ผู้กอบกู้แห่งที่ราบทมิฬ ตอนที่ 4 ที่ราบทมิฬ
หลังจากสามวันของการเดินทางข้ามผ่านดินแดนส่วนตะวันตกของอาณาจักรบราวน์ ในรถม้าทั้งสิบสองคันที่กำลังพาทั้ง ไมนอส สจวร์ต และผู้ติดตามของเขา ไปสู่จุดหมายที่ห่างออกไปอีกแค่วันเดียว
ในขณะที่เดินทางชายหนุ่มกับชายวัยกลางคนสองคนกำลังคุยกันยังกระตือรือร้น
นั้นคือพ่อบ้านดิลเลียนและไมนอส
เด็กหนุ่มสจวร์ตได้รับทราบถึงสถานการณ์ต่างของที่ราบทมิฬ ข้อมูลต่างๆ ระดับความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของพื้นที่ อาณาจักรที่ติดอยู่กับชายแดน และข้อมูลอื่น ๆ ที่ให้ผู้ปกครองวัยหนุ่มเข้าใจดินแดนแห่งนี้มากขึ้น
ข้อมูลข่าวสารที่มีทั้งหมดตอนนี้ไม่ค่อยถูกต้องทั้งหมดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ เนื่องจากผู้ปกครองปัจจุบัน ได้ให้ข้อมูลไว้แค่พอจะเข้าใจสถานการณ์เบื่องต้นพอที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อจากเขาหลังจากมาถึงเมืองดราย แล้วซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในที่ราบทมิฬแล้ว
“ปู่ดิลเลียน ปกติแล้วที่ราบทมิฬมีการค้าหรือส่งออกสินค้าอะไรบ้าง”
“นายน้อย ที่ราบทมิฬ ตอนนี้นั้นแทบจะไม่มีสินค้าส่งออกหรือทำการค้ากับใคร เพราะดินแดนนี้ไม่มีอะไรให้ค้าขายนัก ทั้งสินค้าการเกษตร หรือ เหมืองแร่ ดินแดนนี้มีอยู่น้อยนิดหนัก แล้วยิ่งความเข้มข้นของพลังงานจิตวิญญาณเบาบาง การผลิตคริสตัลยิ่งเป็นไปได้น้อยมาก ไม่มากพอที่จะขายออกเป็นสินค้าได้
และต้องนำเข้าทางด้านอาหารเป็นหลัก”
“ถ้างั้น อาณาจักรครอมเวลล์ ที่อยู่ทางใต้ของอาณาจักรบราวน์ ก็คงทำค้าขายส่งพวกอาหารให้กับที่ราบทมิฬ เพราะว่าชายแดนติดกันสินะ”
“อาณาจักรครอมเวลล์ มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตร ที่ส่งเสบียงอาหารให้กับดินแดนใกล้เคียงรวมดินแดนที่ราบทมิฬด้วย และยังเป็นคู่ค้าหลักของเกาะศิลาด้วย ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ที่เรากำลังจะไป”
“เกาะศิลา เกาะที่เป็นสำคัณกับอาณาจักรที่ติดชายฝั่งทั้งหมดในทวีปนี้ บนเกาะเศรษฐกิจค่อนข้างรุ่งเรือง เพราะอุดมไปด้วยแร่ต่างๆ และช่างฝีมือช่างตีเหล็กระดับสูง”
“แต่ถึงจะมีเศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่เกาะนี้ไม่มีผลิตอาหารเลยต้องพึ่งพาจากอาณาจักรอื่นรอบๆ ที่ทำการค้าด้วย นั้นทำให้อาณาจักรคอรมเวลล์เป็นคู่ค้าสำคัญ”
“ส่วนที่ราบทมิฬ ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเกาะศิลาเท่าไร เพราะไม่ต้องการซื้ออุปกรณ์จิตวิญญาณในดินแดน”
“ทางเหนือของที่ราบทมิฬติดกับอาณาจักรที่สุดที่ติดกับอาณาจักรบราวน์ อาณาจักรเวฟ อาณาจักรนี้มีกิจการค้าและธุรกิจมากมาย เนื่องจากพื้นที่กว้างใหญ่ ทำให้มีความครึกครื้นมากในทวีปนี้”
“การทำค้าขายกับที่ราบทมิฬนั้น กระผมแทบไม่มีข้อมูล”
“แล้วปู่ดิลเลียน พอจะทราบไหมว่าการค้าและธุรกิจหลักของที่ราบทมิฬคืออะไร”
ชายวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าลังเล
