกครั้ง”
ซูเฉินมองไปทางเยว่หลิง กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ข้อตกลงอะไร?”
เย่วหลิงสับสนเล็กน้อย เอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
“ง่ายมาก ฉันจะช่วยฆ่านังสองตัวนี่ แลกกับคันธนูทองในมือเธอ”
ซูเฉินยกแขน เสยนิ้วโป้งชี้ไปข้างหลังในจุดที่อวี้ชิงและอาวุโสหยูหลงยืนอยู่
ธนูยาวในมือเยว่หลิง คุณภาพดีกว่าธนูเงินที่ได้จากงานประมูลหลายขุม หากเขามอบมันให้หยางเฉียน คงช่วยเสริมกำลังรบแก่เธอได้มาก
ยิ่งไปกว่านั้น เขากับอวี้ชิงมีข้อบาดหมางกันอยู่แล้ว ไหนๆก็จะฆ่า งั้นถือโอกาสเรียกทรัพย์เพิ่มเลยก็แล้วกัน ไหนจะเรื่องได้ชิ้นส่วนอีก เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
ธุรกิจนี้ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
“อ๋า?”
เยว่หลิงตกตะลึง
จนถึงตอนนี้ เธอแค่รู้สึกว่าซูเฉินค่อนข้างอันตราย แต่ไม่เคยนึกเรื่องซูเฉินซ่อนระดับฝึกตนเอาไว้
เธอเลยยังคิดว่าซูเฉินอยู่แค่ขั้น 5 เท่านั้น แต่กลับกล้าขู่สังหารอวี้ชิงขั้น 6 และอาวุโสหยูหลงขั้น 7? นี่ไม่เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายหรือ?
ในทางกลับกัน อาวุโสหยูฉีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ แค่ซูเฉินใช้สายตามองมา ก็ทำให้เธอรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง
นั่นทำให้หญิงชราเกิดความคิดว่า ซูเฉินคงซ่อนระดับฐานฝึกตนของเขาเอาไว้แน่ อีกทั้งมันยังแข็งแกร่งกว่าเธอมาก
หากซูเฉินลงมือ ควบคู่ไปกับการที่ตัวเธอเข้าช่วยเหลือ หญิงชรามั่นใจว่าจะสามารถสังหารอวี้ชิงและหยูหลงได้อย่างแน่นอน
“เจ้าต้องการสังหารพวกเราหรือ?”
อาวุโสหยูหลงเบิกตากว้าง มองไปทางซูเฉินราวกับกำลังมองคนโง่
หลังจากได้สติกลับมา ดวงตาของเธอก็เปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุด
คิ้วของอวี้ชิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวเสียงเย็นว่า “มนุษย์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมีส่วนร่วมได้ ถ้าไม่อยากตาย จงทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี”
ซูเฉินปาดจมูกเขา ขณะที่กำลังจะตอบ ก็สัมผัสได้ถึงผู้คนหลากหลายกลุ่มหลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง มิใช่ใครอื่น คือกลุ่มที่ลอบติดตามเขามาจากงานประมูลนั่นเอง
และในกลุ่มเหล่านี้ ไม่ได้มีแค่มนุษย์ แต่ยังมีพวกต่างเผ่าอยู่ด้วย
และจากกลิ่นอายที่เผยออกมา มีถึงสามคน ที่มีระดับถึงขั้น 8 แล้ว
ซูเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตามองไปยังทั้งสามทีละคน
คนแรกเป็นชายร่างสูง มาจากเผ่าปีศาจราตรี สีหน้าท่าทีดูเย็นชา
คนที่สองคือชายแก่ง่อนแง่นหลังค่อม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น พิจารณาจากกลิ่นอายแล้ว เขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์ ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ไหน ยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้
คนที่สามเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมเหลือง เปี่ยมไปด้วยบารมีดูน่าเกรงขาม
เมื่อสายตาของซูเฉินเบนตกลงบนร่างของชายชุดคลุมเหลือง อีกฝ่ายก็มองมาทางเขาด้วยความสนใจเช่นกัน
ณ เวลานี้ ซูเฉินเปิดถุงเก็บของอย่างเงียบๆ เหลือบมองไปยังลูกปัด
ตัวลูกปัดในเวลานี้ สว่างไสวไปด้วยแสงสีสดใส เกิดปฏิกิริยารุนแรง แสดงให้เห็นว่าในหมู่คนเหล่านี้ จะต้องมีสัตว์จำแลงซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
แม้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร แต่ซูเฉินไม่สนใจ เพราะเขาจะไม่ปล่อยคนพวกนี้ไปแม้แต่คนเดียว
“พวกแกคงมาหาฉันใช่ไหม”
เห็นทุกสายตาในที่นี้จับจ้องมาทางตัวเอง แต่ยังไม่มีใครลงมือแม้แต่คนเดียว ซูเฉินก็เอ่ยปากเป็นคนแรก
‘ทำไมเขาถึงไม่กลัวเลยล่ะ?’
เห็นซูเฉินถูกรายล้อมไปด้วยผู้แข็งแกร่งมากมาย แต่กลับไม่หวั่นไหว ยังคงสงบเยือกเย็น เยว่หลิงลอบพึมพำในใจ
ชายชุดคลุมเหลืองแค่นเสียงเย็นชา หันไปพูดกับคนอื่นๆว่า “ทุกท่าน ข้าแน่ใจว่าพวกท่านมาที่นี่ก็เพื่อสมบัติในตัวเจ้าเด็กนี่ถูกไหม?”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครค้าน เขาก็พูดต่อ “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ข้าแนะนำว่าหลังจากพวกเราฆ่ามัน ให้แบ่งปันสินสงครามอย่างเท่าเทียม ดังนั้นประกาศออกมาก่อนเลย แต่ละท่านต้องการสิ่งใด ข้าขอแค่ผลึกวิญญาณที่เขาประมูลได้เป็นอย่างสุดท้ายก็พอแล้ว”