Kill the Dragons ตอนที่ 7 : เด็กพลังจิต (7)
เด็กแต่ละคนยืนเรียงแถวตามคลาสของตัวเอง พวกเขาใช้เวลาตลอดสามสัปดาห์มาด้วยกัน เมื่อถึงเวลาต้องแยกจากกันจึงปิดบังความเศร้าหมองบนใบหน้าได้ไม่มิด
คลาส A มีไซมอนเพียงคนเดียว ส่วนคลาส B มีทั้งหมด 4 คน ที่เหลือกระจายอยู่คลาส C และ D
มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ได้อยู่คลาส D ร่วมกับอีฮัน
“ไม่เห็นเข้าท่าเลย คุโระได้อยู่คลาส B แต่อีฮันดันอยู่คลาส D เนี่ยนะ”
ครูฝึกมองตามเสียงไปยังกลุ่มเด็กที่คุยกันจอแจ เขามองเห็นความคิดเบื้องหลังของนักเรียนเหล่านั้นได้จากคำพูดแต่ละคำ จริงอยู่ที่คุโระผ่านช่วงสามสัปดาห์มาได้ตลอดรอดฝั่งก็เพราะได้ความช่วยเหลือจากอีฮัน ว่ากันตามตรงก็เหมือนอีฮันฝึกหนักกว่าคนอื่น 1.5 เท่า
“ยังไงซะ ถ้าเขามีความสามารถจริงเดี๋ยวก็คงได้เลื่อนคลาสเองนั่นแหละ ก็พลังจิตเขามีอยู่แค่นั้นไม่แปลกที่จะได้อยู่คลาส D”
“อย่างน้อยถ้าพลังจิตของเขาระดับพอ ๆ กับคนอื่นคงได้อยู่คลาส B ไปแล้ว ไม่สิ อาจจะคลาส A เลยด้วยซ้ำ”
“ประเด็นอยู่ที่พลังจิตนั่นแหละ พวกเราไม่ได้ต้องการคนเก่ง เราต้องการไซเกอร์ต่างหาก”
อีฮันรับรู้ได้ถึงสายตาของครูฝึกที่ล็อคเป้ามาทางเขา เขาเดินผ่านครูฝึกมุ่งหน้าไปยังหอพักของนักเรียนคลาส D ตรงนั้นมีเด็กจำนวนไม่น้อยยืนมองหน้ากันอย่างกระวนกระวาย
“ยินดีต้อนรับสู่คลาส D ฉันโจเซ่ เป็นประธานคลาส D จะเรียกฉันว่าประธาน หรือเรียกโจเซ่เฉย ๆ ก็ได้”
เด็กหนุ่มผิวแทนร่างกายกำยำเหมือนนักกีฬาประกาศเสียงดัง
ประธานคลาสจะได้รับคะแนนพิเศษซึ่งช่วยให้เลื่อนคลาสได้ง่ายขึ้น แต่ต้องแลกกับหน้าที่ในการจัดการเรื่องหยุมหยิมตามกฏของแต่ละคลาสเพิ่มขึ้นมา
“ห้องนอนของพวกนายถูกกำหนดไว้แล้ว ลองเช็คดูที่กำไลข้อมือโฮโลแกรมได้เลย ส่วนการทำความสะอาดหอพักจะเป็นหน้าที่ของเด็กใหม่ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม” เขาพูดแกมออกคำสั่ง “หน้าที่ของเด็กใหม่มีเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นทั้งเด็กใหม่เด็กเก่าก็ต้องทำเหมือนกัน ตราบใดที่พวกนายตั้งใจเต็มที่ คลาสต่อไปก็รออยู่ไม่ไกล มีใครมีคำถามไหม”
โจเซ่พูดจาฉะฉาน เขาดูอายุพอ ๆ กับพวกเด็กใหม่แต่พูดจาเหมือนรุ่นพี่
“ไม่มีครับ”
เสียงเด็กใหม่ตอบรับเสียงฉะฉานไม่แพ้กัน
หลังจบประกาศ โจเซ่พุ่งตัวเข้าหาอีฮันทันที
“นายเป็นหัวหน้าชั่วคราวนะอีฮัน”
โจเซ่ประเมินสถานการณ์ของเด็กใหม่ได้อย่างรวดเร็ว คะแนนของอีฮันโดดเด่นที่สุดแถมท่าทางยังฉายแววผู้นำออกมาอย่างล้นเหลือ ทำให้เขาถูกรับเลือกให้เป็นตัวแทนสำหรับเด็กใหม่คลาส D ไปโดยปริยาย
“หัวหน้า?”