“เท่าที่กระผมรู้ ตอนนี้รายได้หลักเรามาจากภาษีที่ดินอาศัยครับ หากเป็นธุรกิจอื่นหรือการค้าในตอนนี้ผมไม่มีข้อมูลเลยครับ”
ดินแดนที่ราบทมิฬ แม้มีประชากรน้อยที่สุดในอาณาจักรบราวส์ แต่ก็ยังมีประชากรถึง 50,000 คน อาศัยอยู่ แล้วใน 50,000 คนส่วนใหญ่ไมใช่ผู้ฝึกตนหรือมีพรสวรรค์พิเศษ ยังมากก็เป็นพรสวรรค์ขาว หรือ ฟ้า ผู้ฝึกตนในดินแดนนี้จึงอาศัยอยู่แต่ที่นี้ดีที่สุด กว่าการออกไปข้างนอกแล้วถูกสภาวะปลาใหญ่กินปลาเล็กข้างนอก สู้อยู่ในดินแดนนี้และมีคนที่อยู่จุดสูงกว่าตนไม่กี่ระดับ
แต่นั้นก็เป็นเรื่องข้อจำกัดของทรัพยากรทำให้ไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูงแต่ยังงั้นที่เมืองดรายก็มีสิทธิในการเก็บภาษีประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเพื่ออาศัยอยู่ในเมืองแต่ที่ราบทมิฬไม่ต้องจ่ายเงินภาษีให้กับอาณาจักรเพราะว่ามีรายได้น้อยจนแทบไม่ต้องให้ก็ไม่ส่งผลอะไร แต่ยังต้องส่งครัสตัลจิตวิญญาณให้บางส่วนพอเป็นพิธี อันที่จริงดินแดนนี้กันดารมากจนไม่มีตระกูลหรือขุนนางไหนจะมาปกครองดินแดนนี้ เพราะไม่มีใครอยากมารับสถานการณ์ที่เรียกได้ว่า ยอมเหยียบขี้ดีกว่าต้องมาที่แห่งนี้สำหรับก่อนหน้าที่ผู้ปกครองได้ถูกแต่งตั้งเป็นตัวแทนดูแลดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเขาเหมือนต้องส่งมาอยู่ในหลังเขาเป็นเวลากว่า 6 ปี นั้นเป็นนรกสำหรับการบ่มเบาะของเขาแน่ๆ“ตอนที่อยู่โรงเรียนอาจารณ์ได้บอกว่าความแข็งแกร่งเฉลี่ยของอาณาจักรโดยรอบ คือนักรบแห่งจิตวิญญาณ ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับสูงสุดจะอยู่ที่ ราชาแห่งจิตวิญญาณ แล้วยังมีอะไรผมพลาดไปอีกไหมปู่ดิลเลียน”อื้ม ถูกแล้วครับ นายน้อย ในอาณาจักรนี้ ทั้งจักรพรรดิและเหล่าอาวุโสบางคนโดยทั่วไประดับเฉลี่ยที่ระดับ 58 และ 59 ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้ ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 500 ปี โดยบางกคนอายุ ราว 1000 ปี แต่ถึงอายุขัยของราชาแห่งจิตวิญญาณจะมีมากกว่า 1,600 ปี ถึงยังงั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะบรรลุไปขั้นต่อไป แม้จะที่ปิดประตูฝึกฝนบ่มเบาะตนโดยเป็นเวลาสิบปีหรือมากกว่า 100ปีก็ตาม”
“นั้นก็เพราะว่าพลังงานวิญญาณนั้นกระจัดกระจายไปทั่ว และตระกูลที่แข็งแกร่งก็ย้ายกันออกไป เป็นเวลากว่า พันปีแล้ว”
“นายน้อย อาจจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่า พรสวรรค์นั้นสืบทอดต่อกันในสายเลือดจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ทำให้สวรรค์ของคนทั่วในทางเหนือของทวีปจึงทดถอยลงไปตามกาลเวลา ในตอนนี้พรสวรรค์ระดับดำ มีแค่ไม่กี่พันคน ยิ่งพรสวรรค์ระดับเงินยิ่งหาได้ยากยิ่งกว่า และส่วนมากคนเหล่านั้นก็จะออกจากดินแดนไปเพื่อหาที่เหมาะสมกับการฝึกตน”
“และด้วยที่ว่าพรสวรรค์นั้นส่งผลกับการบ่มเพาะพลัง ซึ่งจะมีปัญหาคอขวดกันในการฝึกฝน ที่จะทะล่วงขั้นไปอีกขั้น ผู้นำของอาณาจักรยังติดอยู่ที่ขั้นสูงสุดของ ราชาแห่งจิตวิญญาณ”
“การติดอยู่ในขั้นนี้เพราะเขามีพรสวรรค์สีดำ ซึ่งพรสวรรค์ระดับนี้จะไม่ติดคอขวดเลยจนถึงขั้นแม่ทัพแห่งจิตวิญญาณ และมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่จะ ไปบรรลุขั้น ราชาจิตวิญญาณได้ แต่การจะไปถึงจักรพรรค์จิตวิญญาณนั้นน้อยนิดหนัก”
“ด้วยเหตุนี้ หากไม่มีทรัพยากรที่มากพอหรือสถานที่เหมาะสมกับการฝึกบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณ ผู้ฝึกตนจะต้องดิ้นรนเพื่อทะลุปัญหาคอขวดนี้ให้ได้”
“ดังนั้น ทำให้แทบไม่มีกษัตริย์องค์ไหนเลยที่จะมีระดับขั้นถึงจักรพรรดิแห่งจิตวิญญาณในส่วนของทวีปกลางนี้ การออกนอกอาณาจักรนั้นเสี่ยงกับตระกูลเชื้อสายและตัวของกษัตริย์เอง”
“ในที่ราบทมิฬมีพลังจิตวิญญาณต่ำ ทำให้ผู้ฝึกตนที่ระดับสูงสุดอยู่ที่ 39 ขั้น นักรบแห่งจิตวิญญาณ จะเว้นก็แต่พวกกองกำลังจากภายนอกดินแดนที่จะสูงกว่านั้น”
“ถึงแม้ตัวกระผมจะไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้นัก แต่เรื่องความปลอดภัยของนายน้อยนั้นไม่ต้องห่วงไปเพราะกระผมอยู่ระดับที่ 45 คงไม่มีใครแถวนี้ที่กระผมจัดการไม่ได้”
เมื่อไมนอสได้ยิน เขานึกถึงวิชาบ่มเพาะระดับทองคำที่เขาเอามาจากห้วงมิติของอาณาจักรในห้วงความว่างเปล่า ที่เลือกมาสำหรับพ่อบ้านของเขา เขาตัดสินใจที่จะให้รอจนกว่าจะไปถึงที่ราบทมิฬแล้ว เพราะเขาต้องอธิบายที่มาที่ไป ไม่ให้พ่อบ้านของเขาสงสัย ซึ่งเขาขี้เกียจอธิบายตอนนี้
ไม่นานนัก รถม้าก็จอดเพื่อหยุดพัก ใกล้มืดเข้าทุกที่ แสงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า แต่ที่ไกลออกไปจากเมืองดราย หากเดินทางกันต่อ คณะเดินทางคงถึงตอนรุ่งสางพอดี คณะเดินทางตัดสินใจหยุดพักก่อน
ไมมอสแทบไม่ได้มีเวลาปลีกตัวมาฝึกวิชาเลยในช่วงสามวันมานี้ แต่เขาก็ยังสามารถยกระดับไปถึง 2 ได้แต่เนื่องจากระดับเขายังน้อยอยู่ทำให้ไม่มีใครสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ และไมนอสเองก็พยายามปิดบังเอาไว้
ในที่สุด ค่ำคืนก็ผ่านไป รุ่งเช้า ไมนอสก็มาถึงที่ราบทมิฬ เขาตัดสินใจจะสร้างกองกำลังของตัวเองด้วยวิธีและวิชาการบ่มเพาะจากพระเจ้า เฮอริคัส ลองกัส แต่เขาจำเป็นต้องสำรวจรอบๆ ดินแดนที่ราบทมิฬก่อน เพื่อจะวางแผนอย่างรอบคอบ
ไมนอสตั้งมั่นว่าจะทำให้บ้านใหม่ลังนี้กลายเป็นอาณาจักรของเขาเอง และสร้างขุมพลังอันแข็งแกร่งขึ้นที่สุดในโลกนี้
..
หลายชัวโมงผ่านไปในที่สุดไมนอยก็ได้เห็นเมืองดราย จากไกลๆ สภาพโดยรอบนั้น ก็ตามชื่อของมันเลย คือ แห้ง!!!
สภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งสุดๆ แทบไม่มีต้นไม้เลยทั่วทั้งเมือง
เป็นเมืองเล็กๆ ก็มีบ้านคนอาศัยประปรายมีย่านการค้าที่ใจกลางเมือง นอกจากนั้นยังมีคฤหาสน์ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่ว่าการท้องถิ่น และที่อยู่ของไมนอสต่อจากนี้ไป
ถนนสันจรค่อนข้างดี ก็พอมีคนผ่านไปผ่านมามีรถม้าไม่กี่คัน นอกจากคณะเดินทางของไมนอสแล้วก็มีกลุ่มคนอีกสองคนที่เข้ามาในเมืองด้วยเช่นกัน และในที่สุดไมนอสก็มาถึงคฤหาสน์กลางเมืองในที่สุด