“ไม่ใช่ตำแหน่งทางการหรอก มันแค่ช่วยให้จัดการอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้นน่ะ” โจเซ่อธิบาย “นายก็แค่นำทางคนอื่น ๆ จนกว่าเด็กใหม่ปีหนึ่งจะปรับตัวกันได้ พอทุกอย่างเข้าที่ก็สบายแล้ว”
อีฮันเลิกคิ้ว
“ครูฝึกก็รู้ว่ามีระบบนี้อยู่ นายเองก็จะได้คะแนนพิเศษไปด้วย”
อีฮันทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ “โอเค” ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธโอกาสเพิ่มคะแนนเสียหน่อย
โจเซ่ตบหลังอีฮันหนึ่งทีก่อนเดินจากไปตามทางของเขา
อีฮันเปิดดูห้องของตัวเองจากกำไลข้อมือก่อนจะตรงไปตามทางของตัวเองเช่นกัน ระหว่างทางมีสายตามากมายจับจ้องตามไปด้วย
ปีหนึ่งคลาส D มีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 90 คน ต่างคนต่างรู้ว่าเป็นคู่แข่งกันแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปาก พวกเขาต้องได้รับการยอมรับให้อยู่ระดับ A ถึงจะขึ้นปีสองได้
‘ของจริงเริ่มแล้วสินะ’ อีฮันพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
***
เช้าวันแรกของปีหนึ่งเริ่มด้วยการวิ่ง สถานที่ฝึกคือสนามฝึกทหารกว้างสุดลูกหูลูกตา จากจุดที่วิ่งอยู่สามารถมองเห็นเด็กฝึกระดับสูงได้ไกล ๆ
“พวกเขาอายุเท่าเราหรอ” ใครบางคนทักถามระหว่างวิ่ง
อีฮันมองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
รุ่นพี่ของพวกเขาตัวสูงใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ชุดยูนิฟอร์มปิดบังกล้ามเนื้อแน่นปึ้กได้ไม่มิด ถึงใบหน้าจะยังดูอ่อนเยาว์ แต่ร่างกายไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย บางคนตัวสูงใหญ่กว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่รู้มาก่อนคงไม่มีใครเดาออกแน่ว่าพวกเขายังเป็นแค่เด็กอายุ 10 ต้น ๆ
“น่าสนใจใช่ไหมล่ะ”
โจเซ่ที่วิ่งถัดจากอีฮันพูด เขาเป็นประธานนักเรียน แต่พูดเหมือนตัวเองเป็นครูฝึก “พอขึ้นปีสอง พวกเราจะได้รับยาเร่งการเติบโต ร่างกายถึงได้โตเร็วขึ้นเป็นทวีคูณแบบรุ่นพี่พวกนั้นไง อย่าลืมว่าเราจะมีสงครามกับมังกรในอีกสามปีข้างหน้านี่แล้ว พวกผู้ใหญ่ไม่รอให้เราโตตามธรรมชาติหรอก”
อีฮันรู้สึกต่อต้านในใจ พวกเขาถูกบังคับให้กลายเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นอายุแค่สิบกว่าปีต้องเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ด้วยการให้ยา...
มันเป็นเรื่องที่เกินขอบเขตศีลธรรมเกินไปหน่อย แต่เขาก็เข้าใจดีว่ามนุษย์ไม่มีทางเลือกมากนัก ถึงไซเกอร์จะมีพลังวิเศษแต่ร่างกายก็ต้องแข็งแกร่งพอที่จะใช้มันด้วย ถ้าปล่อยให้ร่างกายของเด็กลงสนามสงครามคงจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่มัน…”
เด็ก ๆ เริ่มติติงกันเอง
“ไม่มีใครบังคับพวกนายนะ ถ้าอยากจะลาออกก็เชิญ” โจเซ่พูดเตือนสติ ตามด้วยเสียงหัวเราะเย็นวาบเสียวสันหลัง
อีฮันยังไม่ละสายตาไปจากรุ่นพี่ พวกเขาวิ่งเร็วด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ตรงไปยังห้องอาบน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับท่อนบนที่เปลือยเปล่า โชว์เรือนร่างกำยำสีแทน
“ไม่เลวนี่”
อีฮันมุบมิบปากพูดกับตัวเอง แต่โจเซ่ไม่วายได้ยินแล้วหันไปถาม
“หมายถึงอะไรหรอที่ว่าไม่เลว?”
“ฉันหวังมาตลอดว่าจะได้กลายเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ยังไงซะก็ไม่มีใครใจดีด้วยแค่เพราะฉันเป็นเด็กอยู่แล้ว” อีฮันตอบ “ที่บ้านเกิดน่ะ”
ได้ยินดังนั้นโจเซ่ก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
“ฉันรู้ นายมาจากเกาหลีใช่ไหม”
เกาหลีเป็นประเทศแรก ๆ ที่โดนโจมตีในสงครามครั้งแรก และเป็นประเทศที่ต้องแบกรับผู้บาดเจ็บมหาศาล
ครั้งนั้นมีประตูมิติเปิดขึ้นหกที่ หนึ่งในนั้นคือที่ชินอึยจู เมืองหนึ่งในเกาหลีเหนือ มังกรที่เข้ามาผ่านประตูชินอึยจูแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งแยกไปบุกรุกจีน อีกกลุ่มหนึ่งโจมตีเกาหลี
เกาหลีเหนือกระหน่ำระเบิดนิวเคลียร์ใส่มังกรไม่ยั้งแต่ไม่เป็นผล ตรงกันข้ามมันทำให้เกาหลีเหนือกลายเป็นเมืองแห่งความตาย ประชาชนเกาหลีเหนือแห่ข้ามเขตแดนเหนือใต้หนีตายกันยกใหญ่ รัฐบาลเกาหลีเหนือล่มสลาย ส่วนเกาหลีใต้ก็รับผู้อพยพจากเกาหลีเหนือเข้ามาทุกคน พร้อมทั้งป้องกันการบุกรุกของมังกรไปด้วยพร้อม ๆ กัน
“ฉันไม่ต้องการชีวิตวัยเด็กไร้สาระนั่นหรอก สิ่งสำคัญกว่าคือการเอาชีวิตรอด”
แววตาอาฆาตสะท้อนไหวในดวงตาอีฮัน
บ้านเด็กกำพร้าที่เคยเรียกว่าเป็นบ้านของอีฮันถูกยึดไปเพราะล้มละลาย ผู้อำนวยการที่ก่อหนี้ไว้กองเป็นภูเขาก็หนีไปกลางดึก ทิ้งให้พวกเด็ก ๆ ที่นั่นกลายเป็นคนไร้บ้าน
เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสักก้อนก็ไม่มีเหลือให้พวกเขา
‘ฉันต้องต่อสู้กับผู้ใหญ่มาทั้งชีวิต’
อีฮันใช้ประโยชน์จากร่างกายเล็ก ๆ ของเขาขโมยอาหารมาประทังชีวิตตัวเองและน้อง ๆ แต่พวกผู้ใหญ่ไร้บ้านก็มาทำร้ายเพื่อแย่งอาหารไปอีกที
ชีวิตปกติของอีฮันมักจะเป็นแบบนั้น เขาไม่เคยได้รับการปกป้องจากกฏหมายหรือสิทธิมนุษยชน
โจเซ่ก็หุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นสายตาของอีฮัน
“สู้เขานะเด็กใหม่”
เขาพูดพลางมองอีฮันด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก